เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 354 ตบหน้าหลี่เฉิงเจี๋ย
ตอนที่ 354 ตบหน้าหลี่เฉิงเจี๋ย
เมื่อครู่เย่เฉินนั่งลงกินข้าว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ให้เย่เฉินกินอาหารที่เขาสั่งมา แถมยังโยนหมั่นโถวและผักดองมาหยามเขาอีก
ตอนนี้เย่เฉินจึงใช้วิธีเดียวกันเอาคืนอีกฝ่าย!
เย่เฉินกล่าว “ผมทำให้ลูกสาวผม คุณไม่คู่ควร!”
คนทางเหนือตรงไปตรงมา ส่วนหลี่เฉิงเจี๋ยนั้นวางก้ามจนชิน เดินไปที่ไหนก็ทำตัวสบายๆ อยากกินอะไรก็ทำตามใจตนเอง
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่จะกินอะไรแล้วโดนปฏิเสธ ทำให้สีหน้าหลี่เฉิงเจี๋ยย่ำแย่ลงไป!
เฉียนช่วนจื่อที่ยืนตรงหน้าประตู เขาพุ่งเดินไปถามเจ้านาย “สารเลว! คุณชายหลี่ของเรายอมลดตัวลงมากินอาหารฝีมือนาย เขาก็ไว้หน้านายมากแล้ว! คิดไม่ถึงว่านายจะไม่ยอมให้คุณชายเรากิน! คุณชายหลี่ของเราเคยกินอาหารในงานเลี้ยงที่ฝรั่งเศส งานเลี้ยงระดับชาติเข้าใจไหม? รู้หรือไม่ว่าคนระดับไหนถึงจะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงประเภทนี้?! แกมันคนอ่อนด้อย คุณชายเห็นนายชอบทำอาหาร เดิมอยากชี้แนะนายสักหน่อย นายยังคิดว่าเราเอาเปรียบนายอีกเหรอ?”
เฉียนช่วนจื่อเอาแต่ยืนบ่นนั่นนี่ไม่หยุด เย่เฉินทนไม่ไหวอีกแล้วเขาจึงหันไปด่า “สุขัขรับใช้ แกไม่มีสิทธิ์พูดกับฉัน ไสหัวไป!”
ซูมู่ชิงหันมองเฉียนช่วนจื่อพลางกล่าว “ออกไปเถอะไป อย่ามารบกวนเรากินข้าวเลย”
เฉียนช่วนจื่อไม่กล้าขัดขืนซูมู่ชิง เดินถอยร่นออกไปด้วยใบหน้าดำคล้ำ
และในเวลานี้เอง หลี่เฉิงเจี๋ยก็มีสีหน้าคล้ำลง ประดักประเดิดอย่างมาก ซูมู่ชิงก็หันไปกล่าวเย่เฉิน
“เย่เฉินฉันกับหลี่เฉิงเจี๋ยกำลังจะแต่งงานกันแล้ว ต่อไปเขาอาจต้องกลายเป็นพ่อเลี้ยงของซือซือ ฉันหวังว่าคุณกับเขาจะช่วยเป็นมิตรกันได้ไหม?”
เมื่อครู่หลี่เฉิงเจี๋ยไม่ให้เย่เฉินกินข้าว ซูมู่ชิงก็เป็นฝ่ายขอร้องอ้อนวอนแทนเย่เฉิน ตอนนี้ซูมู่ชิงก็พูดแทน
เย่เฉินเข้าใจความหมายของซูมู่ชิง ก็กล่าวกับหลี่เฉิงเจี๋ย “คุณจะกินก็ได้ แต่ว่ารอให้ซือซือกินเสร็จก่อน”
พูดจบก็ถือช้อนขึ้นมา แล้วช่วยซือซือเคาะตัวแป้งด้านบน จนตัวห่อที่เหมือนเห็ดหายไป ก็จะเห็นซุปเห็ดทรัฟเฟิลที่ซ่อนอยู่ภายในเหมือนบ่อน้ำที่แฝงตัวอยู่ในภูเขาหิมะมังกรหยก
ทันทีที่เปลือกพายยุบตัวลง กลิ่นหอมของซุปเห็ดทรัฟเฟิลที่ต้มเอาไว้ก็ลอยเข้าผ่านเข้าจมูกมา
ซุปถ้วยนี้ต้องรีบกินตอนที่ยังร้อนถึงจะอร่อย เย่เฉินรีบใช้ช้อนตักขึ้นมาป้อนซือซือทันที
“ลูกรัก อ้าม”
ซือซืออ้าปากกว้าง กินซุปเข้าไปแล้วโบกไม้โบกมือ “อร่อยจังเลย!”
แล้วเย่เฉินก็ตักซุปส่งให้ซูมู่ชิง “เมื่อวานทำคุณลำบากต้องช่วยผมทั้งวัน ก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน คุณเองก็ลองชิมหน่อยเถอะนะ”
ซูมู่ชิงตื้นตันใจอย่างยิ่ง คราวก่อนหล่อนเองก็เคยชิมอาหารฝีมือเย่เฉินมาก่อน จึงย่อมต้องอยากกินอาหารฝีมือชายยหนุ่มอีกครั้ง
“ขอบคุณค่ะ ฉันกินเอง”
ซูมู่ชิงก็หยิบช้อนขึ้นมา
แต่ว่าเย่เฉินก็ยกช้อนขึ้นมาไม่ได้วางลงแต่อย่างใดจึงกล่าว “คุณลองชิมหน่อยเถอะ นี่เป็นช้อนของซือซือผมยังไม่ได้ใช้เลยนะ”
เย่เฉินรู้ว่าคนเป็นแม่ไม่มีทางรังเกียจช้อนที่ลูกสาวตัวเองเคยใช้แน่ๆ
ซูมู่ชิงหน้าแดงก่ำ เก้อเขินน้อยๆ “เอ่อ…ไม่ค่อยดีมั้งคะ ไม่งั้นคุณวางช้อนลงก่อน เดี๋ยวฉันกินเอง”
ใบหน้าหลี่เฉิงเจี๋ยแดงก่ำด้วยโทสะ เขาถลึงตามองเย่เฉินและซูมู่ชิงที่อยู่ตรงหน้า หรือว่าเย่เฉินคิดจะป้อนอาหารคู่หมั้นต่อหน้าเขา?
เย่เฉินจึงกล่าวต่อว่า “ผม…ไม่ได้ตั้งใจจะป้อนคุณ คุณรับไปสิไป”
“อ้อ…” ซูมู่ชิงยิ่งเขินกว่าเดิม คิดไม่ถึงว่าหล่อนจะจินตนาการไปว่าเย่เฉินจะป้อนตนเองเหมือนป้อนซือซือ!
เขาไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นแม้แต่น้อย! แถมนี่ยังอยู่ต่อหน้าคู่หมั้นของตนเองอีก!
ซูมู่ชิงเอื้อมไปรับช้อนลองชิมดูแล้วรีบเอ่ยปากชม “อื้มๆ! อร่อยมากจริงๆ! ฉันไม่เคยกินซุปทรัฟเฟิลที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!”
หลี่เฉิงเจี๋ยแค่นเสียงเย็นชา “คนไม่เคยเจอโลกก็แบบนี้ ตื่นเต้นไปกับอะไรธรรมดาๆ แบบนี้ง่ายๆ”
ซูมู่ชิงเห็นเย่เฉินส่งช้อนเขาให้ตนเอง แล้วตัวเขาไม่มีช้อนใช้ จึงรีบส่งช้อนของตนเองไปให้เขาแล้วกล่าว “คุณใช้ช้อนฉันสิ คุณเองก็กินบ้างนะคะอย่าเอาแต่ป้อนซือซือเลย”
เย่เฉินพยักหน้ารับ เขาหยิบช้อนจากมือซูมู่ชิงแล้วตักซุปขึ้นมากิน
ในทางกลับกันหลี่เฉิงเจี๋ยหัวเสียอย่างหนัก เมื่อเห็นทั้งสองคนส่งช้อนให้กัน บรรยากาศความรักลอยอบอวลออกมาแปลกๆ! และในเวลานี้เองพวกเย่เฉินต่างก็กินซุปกันหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงหันมากล่าวกับหลี่เฉิงเจี๋ย “คุณกินได้แล้ว”
หลี่เฉิงเจี๋ยไม่อยากกินตั้งนานแล้ว ในใจเขาหงุดหงิดจนอยากจะกวาดอาหารของเย่เฉินลงพื้นไปให้หมด!
แต่ว่าตอนนี้เขาต้องลอง เพราะหลังจากที่ชิมเขาจะได้ตำหนิข้อด้อยของอาหารจากฝีมืออีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ
หลี่เฉิงเจี๋ยหยิบช้อนขึ้นมาชิม แล้วสีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ!
“เป็นแบบนี้ได้ไง! รสชาติเหมือนที่ฉันเคยกินที่ปาแลเดอเลลีเซเลย!”
หลี่เฉิงเจี๋ยเป็นคนเรื่องมากเรื่องอาหารอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอาหารสองอย่างนี้หลังจากที่โบคูเซ่ตายไป เขาก็เคยกินอาหารประเภทนี้โดยฝีมือเชฟคนอื่นๆ มาก็มาก แต่ก็รู้สึกว่าต่างกับอาหารฝีมือโบคูเซ่คนละเรื่องเลย
แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เย่เฉินทำนั่น คิดไม่ถึงว่าจะไปผ่านมาตรฐานอันแสนสูงลิ่วของหลี่เฉิงเจี๋ย!
“คิดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะทำอาารเก่งขนาดนี้!”
ฝีไม้ลายมือในการต่อสู้ของเย่เฉินก็ทำให้หลี่เฉิงเจี๋ยตกตะลึงไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าฝีมือในการทำอาหารของเขาก็จะดีเลิศได้แบบนี้เหมือนกัน!
แต่ว่าจะให้เขากล่าวชมศัตรูความรักของตัวเองได้ยังไงกัน?
หลี่เฉิงเจี๋ยจึงจงใจทำท่าทางขยะแขยง “ซุปเห็ดของนายนี่อะไรกัน! รสชาติเหมือนก๊สพิษเลย แน่ใจนะว่าไม่มีพิษ? แค่กๆ… มู่ชิง ซือซือ ผมว่าอย่ากินเลยนะ รสชาติมันประหลาดมากเลย!”
ซูมู่ชิงกล่าว “ไม่นะคะ ฉันว่าอร่อยจะตายไป ถึงแม้ว่าอาจจะแตกต่างกับเชฟระดับโลกอะไรที่คุณพูดถึง แต่ก็ไม่น่าจะแย่ขนาดที่คุณพูดหรอกนะ”
เย่เฉินแค่นเสียงถาม “คุณเคยกินอาหารฝีมือโบคู่เซ่จริงหรือเปล่าเนี่ย?”
เมื่อเย่เฉินคลางแคลง หลี่เฉิงเจี๋ยก็รีบเถียงทันควัน “ฉันต้องเคยกินมาก่อนสิ! อีกทั้้งยังเคยกินที่ปาแลเดอเลลีเซเลยนะ! นั่นเป็นทำเนียบประธานนาธิบดี! เป็นงานเลี้ยงระดับชาติเลยนะ!”
“พอได้แล้ว เลิกพูดถึงงานเลี้ยงทีเถอะ ไม่เบื่อหรือไง?” เย่เฉินกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย “ตอนเด็กผมก็เคยอยู่ที่ฝรั่งเศสช่วงหนึ่ง แล้วผมยังไปที่่ปาแลเดอเลลีเซบ่อยๆ ตอนผมอยู่ที่นั่นเชฟโบคูเซ่เป็นคนทำอาหารให้ผมกินทุกมื้อเลย อีกอย่างก่อนเขาจะจากไป ยังบอกเคล็ดลับในการทำ Loup en Croûte กับซุปทรัฟเฟิลให้ผมด้วย”
หลี่เฉิงเจี๋ยได้ยินแบบนี้ก็สงสัยเรื่องนี้ทันที “ขี้โม้! แกจะเคยร่วมงานเลี้ยงระดับชาติอะไรแบบนั้นได้ยังไง!”
เย่เฉินเหนื่อยหน่าย หมอนี่ก็ยังไม่ลืมเรื่องงานเลี้ยงระดับชาติเสียที
ซูมู่ชิงอธิบาย “เฉิงเจี๋ย ตระกูลเย่เขามีอิทธิลระดับโลกเลยนะ เขาสนิทสนมกับตระกูลใหญ่ๆ และอาจารย์เก่งๆ ต่างๆ เป็นจำนวนมาก เขาจะรู้จักโบคูเช่ก็ไม่แปลกหรอก”
จู่ๆ หลี่เฉิงเจี๋ยก็คิดขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ ซูเจิ้นหางเคยบอกให้เขาตัดใจจากหญิงสาวตรงหน้า เป็นเพราะเย่เฉิน!
แถมยังบอกว่าพื้นเพของเขาสู้เย่เฉินไม่ได้!
ถึงแม้ว่าหลี่เฉิงเจี๋ยจะไม่ได้รู้เรื่องตระกูลเย่อะไรนักหนา แต่ก็แน่ใจว่ากิตติศัพท์ของครอบครัวนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหก!
แต่เขาก็ยังกล่าวว่า “ลูกผู้ชายไม่พูดเรื่องเก่า นายจะเอาแต่พูดเรื่องรุ่งเรืองในอดีตของตัวเองไปทำไม? รู้จักโบคูเซ่แล้วไงเหรอ? เคยไปปาแลเดอเลลีเซแล้วทำไมนักหนา ตอนนี้นายไม่มีเงินจะจ่ายค่ารถด้วยซ้ำไป กระทั่งบะหมี่เนื้อวัวยังไม่มีปัญญาจะกินเลยไม่ใช่หรือไง? ฮ่าๆ…”
ตอนเย่เฉินกำลังจะโวยวาย จู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
คนที่โทรมาก็คือเจ้าของเรือนสี่ประสานที่เขาอาศัยอยู่ เหอหมิ่น!
เย่เฉินประหลาดใจ “หรือว่ามีข่าวคราวของหงเหยียนแล้วหรือเปล่านะ?”