เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 36 ไปบ้านตระกูลหวังอีกครั้ง
เย่เฉินเพิ่งมาถึงบริษัท
เมื่อวานเขากับฉินหงเหยียนดื่มสาเกในร้านอาหารญี่ปุ่นแถวนี้ แต่ระหว่างพวกเขาสองคนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น ต่างฝ่ายต่างก็รีบกลับไปทำงานอย่างรวดเร็ว
“ท่านประธานสวัสดีค่ะ”
“ท่านประธานสวัสดีครับ”
พนักงานในบริษัทต่างก็ทักทายอย่างสุภาพเมื่อเห็นเย่เฉิน
และในเวลานี้เองเย่เฉินก็ได้รับสายจากหวังซ่าวเจี๋ย
เย่เฉินขมวดคิ้วแล้วรับสาย
หวังซ่าวเจี๋ย “เย่เฉินรีบมาบ้านคุณย่า ฉันเจอหลักฐานที่นายเอานาฬิกาไปขายต่อแล้ว!”
เย่เฉินกล่าว “ผมยุ่งมาก ไม่ว่าง”
หวังซ่าวเจี๋ยพูดเสียงห้วน “นายไม่กล้ามาใช่ไหมล่ะ? พวกเราเชิญคนซื้อนาฬิกาจากนายมาที่บ้านแล้ว ถ้าแน่จริงก็มาเจอเขา!”
เย่เฉินแปลกใจ เขาไม่ได้ขายต่อนาฬิกาด้วยซ้ำไป หวังซ่าวเจี๋ยไปเอาพยานบุคคลที่ว่ามาจากไหน?
หวังซ่าวเจี๋ยกล่าวต่อ “คงจะเสียเวลานายไม่กี่นาทีหรอกน่า คุณฉินอยู่บริษัทคงไม่ต้องให้นายคอยปกป้องหรอก รีบมาเร็วๆ”
เย่เฉินไม่อยากไปตระกูลหวังแต่เขาไม่อยากให้คนตระกูลหวังคิดว่าตนเองขโมยของพวกเขาไป
“ช่างเถอะ ผมไปก็ได้ จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยพวกคุณจะได้เลิกวุ่นวายกับผมสักที”
เย่เฉินวางสายแล้วคุยกับโจวหรงหรง “เลขาโจว คุณขับรถได้ไหม? ขับไปส่งผมที่วิลล่าในเขตซีซานหน่อย”
“ค่ะ!” โจวหรงหรงรีบวางงานในมือแล้วหยิบกุญแจรถขึ้นมา เดินไปกดลิฟต์ให้เย่เฉิน แล้วพวกเขาก็ตรงดิ่งลงไปที่ลานจอดรถใต้ดิน
โจวหรงหรงคือเลขาส่วนตัวของฉินหงเหยียน เงินเดือนแปดพันหยวนกว่าๆ ต่อเดือน หญิงสาวมีรถออดี้ A3 อยู่คันหนึ่ง
ครั้งนี้โจวหรงหรงใช้รถของบริษัทส่งเย่เฉิน เป็นรถเบนซ์ S600 ซึ่งเป็นรถที่ผู้บริหารนั่ง ปกติแล้วรถคันนี้ใช้เพื่อไปออกกิจกรรมต่างๆ หรือไม่ก็ส่งแขกของผู้บริหาร
เแต่เย่เฉินไม่ชอบรถคันนี้เพราะออกจะไม่เหมาะกับคนอายุในวัยเขา เขาจะต้องหาเวลาไปซื้อรถขับเองสักวัน
โจวหรงหรงนั่งที่ตำแหน่งคนขับ ส่วนเย่เฉินนั่งด้านหลัง โจวหรงหรงขับด้วยความรวดเร็วแต่ยังนุ่มอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหล่อนมักจะลอบมองเย่เฉินผ่านทางกระจกหลัง
“น่าหงุดหงิดจริงๆ ทำไมท่านประธานต้องไปนั่งด้านหลังด้วยนะ”
โจวหรงหรงสะเทือนใจ ช่วงนี้หล่อนเอาแต่หมกมุ่นเรื่องที่คุณฉินย้ายไปเป็นเลขาส่วนตัวของเย่เฉิน ซึ่งนั่นแปลว่าอีกฝ่ายมีโอกาสใกล้ชิดกับชายหนุ่มรูปงาม
สามสิบนาทีต่อมา เย่เฉินก็มาถึงวิลล่าที่เขตซีซาน รถจอดตรงที่ปากประตูของวิลล่าอันที่บ้านพักของหญิงชรา
ในเวลานี้หวังซ่าวเจี๋ย หวังหยวนหยวน หวังเจียเหยาและคนอื่นๆ กำลังยืนรอเย่เฉินอยู่ที่ประตูแล้ว
แล้วพอเห็นรถหรูราคาสองล้านกว่าหยวนก็ตกตะลึง
จากนั้นก็เห็นโจวหรงหรงลงมาจากตำแหน่งคนขับรถ แล้วก็เดินอ้อมด้านหลังรถเพื่อไปเปิดประตูที่ด้านหลังให้เย่เฉินอย่างรวดเร็ว
จากนั้นพวกเขาก็เห็นเย่เฉินในชุดสูทเดินลงมาจากรถ
“เลขาโจว คุณรอผมที่นี่” เย่เฉินจดกระดุมชุดสูทแล้วหันมาบอกโจวหรงหรง
“ได้ค่ะ” โจวหรงหรงค้อมศีรษะรับคำอย่างนอบน้อม
เย่เฉินเดินตรงไปที่วิลล่า
หวังซ่าวเจี๋ยเห็นเย่เฉินก็ยิ้มกว้าง “ฮ่าๆ เย่เฉิน นายนี่ตอแหลเก่งจริงๆ ทำเป็นวางมาดเหมือนตัวเองเป็นผู้บริหารอย่างนั้น แถมยังใช้ให้เลขาโจวขับรถมาให้แล้วเปิดประตูรถให้อีก ไหนพูดมาว่านายให้เงินหล่อนไปกี่บาท?”
หวังหยวนหยวนใช้มือกอดอกทำให้เห็นเรือนร่างที่งดงามชัดขึ้น “ใครไม่รู้บ้างว่าว่านายเป็นสุนัขรับใช้ของคุณฉินยังจะมาเสแสร้งอีก?”
เย่เฉินฟังเสียงเหน็บแนมของหวังหยวนหยวนและหวังซ่าวเจี๋ยมานานจนชินชา ทว่าสิ่งที่ทำให้เย่เฉินแปลกใจก็คือ ครั้งนี้หวังเจียเหยากลับไม่ร่วมวงด่าตนเองด้วย
เย่เฉินมองหวังเจียเหยาอย่างแปลกใจคิดไม่ถึงว่าหวังเจียเหยากลับมองตนเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม!
“ฮ่าๆ ที่หงเย่พูดเป็นเรื่องจริง เย่เฉินไปทำงานที่บริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ปเพื่อที่วันหนึ่งจะได้ประสบความสำเร็จให้ฉันได้เห็น วันนี้เขาถึงได้แสร้งวางท่าทำเป็นคนประสบความสำเร็จ ยืนยันข้อสันนิษฐานของหงเย่ได้พอดี!”
หวังเจียเหยารู้สึกว่าเย่เฉินกำลังแสร้งทำอยู่ แต่หล่อนค่อยๆ เข้าใจว่าทำไมเย่เฉินถึงต้องเสแสร้ง
นั่นเพื่อให้ตนเองเห็นคุณค่าเขาบ้าง!
หวังเจียเหยากล่าวอย่างลิงโลดในใจเมื่อเห็นเย่เฉิน “เย่เฉิน นายเสร็จฉันแล้ว! ตอนนี้หย่ากันก็ดี ฉันจะได้ไปหาคู่ครองที่เหมาะสมแล้วค่อยให้นายเป็นตัวสำรองของฉัน!”
ความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นในใจหวังเจียเหยา
สมัยนี้แล้วคนสวยๆ มากมายต่างก็มีตัวสำรอง บางครั้งมีมากกว่าคนเดียวด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนหวังเจียเหยาเหยียดหยามพฤติกรรมนี้ แต่หญิงสาวรอบตัวล้วนแต่ทำเช่นนี้ทำให้หล่อนเองก็ได้รับอิทธิพลมาด้วยโดยไม่รู้ตัว
เย่เฉินไม่รู้ว่าหวังเจียเหยากำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่มองหล่อนแม้แต่น้อยแต่เสสายตาไปมองหวังซ่าวเจี๋ยแล้วกล่าว
“เลิกพูดไร้สาระสักที พยานบุคคลที่คุณว่าล่ะ?”
หวังซ่าวเจี๋ยกล่าวอย่างได้ใจ “อยู่ด้านใน ตามฉันเข้ามาสิ”
เย่เฉินเดินตามหวังซ่าวเจี๋ยเข้าไปในวิลล่า
ตลอดสามปีที่ผ่านมาเย่เฉินเคยมาที่วิลล่าแห่งนี้หลายครั้ง น่าจะมากกว่าพวกหวังซ่าวเจี๋ยด้วยซ้ำไปดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่
แต่เพิ่งก้าวจะเข้าประตู เย่เฉินก็ต้องตกตะลึง
เมื่อเห็นชายแปลกหน้าในเสื้อผ้าเปรอะเปื้อน เนื้อตัวมีรอยสักและบาดแผล แววตาโหดเหี้ยมยืนอยู่เกือบสิบคนด้านใน!
คนพวกนี้แค่ปรายตามองก็รู้ว่าเป็นนักเลงหัวไม้
“แปลกจัง พวกเขาเข้ามาทำไม?”
เย่เฉินเดินเข้าไปอย่างแปลกใจ จู่ๆ ก็มีชายผมทรงเดรดล็อคแค่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีเดินตรงมาหาเขา
“อ้าวเย่เฉิน เราเจอกันอีกแล้วนะ” ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว
เย่เฉินมองฝ่ายตรงข้าม “พวกเราไปเจอกันตอนไหน?”
อีกฝั่งตอบกลับมาว่า “นายลืมแล้วเหรอ ก็เมื่อสองวันก่อนฉันเอาเงินให้นายห้าล้านไง ฉันคือพี่กวาอย่างไรล่ะ!”
หวังซ่าวเจี๋ยตะคอก “อวิ๋นโจวจะสงบหรือไม่พี่กวาเป็นคนตัดสิน! เด็กมัธยมปลายคนไหนๆ ก็รู้จักพี่กวากันทั้งนั้น นายไม่รู้จักเขาเหรอ? ฉันว่านายจงใจทำเป็นไม่รู้จักเขาเพราะไม่กล้ายอมรับว่าเอานาฬิกาไปขายต่อให้พี่กวาต่างหาก!”
พอได้ยินคำผสมโรงจากหวังซ่าวเจี๋ย ซีกวาก็เชิดหน้าอย่างได้ใจ
เย่เฉินรู้สึกเพียงแต่ว่าช่างน่าขัน “อวิ๋นโจวจะสงบหรือไม่พี่กวาเป็นคนตัดสิน? เหอะๆ คาร์เมโล่ แอนโธนี่เป็นไอดอลของนายล่ะสิ?”
เย่เฉินเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน ประโยคดั้งเดิมก็คือนิวยอร์คจะสงบหรือไม่ พี่กวาเป็นคนตัดสิน ‘พี่กวา’ ในที่นี้ก็คือคาร์เมโล่ แอนโธนี่ซึ่งเป็นนักกีฬา NBA เขาเป็นหัวหน้าแก๊งค์ ฉายาเขาคือ ‘เมโล[1]แมน’
“แล้ว…แล้วจะทำไม!” ซีกวาคิดไม่ถึงว่าเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว เย่เฉินจะรู้ว่าไอดอลของเขาคือใคร
เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อ้อ ก็ไม่มีอะไร จู่ๆ ก็คิดถึงตอนที่อยู่อเมริกา ผมเคยเล่นบาสกับเมโลแมนและคิงเจมส์ [2]”
ตอนปี 2003-2006 เย่เฉินบังเอิญอยู่ที่อเมริกาพอดี ตระกูลจัดการให้เขาเล่นบาสกับพวกนักกีฬาอาชีพก็เพื่อให้เขาได้มีหุ่นแบบนักกีฬา
ทว่าซีกวากลับไม่ยอมเชื่อ “นายนี่มันโม้เก่งจริงๆ! นายมาจากชนบทไม่ใช่หรือไง? ฉันมองออกนะว่าแค่เข้าเมืองก็ยังยากไม่ต้องพูดเรื่องไปเมืองนอกเลย”
“พอได้แล้ว! เลิกโวยวายสักที!”
จู่ๆ คุณนายหวังก็เดินออกมาจากห้องพอดี โดยที่อุ้มเจ้าพุดเดิ้ลไว้ในอ้อมแขน
“เย่เฉิน วันนี้ฉันจะต้องใช้กฏประจำตระกูลเราจัดการแก!” คุณนายหวังคิดในใจอย่างเคียดแค้น
[1] ผู้แปลคาดว่า เมโลฟังเพี้ยนเป็นเมลอนได้ ดังนั้นเมโล่แมนถึงกลายเป็น 瓜 กวา
[2] คิงเจมส์ หมายถึง LeBron Raymone James