เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 460 นายคือคนตาบอด
ตอนที่ 460 นายคือคนตาบอด!
เย่เฉินอมยิ้ม เมื่อย้อนนึกถึงเมื่อคืนนั้นแล้วกล่าว“ไม่ครับ คุณพ่อ คุณแม่ยายดีกับผมมาก…”
เมื่อย้อนนึกตบนั้นที่ฟาดหน้าจางเชี่ยนจือแล้ว ตอนนี้เย่เฉินก็ยังรู้สึกสะใจอยู่เหมือนกัน!
ในฐานะที่เป็นลูกเขยของจางเชี่ยนจือ ไม่ว่าจางเชี่ยนจือจะทำเรื่องเกินไปกับเย่เฉิน พูดจารุนแรงใส่เขามากเท่าไหร่ เย่เฉินก็ะลงมือทำร้ายผู้อาวุโสไม่ได้ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงด้วย
ดังนั้นการได้แอบเอาคืนลับๆ ก็สะใจดี
เย่เฉินกล่าวกับซูมู่ชิง“มู่ชิง นั่งลงเถอะ มีการแสดงจะไม่น่าดูได้ยังไง? ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน คนอายุเท่าๆ เราในประเทศนี้จะเก่งกว่าผมขนาดไหน!”
ซูเจิ้นหางพยักหน้ารับอย่างพออกพอใจ คิดไม่ถึงว่าเย่เฉินจะมีความกล้าและใจกว้างแบบนี้
นี่จะต้องมีความเชื่อมั่นขนาดไหน ถึงได้นั่งอยู่ที่นี่เพื่อชมความสามารถของเหล่าศัตรูหัวใจ?
อย่างแรกเลยคือเหล่าคแสดงเป็นลูกหลานพวกคนในเมืองหลวง เนื้อหาในการแสดงล้วนแต่ขาดความน่าสนใจ จึงไม่สามารถทำให้คนอย่างซูมู่ชิงสนใจได้เลย
ถ้าหากไม่พูดเรื่องเสน่ห์ส่วนตัว พูดแต่เรื่องพื้นเพครอบครัว นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวหมดความสนใจไปกันใหญ่
ในเมืองหลวงใครจะสู้ตระกูลซูได้?
หลังจากนั้นก็มีคุณชายจากเมืองอื่นๆ หลายคนทำการแสดงโชว์ฝีมือกันบ้าง แต่ก็พอจะถูไถทนดูได้
สุดท้ายก็เหลือแต่สามคน ก็คือหม่าอวี่จากเสินเฉิง เจิ้งหงจากอวิ๋นโจวและหลิ่วอวี่เจ๋อจากเมืองเทียนไห่!
เพราะการแสดงความสามารถพวกนี้เดิมเป็นการคัดเลือกสามีของซูมู่ชิง เป็นเขยตระกูลซู แต่พูดว่าเป็นการแสดงเพื่อสร้างความบันเทิงให้ซูเจิ้นหาง
ดังนั้นพอถึงตาหม่าอวี่เขาเดินไปหาซูเจิ้นหางแล้วกล่าวกับอีกฝ่านด้วยความเคารพ “ท่านซูครับ ผมไม่ค่อยถนัดแสดงความสามารถพิเศษอะไรพวกนี้หรอกครับ ผมคนนี้ไม่ชอบเสียงดังโวยวาย เพราะที่บ้านทำงานในสายข้าราชการ ผมเลยได้รับอิทธิพลมาอาจารย์จากอาจารย์ของคุณพ่อ ผมได้ฟังเรื่องราวจนได้รับอิทธิพลมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้สนใจการดูโหงวเฮ้งอย่างมากเลยครับ”
คนจำนวนไม่น้อยในงานต่างก็รู้ว่าพื้นเพที่บ้านของหม่าอวี่ไม่ธรรมดาจึงเยินยอ
“คิดไม่ถึงว่าคุณหม่าอายุยังน้อยแต่กลับเข้าใจเรื่องโหงวเฮ้งเป็นอย่างดี สุดยอดจริงๆ”
“จริงด้วย มิน่าพ่อของคุณหม่าถึงได้เจริญในหน้าที่การงาน”
ซูเจิ้นหางกล่าวยิ้มๆ “หม่าอวี่ ในเมื่อเธอดูโหงวเฮ้งเป็น ไม่งั้นช่วยดูให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
หม่าอวี่ก้มศีรษะลง“ไม่กล้า! โหงวเฮ้งของท่านซูไม่ต้องดูก็รู้ครับว่าอายุต้องมากกว่าร้อยปี อีกทั้งตระกูลจะต้องรุ่งเรืองต่อไป”
เหล่าราชครูในยุคโบราณก็ไม่กล้าดูโหงวเฮ้งให้ฮ่องเต้
ราชวงศ์ถังมีอภิปรัชญาคนหนึ่งชื่อหยวนเทียนกัง เคยดูโหงวเฮ้งของถังไท่จงหลี่ซื่อหมิน ถังไท่จงจึงถามเขาว่า“เราจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร?”
ในใจหยวนเทียนกังมีคำตอบแล้ว แต่เขายังคงกล่าวหลังคุกเข่า “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี!”
ลำดับต่อมาถังไท่จงก็ถามเขา “เจ้าว่าข้าจะเป็นฮ่องเต้ได้อีกกี่ปี?”
หยวนเทียนกังกล่าว “นอกเสียจากว่าตอนหมูปีนขึ้นต้นไม้ได้!”
ถังไท่จงมีความสุขมาก เพราะหมูจะปีนต้นไม้ได้อย่างไร นี่แปลว่าอาณาจักรราชวงศ์ถังจะสามารถอยู่ไปได้อย่างยาวนาน
แต่เขาไม่เข้าใจคำว่าหมูของหยวนเทียนกัง เพราะในตอนนี้มีฮ่องเต้ชื่อจูเวิน ที่ยอมแพ้ให้ราชวงศ์ถังแล้วทางราชสำนักให้ความสำคัญ
ต่อมาในตอนที่เขาเรืองอำนาจ เลยล้มราชวงศ์ถังแล้วตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้
ถึงแม้ว่าหม่าอวี่จะอายุยังน้อย แต่ก็รู้ว่าไม่สามารถไปดูโหงวเฮ้งอย่างคนอย่างซูเจิ้นหาง
ต่อให้ดูก็พูดความจริงไม่ได้ แล้วจะดูไปทำไมกัน?
จางเชี่ยนจือรู้สึกว่าหม่าอวี่ค่อนข้างน่ารักมากทีเดียว ท่าทางสุขุม สวมใส่แว่นตา ตัวไม่สูง ดูไปแล้วเหมือนนักเรียนประถม
ถึงแม้ว่าจะเหมาะกับซูมู่ชิงมาก แต่เขามีครอบครัวที่ดี อีกทั้งยังควบคุมได้ง่าย ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกลูกเขยที่ไม่เลว
จางเชี่ยนจือกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “หม่าอวี่ ไม่อย่างนั้นเธอดูโหงวเฮ้งให้มู่ชิงของเราหน่อยสิ”
หม่าอวี่หันมองซูมู่ชิง เมื่อเห็นวงหน้างดงามล่มเมืองของผู้หญิงคนนี้ ในทันใดนั้นเองใบหน้าก็แดงขึ้นมา “ได้…”
หม่าอวี่เดินเข้ามา แล้วมองจางเชี่ยนจือเป็นอย่างแรก “พี่มู่…มู่ชิง สวัสดีครับ…”
จางเชี่ยนจือกล่าวพลางระบายยิ้ม “แหมๆ เรียกพี่มู่ชิงทำไม ถึงแม้ว่าซูมู่ชิงจะโตกว่าเธอนิดหน่อย แต่ก็น่าจะถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกัน เรียกชื่อเฉยๆ เลยก็ได้”
หม่าอวี่มองซูมู่ชิงแล้วกลืนน้ำลาย “มู่…มู่…”
คิดไม่ถึงว่าเด็กหม่าอวี่คนนี้จะไม่กล้าเรียกหล่อนว่ามู่ชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาว
ทุกคนล้วนแต่ประหลาดใจ คุณชายที่มีครอบครัวที่ยิ่งใหญ่จะเป็นคนเหนียมอาย เมื่ออยู๋ต่อหน้าผู้หญิงถึงกับ พูดอะไรไม่ออก
เห็นเขาอ้าปากพะงาบๆ ทันใดนั้นเองเย่เฉินก็เปิดปาดเอ่ย “คุณควรเรียกหล่อนว่าคุณนายเย่นะ”
หม่าอวี่ไม่ประหม่า เขาหันมองเย่เฉินด้วยแววตาไม่พอใจ
เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงสวยๆ อย่างซูมู่ชิง ก็จะประหม่าไม่กล้าพูดจา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายเขาไม่ได้มีปัญหาแบบนั้นแต่อย่างใด
หม่าอวี่กล่าว “ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ได้รู้จักคุณเย่! ผมรู้แค่ว่าหล่อนคือคุณหนูซู !”
เย่เฉินเหลือบมองผู้ชายที่ตัวน่าจะสูงประมาณแค่ 166 ซม. คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจกล้าขนาดกล้าเถียงกับเย่เฉิน !
เย่เฉินกล่าว “ได้ยินมาว่าอาจารย์หม่าเป็นชินแส เป็นผู้พยากรณ์เหรอ?”
หม่าอวี่เชิดหน้า “คงไม่ถึงขั้นเป็นอาจารย์หรอกครับ แต่คุณจะเรียกผมว่าคุณครู ผมอาจจะยังพอรับไหว!”
เย่เฉินกล่าวยิ้มๆ “คุณครูหม่า ผมเองก็เคยศึกษาเรื่องโหงวเฮ้ง จิตวิทยา การแสดงสีหน้าต่างๆ มาบ้างพอดีเลย”
หม่าอวี่ถามด้วยความสงสัย เหมือนว่าจะไม่ค่อยเชื่อ “อ้อ? งั้นเหรอ?”
เย่เฉินพยักหน้ารับ “ในเมื่อคุณดูโหงวเฮ้งเป็น ช่วยดูให้ผมได้ไหม?”
จางเชี่ยนจือที่อยู่ข้างๆ โพล่งออกมา “เขามาเพื่อช่วยดูโหงวเฮ้งให้มู่ชิง ผู้ชายตัวใหญ่ๆ อย่างแกมีอะไรต้องดูเหรอ!”
ที่จางเชี่ยนจือให้หม่าอวี่ดูโหงวเฮ้งของซูมู่ชิงก็เพระอยากอาศัยโอกาสนี้ทำให้พวกเขาได้สนิทสนมกันมากขึ้น เพื่อจะให้ซูมู่ชิงชอบผู้ชายคนนี้
แต่เย่เฉินอยู่ในงานด้วย เขาจะยอมให้ผู้ชายคนอื่นเข้าใกล้ภรรยาของตนเองได้ยังไง!
ทว่าหม่าอวี่กลับกล่าวว่า“คุณน้า ไม่เป็นไรครับ ผมจะดูให้เขา!”
หม่าอวี่หันมองเย่เฉินพลางกล่าว “ท่านซูและผู้อาวุโสทุกท่านล้วนแต่อยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าคุณจะใส่แว่นตาดำ เสียมารยาทจริงๆ! คุณถอดแว่นตาดำเถอะ ผมจะได้ช่วยคุณดูโหงวเฮ้งให้สะดวก!”
เย่เฉินเองไม่ได้กลัวเรื่องที่ว่าเขาจะจับได้เรื่องที่ตนเองแกล้งตาบอด เขารู้ว่าเด็กเปรตคนนี้ไม่ได้รู้เรื่องลึกซึ้งนักหรอก
ดังนั้นเย่เฉินถอดแว่นตาออก หลังจากนั้นก็เสสายตาไปจับจ้องจุดใดจุดหนึ่งไม่ไหวติง
หม่าอวี่จ้องเย่เฉินแล้วแอบกล่าวในใจ “ไอ้หน้าโง่ ฉันรู้เรื่องแกตาบอดมาตั้งนานแล้ว!”
มองโดยละเอียดแล้วหม่าอวี่กล่าวเสียงดัง “ถึงแม้ว่าดวงตาคุณเย่จะดูไปแล้วไม่เสียหาย เหมือนกับคนปกติ แต่ดวงตาไร้แวว อีกทั้งความสามารถในการมองรอบๆ ก็ไม่ค่อยดีมากด้วย ถ้าผมทายไม่ผิดล่ะก็ คุณเย่คุณน่าจะเป็นคนตาบอด! คุณมองไม่เห็น!”