เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 548 บรรพบุรุษของแปดตระกูล!
ตอนที่ 548 บรรพบุรุษของแปดตระกูล!
เย่เทียนดูรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด เขาหันมองเย่เซวียนแล้วถาม “นายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง!”
เย่เซวียนแค่นเสียงเย็นแล้วกล่าว “ทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมดยกเว้นน้องสาม ว่าเมื่อสี่ปีก่อนตอนที่น้องสามไปสนามรบ พี่บอกว่าจะช่วยจัดเตรียมให้น้องแล้วผลเป็นยังไง? พี่ได้ทำหรือเปล่า”
สีหน้าเย่เซวียนย่ำแย่อย่างหนัก เขาเดินไปหาเย่เฉินแล้วกล่าว “น้องสาม เรื่องนี้พี่เผลอเรอเอง ไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก แต่ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายนายนะ พี่จะทำร้ายนายได้ยังไง นายก็น่าจะรู้ดี”
แล้วในตอนนี้เองพ่อบ้านฟางก็ออกตัวแทนเย่เทียน “เมื่อครู่คุณชายใหญ่เพิ่งจะชมคุณชายสามว่าสามารถทำภารกิจในการพาคุณชายรองกลับบเนได้สำเร็จลุล่วงได้ในเวลาสั้นๆ แล้วยังบอกด้วยวว่าตัวเองสู้คุณชายสามไม่ได้ เอ่ยปากขอให้นายท่านใช้ทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลใช้เพื่ออบรมคุณชายสามอยู่เลย”
เย่เทียนและพ่อบ้านฟางพูดแบบนี้แล้ว ทำให้เย่เฉินไม่รู้จะพูดอะไรดี
แล้วในตอนนี้เองเย่ฉงไห่จึงกล่าว “พอได้แล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว เสี่ยวเซวียน ภารกิจของหลานครั้งนี้ ปู่จะเป็นคนจัดการทั้งหมดให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง จะไม่ยอมให้หลานต้องเสี่ยงอันตรายที่สนามรบแน่นอน แบบนี้ใช้ได้หรือยัง?”
เย่เซวียนรู้ว่าตนเองน่าจะหนีไม่รอดแล้วจึงหัวเราะ “คุณปู่พูดแบบนี้ผมก็สบายใจครับ!”
เย่ฉงไห่พยักหน้ารับแล้วหันมองพ่อบ้านฟาง “ตอนนี้มีที่ไหนรบกันบ้าง?”
พ่อบ้านฟางค้อมตัวลงแล้วกล่าว “อินเดียกับปากีสถาน”
เย่ฉงไห่ครุ่นคิดแล้วกล่าว “อ่อ งั้นก็ให้เย่เซวียนไปที่อินเดียแล้วกัน”
เย่เซวียนได้ยินก็มีความสุขอย่างมาก “ฮ่าๆ อยู่ใกล้จีนกับเกาหลีดีนี่ครับ ใช้ได้เลย”
พูดจบเขาก็ส่งสายตาให้เย่เฉิน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะบอกเย่เฉินว่าเรื่องที่สั่งให้น้องชายพาตัวยุนอาไปหาเขาก็จะง่ายลง
หลังจากที่เย่ฉงไห่จัดการเรื่องเย่เซวียนแล้วก็หันมองเย่เฉิน แล้วกล่าวอย่างพอใจ “เสี่ยวเฉิน ดีใจด้วยนะ หลานทำภารกิจสุดท้ายของตระกูลเสร็จแล้ว! ตอนนี้หลานมีสิทธิ์ได้รู้ความลับของตระกูลเราและตระกูลเย่แล้ว!”
และในตอนนี้เองจู่ๆ สีหน้าเย่เทียนก็ร้อนรนแล้วรีบร้อนกล่าว “คุณปู่ ถึงแม้ว่าน้องสามจะเก่งกว่าคนอื่นๆ แต่ใจเขายังไม่สงบนิ่งพอ โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ผมคิดว่าถ้าบอกความลับของตระกูลกับน้องสามตอนนี้ยังไวไปหน่อย ควรจะฝึกจิตใจน้องสามก่อน เพื่อให้เขามีวุฒิภาวะกว่านี้”
เมื่อพูดจบเย่เทียนก็เหมือนจะกลัวเย่เฉินจะโกรธ แล้วปลอบเย่เฉิน “น้องสาม นายอย่าคิดว่าพี่ตั้งใจจะหาเรื่องนายนะ พี่หวังดีกับนายทั้งนั้น ความลับของตระกูลเย่เรา ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของตระกูบใดตระกูลหนึ่ง แต่ว่ามันเกี่ยวโยงกับโลก เกี่ยวพันกับมนุษยชาติ! นายอาจจะยังไม่รู้ว่าคุณปู่ประเมินนายในภารกิจแต่งเข้าสามปีนั่นเอาไว้ที่ B+ เพราะตอนที่นายรู้เรื่อหวังเจียเหยาทรยศนาย นายยังนิ่งไม่พอ”
เย่เฉินหัวเราะร่วน “ทำไมล่ะ พี่ใหญ่กำลังกลัวว่าเกิดวันไหนซูมู่ชิงจะเป็นเหมือนหวังเจียเหยาที่สวมเขาให้ผม แล้วผมจะทำลายล้างโลกเหรอครับ?”
เย่เทียนตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ! ซูมู่ชิงอาจจะนอกใจนายลงก็ได้ เพราะหล่อนเป็นตัวอันตรายจริงๆ!”
เย่เฉินหัวเสีย “พี่พูดอะไรออกมา ! ซูมู่ชิงรักผมได้แค่คนเดียวไปตลอดชีวิตเท่านั้น! แล้วไม่ใช่หล่อนทำลงหรือเปล่า แต่มันคือหล่อนทำได้หรือเปล่าต่างหาก! หล่นไม่สบาย! พี่ไม่รู้หรือไงครับ?!”
ที่จริงวินาทีนี้เย่เฉินอยากจะพูดเรื่องที่รูปที่เย่เทียนปลอมขึ้นมาเพื่อนใส่ร้ายซูมู่ชิงกับคุณหมอกัวใจจะขาด
แต่เย่เซวียนโน้มน้าวเย่เฉินเอาไว้ว่าอย่าทะเลาะกับเย่เทียนซึ่งๆ หน้า ด้วยความเข้าใจที่เขามีในตัวพี่ชายนั้น ว่าเขาคนนี้เป็นเหมือนอสรพิษจอมตีสองหน้า เขาไม่มีทางยอมรับแน่ๆ
แต่ใครจะรู้พอเย่เทียนได้ยินแล้วกลับหัวเราะแปลกๆ “’งั้นเหรอ?”
ในตอนนี้เย่เซวียนก็ผุดลุกขึ้นมาแล้วออกตัวแทนเย่เฉิน “งั้นจากคำพูดของพี่ใหญ่แล้ว พี่คิดว่าควรต้องให้น้องสามฝึกจิตใจยังไงล่ะครับ?”
เย่เทียนเกล่าว “จุดเริ่มต้นที่ทำให้น้องสามยังไม่นิ่งพอก็คือหวังเจียเหยา ดังนั้นเลยต้องฝึกฝนโดยใช้หวังเจียเหยา ตอนนี้หล่อนอยู่ในปราสาทของเรา น้องสสามควรจะแต่งงานกับหวังเจียเหยาอีกรอบแล้วฝึกฝนอีกสองปี ถ้าหากว่านายสามารถทนอยู่กับผู้หญิงที่นายเกลียดจนเข้ากระดูกดำได้สองปี ถึงจะนับว่านายได้ผ่านการทดสอบจิตใจแล้วจริงๆ!”
ให้เย่เฉินอยู่กินกับหวังเจียเหยาอีกเหรอ?
เย่เฉินยังไม่ทันโวยวาย เย่เซวียนก็ชิงตะโกนออกมา “บ้าหรอ พี่ใหญ่ เรื่องบัดสีแบบนี้พี่ก็พูดได้นะ! ปากของนังนั่นจูบผู้ชายมาแล้วกี่คน? เรียกผู้ชายว่าที่รักมาแล้วกี่คนน่ะ? พี่ให้หล่อนจูบเย่เฉินอีก แล้วใช้ปากที่เคยเรียกผู้ชายคนอื่นมาเรียกน้องชายเราว่าที่รักเหรอ? ผมว่าพี่ไม่ได้จะฝึกน้องแล้วล่ะ แต่น่าจะอยากทรมานน้องให้ตายมากกว่า! ใครทันจะไปทนอยู่กับผู้หญิงที่เคยนอกใจไปคบหากับผู้ชายอื่นอีกรอบ?”
เย่เทียนกล่าว “ทุกภารกิจของนายผ่านมาแบบฟลุคๆ นายไม่มีสิทธิ์พูดถึงน้องสาม!”
เย่เซวียนแค่นเสียง “พี่คิดว่าน้องสามจะเป็นหุ่นเชิดให้พี่สั่งเขาหรือไง? ผมจะบอกพี่ไว้เลยนะ ผมบอกความลับของตระกูลเรากับน้องสามแล้ว!”
เย่เทียนและเย่ฉงไห่ตกตะลึง
เย่เฉินจึงกล่าว “ใช่ครับ ผมรู้เรื่องทั้งแปดตระกูลแล้วครับ”
เย่ฉงไห่เห็นแบบนั้นก็กล่าว “ในเมื่อเสี่ยวเฉินรู้เรื่องแล้ว งั้นเรื่องฝีกจิตใจก็หยุดไปก่อนแล้วกัน ปู่เชื่อว่าจิตใจของเสี่ยวเฉินจะนิ่งไปเองตามอายุที่มากขึ้น เสี่ยวเฉินหลานตามปู่มา ปู่มีเรื่องจะคุยกับหลานตามลำพัง”
“ครับ!”
เย่เฉินเดินตามเย่ฉงไห่เข้าไปในห้องของเขา
เย่เฉินจัดการปิดประตูให้เรียบร้อย เพราะรู้ว่าคำพูดของที่ปู่จะบอกเขานั้นเป็นเรื่องส่วนตัว และสำคัญอย่างมาก
เย่ฉงไห่ภูมิใจอย่างมากให้ตัวหลานชาย “หลานชาย ปู่รอวันนี้มานานมากแล้ว หลานไม่ทำให้ปู่ผิดหวังจริงๆ วินาทีที่ปู่รอก่อนตายมาถึงแล้ว!”
เย่เฉินรีบร้อนกล่าว “คุณปู่ครับ คุณปู่จะต้องอายุยืนยาว เป็นเพราะผมไม่เอาไหนทำให้ปู่ต้องรอผมนาน”
เย่ฉงไห่กล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เสี่ยวเฉินเอ๊ย เสี่ยวเซวียนเขาคงน่าจะบอกเรื่องทั้งแปดตระกูลกับหลานแล้ว แต่ว่าเรื่องแปดตระกูลที่หลานรู้เนี่ย รู้เท่าไร เดี๋ยวปู่เล่าเรื่องให้หลานฟังอีกรอบแล้วกัน”
“ครับ!”
เย่เฉินสงสัยเรื่องตระกูลลึกลับมากมาย
ส่วนเย่ฉงไห่เองไขว้แขนแล้วกล่าว “ร้อยปีก่อน พ่อของปู่ทวดของหลานน่ะอยู่ที่จีนจับปลาเพื่อประทังชีวิต ในวันหนึ่งเมื่อเขาตื่นมาก็พบว่าตัวเองอยู่บนเรือลำหนึ่ง แถมเรือลำนั้นลอยอยู่กลงมหาสมุทร หันไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไร เขากลัวมาก เลยเดินไปทั่วๆ เรือก็พบว่าบนเรือยังมีคนอื่นอีก แต่ว่าคนพวกนั้นล้วนแต่เป็นชาวต่างชาติ มีทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกาแล้วก็อังกฤษ”
เย่เฉินตกใจทันที “หรือว่าคนพวกนี้ก็คือบรรพบุรุษของพวกเราแปดตระกูลเหรอครับ?”
ก่อนหน้านี้เย่เฉินประหลาดใจอย่างมาก ทำไมโลกใบนี้ถึงได้มีแปดตระกูลนี้ แล้วทั้งแปดตระกูลเกี่ยวโยงกันได้ยังไง?
เย่ฉงไห่พยักหน้ารับ “ถูกต้องแล้ว ที่จริงเราทั้งแปดตระกูลโดนเลือก”
“ใครเป็นคนเลือกครับ?” เย่เฉินรีบถาม
เย่ฉงไห่กล่าว “เป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบขวบ”