เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 565 ตระกูลซูยอมรับฉินหงเหยียน!
ตอนที่ 565 ตระกูลซูยอมรับฉินหงเหยียน!
หัวจื่อหัวเราะเจ้าเล่ห์ “ได้เลยครับ เราเพิ่มวีแชทกันเหน่อย”
เย่เฉินและหัวจื่อแลกวีแชทกัน หัวจื่อหน้าหนาดึงดันจะขอดูเครื่องยนต์ของรถพอร์ช 888 ของเย่เฉินให้ได้ แต่โดนเย่เฉินไล่ตะเพิดไป
เย่เฉินขับรถมาที่วิลล่าในซีซานอย่างรวดเร็ว วิลล่าอันเป็นบ้านใหม่ของ เย่เฉิน ซูมู่ชิงและฉินหหงเหยียน
“ที่รักครับ ผมกลับมาแล้ว!”
เย่เฉินเดินเข้าวิลล่าอย่างร่าเริง มือซ้ายโอบซูมู่ชิง มือขวากอดฉินหงเหยียน หญิงสาวทั้งสองกลิ่นกายหอมละมุน นุ่มนวลอ่อนหวาน เย่เฉินอดหอมแก้มพวกหล่อนคนละฟอดไม่ไหว
“ชอบการตกแต่งที่นี่ไหมครับ? ถ้าไม่ชอบพวกคุณคุยกันเลยนะว่าจะตกแต่งใหม่ยังไง” เย่เฉินกล่าว
ถึงแม้ว่าซูมู่ชิงจะเป็นภรรยาของเย่เฉิน แต่พอโดยเย่เฉิมหอมต่อหน้าฉินหงเหยียน หญิงสาวยังคงมีท่าทีเขินอาย
“ฉับกับพี่หงเหยียนชอบมากค่ะ ไม่ต้องตกแต่งใหม่แล้วล่ะ” ซูมู่ชิงกล่าว
ฉินหงเหยียนเองก็กล่าวอย่างมีความสุข “การตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่นี่เกรงว่าอย่างน้อยๆ น่าจะราคาหลายร้อยล้าน! แพงกว่าราคาวิลล่าอีกล่ะมั้ง!”
เย่เฉินหัวเราะนี่เป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นกับตระกูลเขา
รูปวาด ตัวอักษรทุกภาพวิลล่านี้ มูลค่าควรเมืองทั้งนั้น
เย่เฉินมองซูมู่ชิงและฉินหงเหยียนด้วยแววตาเปี่ยมรัก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นยังไงบ้าง พวกคุณสองคนคุยกันหรือยัง? ว่าคืนนี้ใครจะนอนกับผม? หรือว่าด้วยกันสามคนดีนะ?”
ซูมู่ชิงและฉินหงเหยียนตอบเขาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ฝันไปเถอะ”
ฉินหงเหยียนกล่าว “เราคุยกันแล้วล่ะ เราสองคนจะนอนด้วยกัน ส่วนคุณนอนห้องรับแขกไป”
ซูมู่ชิงเองก็กล่าวพลางระบายยิ้ม “ใช่ค่ะ เราจริงจังนะ เราสองคนมีเรื่องจะคุยกัน ส่วนคุณอย่ามายุ่ง”
“อะไรนะ?” เย่เฉินพูดไม่ออก กล้าจะแกล้งเขาแบบนี้ แล้วคนที่ได้สมหวังดังใจเป็นสองคนนี้น่ะเหรอ?
เย่เฉินส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแล้วถาม “อ้อ จริงด้วย ซือซือล่ะ?”
ซูมู่ชิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยแล้วกล่าว “ซือซืออยู่บ้านคุณแม่ แม่ไม่ให้ซือซือมาอยู่กับพวกเรา”
เย่เฉินรู้ว่าจางเชี่ยนจือไม่ยอมรับฉินหงเหยียน วันนี้โดนเย่เฉินตบไป หล่อนจึงยังโกรธเย่เฉินอยู่
ถึงแม้ว่าเย่เฉินจะไม่ชอบวิธีการของจางเชี่ยนจือ แต่ตอนนี้เขาจำต้องได้รูปหล่อนตอนสาวๆ เพื่อจะเข้าหาคนเกาหลี
เย่เฉินถาม “มู่ชิง คุณมีรูปถ่ายแม่คุณตอนสาวๆ ไหม?”
ซูมู่ชิงส่ายหน้า “ฉันเปล่านะคะ ของพวกนี้มีแต่แม่เท่านั้นแหละค่ะที่มี”
เย่เฉินพยักหน้ารับ “อ้อจริงด้วย ระหว่างทางที่ผมมา ปู่ของคุณโทรหาผมด้วย บอกว่าอยากเจอผม แบบนี้ก็ดีนะ วันนี้เป็นวันเข้าบ้านใหม่ของเรา ผมก็อยากจะเชิญคุณปู่คุณ พ่อคุณ แล้วก็แม่คุณมาที่นี่ มู่ชิง หงเหยียน พวกคุณคิดว่ายังไง?”
ซูมู่ชิงย่อมอยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะคนพวกนี้คือนในครอบครัวของหล่อน
ส่วนฉินหงเหยียนเองก็กล่าวอย่างใจกว้าง “ได้สิ”
เย่เฉินกุมมือฉินหงเหยียนแล้วกล่าว “หงเหยียนคุณสบายใจเถอะนะ วันนี้ผมจะบอกพวกเขาต่อหน้าเลยว่าคุณคือผู้หญิงของผม ผมหวังว่าพวกเขาจะยอมรับคุณ”
ฉินหงเหยียนพยักหน้ารับอย่างซาบซึ้งใจ
เวลาหนึ่งทุ่มอย่างรวดเร็
ซูเจิ้นหาง ซูหมิงเจ๋อและจางเชี่ยนจือก็มาถึงวิลล่าของเย่เฉิน
เมื่อซูเจิ้นหางเย่เฉินเห็นเย่เฉินอีกครั้ง ก็เดินมาหาเขาพลางหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ เย่เฉินกลับมาจากฮันนีมูนที่อังกฤษคราวนี้ ดูสดใสขึ้นเยอะเลยนะ ดูโตกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย!”
เย่เฉินกล่าวพลางหัวเราะ “คุณปู่นี่ตาถึงจริงๆ ครับ”
เมื่อเย่เฉินเห็นซูหมิงเจ๋อและจางเชี่ยนจือ เขาจึงเรียก “คุณพ่อ คุณแม่”
จางเชี่ยนจือกลับแค่นเสียงใส่ ไม่มีท่าทีเป็นมิตรกับเขา คราวนี้หล่อนไม่ได้อยากจะมา ไม่ใช่เพราะซูเจิ้นหางบังคับ หล่อนก็ไม่มีทางมาเหยียบที่นี่
จางเชี่ยนจือกล่าวเสียงเย็นชา “ทำไมเรียกฉันว่าแม่แล้วล่ะ เมื่อเช้าที่เรือนสี่ประสาน ยังเรียกชื่อฉันตรงๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือไง?”
ซูหมิงเจ๋อถือข้างซูเจิ้นหางอย่างเห็นได้ชัด ท่าทีของเขาที่มีต่อเย่เฉินเป็นมิตรอย่างมาก เขารีบกล่าว “คุณนี่ดูเข้าเถอะ แค่สรรพนามเองจะคิดเล็กคิดน้อยอะไร เย่เฉินเขาโตที่เมืองนอกเรียกชื่อตรงๆ เป็นเรื่องธรรมดาจะตายไป”
จางเชี่ยนจือรีบแหว “แล้วที่เขาเป็นฝ่ายลงมือตบฉันล่ะ! โลกนี้มันมีลูกเขยที่ไหนตบแม่ยายมั่งเหรอ?”
เย่เฉินยกแก้วชาส่งให้จางเชี่ยนจือด้วยใบหน้าสำนึกผิด “คุณแม่ยายครับ เมื่อตอนกลางวันไม่ว่าจะยังไงผมก็ไม่ควรตบแม่ ผมขอโทษนะครับ”
จางเชี่ยนจือหันมองเย่เฉิน หล่อนเองก็คิดไม่ถึงว่าเย่เฉินจะยกแก้วชาขอขมาหล่อน
ที่จริงจางเชี่ยนจือเองก็เคยตบตีทำร้ายเย่เฉินมาหลายครั้ง หนำซ้ำหล่อนยังไม่จะขอโทษเย่เฉินด้วยซ้ำ
จางเชี่ยนจือเห็นเย่เฉินจริงใจ จึงเอื้อมมือออกไปรับแก้วชาแล้วกล่าว “เอาล่ะ ฉันก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไร เรื่องวันนี้ช่างมันก็ได้”
ทุกคนนั่งประจำที่อย่างรวดเร็ว เย่เฉินก้ไม่พูดพร่ำทำเพลงเขาเข้าเรื่องทันที “คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ครับ ผมคิดว่าทุกคนน่าจะทราบเรื่องนี้กันแล้ว ผมอยากจะแต่งงานกับฉินหงเหยียน ผมรู้ครับว่าในฐานะที่ทุกท่านเป็นคนในครอบครัวของมู่ขิง คงจะต้องรู้สึกแย่มากๆ แต่ว่าฉินหงเหยียนสำคัญกับผมมาก ผมไม่มีหล่อนไม่ได้ แล้วก็ทอดทิ้งหล่อนไปไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นผมจึงหวังว่าทุกท่านขะยอมรับหงเหยียน ผมขอสาบานว่าความรักที่ผมมีให้มู่ชิงไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย”
คนตระกูลซูเงียบไปครู่หนึ่ง ซูเจิ้นหางจึงกล่าว “ตั้งแต่โบราณมาสาวงามก็รักยอดบุรุษอยู่แล้ว คุณฉินหงเหยียนและมู่ชิงหลงรักเธอเหมือนกัน ก็ไม่แปลกอะไร แล้วฉันก็พอจะรู้ชาติกำเนิดของฉินหงเหยียน คุณฉินอ้าวหมิงเองก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง ถ้าคุณฉินหงเหยียนไม่รังเกียจล่ะก็ เรายินดีมากนะที่เราจะได้เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”
ฉินหงเหยียนตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าซูเจิ้นหางจะเห็นด้วย!
ก่อนหน้านี้หล่อนกังวลตึงเครียดอย่างมาก ด้วยอิทธิพลของตระกูลซู พวกเขาไม่น่าจะยอมให้เขยที่แต่งเข้ามีบ้านเล็กๆ
แต่คิดไม่ถึงว่าซูเจิ้นหางจะเห็นด้วยอย่างรวดเร็วง่ายดายแบบนี้!
ซูหมิงเจ๋อเองก็เปิดปากเอ่ย “ที่จริงแล้วพ่อเองก็มีภรรยาสองคน เรื่องนี้คงไม่มีสิทธิ์คัดค้านอะไร ฮ่าๆ”
จางเชี่ยนจือชักสีหน้าแต่ก็กเปิดปากเอ่ย “ฉันต้องไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ในเมื่อมู่ชิงเห็นด้วย ฉันที่เป็นแม่ไม่เห็นด้วยไปก็ไร้ประโยชน์”
ทั้งสามคนต่างก็ยอมรับฉินหงเหยียน!
เย่เฉินดีใจอย่างมาก “ขอบคุณครับคุณปู่ ขอบคุณพ่อตาแม่ยาย”
ซูเจิ้นหางกล่าวพลางหัวเราะร่วน “ขอบคุณอะไรกัน คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น มานี่มาเย่เฉิน หงเหยียนพวกเอดื่มเหล้าเป็นใช่ไหม วันนี้มาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนตาแก่อย่างฉันเยอะๆ หน่อยนะ!”
เย่เฉินและฉินหงเหยียนชนแก้วกับซูเจิ้นหางอย่างเบิกบานใจ
หลังจากที่ทั้งสองคนดื่มเหล้าไปแล้ว รับประทานอาหารไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ซูเจิ้นหางก็กล่าว “เย่เฉินเอ้ย พาปู่ขึ้นไปดูบ้านชั้นบนหน่อยสิ”
เย่เฉินรู้ว่าซูเจิ้นหางมีเรื่องจะคุยกับตนตามลำพัง เขาจึงประคองซูเจิ้นหางขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน
ซูเจิ้นหางคอแข็งใช้ได้ เขาดื่มไปสองแก้วแต่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
เมื่อไปถึงในห้อง ซูเจิ้นหางก็กล่าวชมการตกแต่งต่างๆ อยู่ครู่หนึ่ง
แล้วเขาก็อดไม่ได้
ซูเจิ้นหางโพล่งถาม “เย่เฉินกลับอังกฤษคราวนี้ได้อะไรกลับมาบ้างไหม?”