เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 572 ฉันเผ็ดจะตายอยู่แล้ว!!
ตอนที่ 572 ฉันเผ็ดจะตายอยู่แล้ว!!
ยากล่องนี้คือยาที่เย่เฉินพกติดตัวตลอดเวลา
มันคือยาที่เย่เฉินตั้งใจเลือกสรรมาหลังจากที่เลือกยาชะลอวัยให้แม่ยาย ที่โรงงานยาลับของตระกูลเย่ในประเทศอังกฤษเมื่อหลายวันก่อน
ยาพวกนี้นั้นก็เป็นยาที่มีเทคโนโลยีนำโลกไปหลายสิบปี มีทั้งยารักษาโรค ยาพิษ เหมือนอย่างเช่นยาตัดประสาทแบบที่อีกฝ่ายเพิ่งกินเข้าไปเหมือนเมื่อครู่
หัวจื่อปรายตามองกล่องยาในมือเย่เฉินแล้วกล่าวถามอย่างประหลาดใจ “พี่เฉิน ยาเขียวๆ หลายสีของพี่ปกติผมไม่เคยเห็นเลย จะต้องเป็นยาผิดกฎหมายใช่ไหมล่ะ? พี่เฉินจะวางยาคนเกาหลีใช่ไหม?”
คนเกาหลีเห็นกล่องยาเย่เฉิน กลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ไอ้คนต่างชาติที่ไม่รู้อะไร! คิดจะวางยาฉัน แล้วบีบให้ฉันพูดความจริงออกมางั้นเหรอ? ฝันลมๆ แล้งๆ! ฉันอยากจะบอกพวกแกนานแล้ว ตอนนี้ฉันไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ไม่ได้กลิ่นด้วย อีกทั้งยังต้านทานกับยาต่างๆ ด้วย! ไม่ว่าแกจะให้ฉันกินยาอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น ระดับง่อยๆ ของหมอประเทศแกนี่ยังจะกล้าวางท่าต่อหน้าฉันอีกเหรอ! ใช้คำพูดของคนประเทศนี้ก็น่าจะเป็นไม่รู้จักประมาณตน!”
ชายคนนี้ไร้ซึ่งความหวาดกลัวและวางก้าม ทำให้หัวจื่อเองก็โวยวายขึ้นมา
เดิมทีหัวจื่อก็อยากช่วยไกล่เกลี่ยระหว่างคนเกาหลีและเย่เฉิน แต่ตอนนี้ตัวเองก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของเย่เฉิน เขาจับคนเกาหลีมัดแล้วเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นพวกเย่เฉิน
หัวจื่อกล่าว “แกจะวางท่าอะไรนักหนา? ระดับความสามารถทางการแพทย์ของประเทศเกาหลีสูงกว่าประเทศจีนของเรา ทำท่าทางเหมือนว่าพวกแกเก่งอะไรนักหนา ฉันนะไม่ถูกชะตากับท่าทางโอ้อวดของแกเลย! แกบอกว่าแกไม่ได้กลิ่นอะไรไม่ใช่เหรอ? ดี ฉันจะลอง ฉันไม่เชื่อหรอกว่ากินยาเม็ดนี้แล้วจะรอดจากพวกนี้ได้!”
หัวจื่อรู้สึกว่าคนเกาหลีคนนี้กำลังคุยโวอยู่ ไม่น่ามียาที่ร้ายกาจขนาดนี้อยู่ในโลกใบนี้
เขาก็ไปหาซอสพริกที่ห้องข้างๆ มาอย่างรวดเร็ว ซอสยี่ห้อ Capsicun Chinese Sauce
เมื่อเปิดฝาแล้ว หัวจื่อก็ใช้นิ้วจิ้มเล็กน้อยแล้วใส่ปาก
หลังจากหลายวินาทีต่อมาหัวจื่อก็เผ้ดจนเต้นเร่าๆ!
“แค่ก… โอ้ย… เผ็ดจังเลย บ้าชิบ เผ็ดจะตายชัก! ทำไมถึงได้มีซอสพริกที่เผ็ดขนาดนี้!”
หัวจื่อสะบัดมือขวาในปากไม่หยุด พยายามจะคลายความรู้สึกเผ็ดที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นก็ไปหาดื่มโซดาอิงโก ดื่มลงครึ่งขวด แล้วถึงจะดีขึ้น
พอจะมองออกว่าซอสพริกขวดนี้เผ็ดมากทีเดียว
และในเวลานี้เอง หัวจื่อก็หันมองคนเกาหลีที่โดนจับมัดก็หัวเราะ “ฮ่าๆ แกบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยใช่ไหม? ซอสพริกขวกนี้จะเผ็ดจนแกสับสนเลยล่ะ แกกล้ากินไหม?”
คนเกาหลีปรายตามองซอสพริกขวดนั้นแล้วกล่าว “ยัดใส่ปากฉันมาเลย!”
หัวจื่อตกใจ “แก… แกพูดอะไรนะ? ซอสพริกทั้งขวดนี่ยนะ แกกล้ากินหมดเหรอ?”
เมื่อครู่นี้หัวจื่อแค่ใช้นิ้วแต้มไปเพียงนิดเดียวก็รู้สึกว่าเผ็ดจนทนไม่ไหว
ต่อให้คนเกาหลีคนนี้กินเผ็ดเก่งกว่าหัวจื่อ ก็ไม่มีทางกล้าลองกินซอสพริกแทนข้าวแน่!
นี่มันเกินมนุษย์เกินไปแล้ว!
คนเกาหลีคนนั้นหัวเราะเสียงแผ่ว “ขยะ! พริกแค่นี้นายก็เผ็ดจนมีสภาพแบบนี้แล้ว ยัดใส่ปากของฉันทั้งหมดเลย วันนี้ฉันจะให้พวกแกสองคนเห็นเสน่ห์และความสามารถของลูกน้องตระกูลพัค!”
เย่เฉินยืนอยู่ข้างๆ ระบายยิ้มเย็น คนเกาหลีคนนั้นวางท่าเก่งจริงๆ อาศัยว่าตัวเองกินยาที่ตระกูลพัคทำขึ้นก็วางท่าขนาดนี้
หัวจื่อกล่าว “บ้าชิบ ฉันเกลียดคนขี้โม้ที่สุดแล้ว ก็ดี ฉันจะยัดซอสพริกทั้งหมดนี้ใส่ปากแก ถ้าแกเผ็ดตายอก็อย่ามาโทษฉันล่ะ!”
หัวจื่อพูดพลางยัดซอสใส่ปากคนเกาหลี
คนเกาหลีคนนั้นรีบกล่าว “เดี๋ยวก่อนๆ! ไปเอาช้อนมาให้ฉันก่อน คนเกาหลีของเราไม่เหมือนพวกแกที่ไม่สนใจเรื่องความสะอาด ใช้มือกินข้าว”
หัวจื่อหัวเสีย เขาไม่สนใจคำขอร้องของเขา แต่ใช้มือป้อนอีกฝ่ายแทน “รีบกินเลยนะแก!”
เขายัดซอสพริกมากกว่าครึ่งใส่ปากคนเกาหลีทั้งหมด
หากว่าเป็นคนทั่วไปแล้ว ตอนนี้คงจะเผ็ดจนน้ำตาไหล ทรมานไปนานแล้ว
แต่ว่าคนเกาหลีกลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย!
“นี่… เป็นไปได้ยังไง!”
หัวจื่อเหลือเชื่อ ตนเองเพิ่งกินไปเพียงนิดเดียว แต่ก็รู้สึกเผ็ดจนทนไม่ไหว
แต่ทำไมคนเกาหลีคนนี้หลังจากกินไปแล้วไม่รู้สึกอะไรสักนิดเดียวเลยเหรอ?
“จบเห่แล้ว พี่เฉิน หมอนี่ไม่ได้โม้นะ เขาไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ! ตอนนี้เอาอะไรให้เขากิน เกรงว่าก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร!”
หัวจื่อเดินไปหาเย่เฉิน รู้สึกว่าตอนนี้คงจะทำอะไรคนเกาหลีไม่ได้
ถ้าอยากจะรู้แผนของคนเกาหลี หรือว่าจะให้ไปพาตัวจางเชี่ยนจือมาจริงๆ งั้นเหรอ?
แต่ถ้าหากว่าพอตอนนั้นคนเกาหลีเกิดยื่นเงื่อนไข ให้จางเชี่ยนจือไปพบพัคซุงวูถึงจะยอมบอกความจริง งั้นไม่เท่ากับว่าส่งตัวจางเชี่ยนจือเข้าปากเสือหรอกเหรอ?
ทว่าเย่เฉินในตอนนี้กลับไม่มีท่าทีลนลานเหมือนหัวจื่อ
เย่เฉินหันมองคนเกาหลีที่ท่าทางได้ใจแล้วกล่าว “ฉันล่ะเกลียดคนวางท่าต่อหน้าฉันจริงๆ แกอยู่ต่อหน้าฉัน กินซอสพริกหมดไปขวดหนึ่ง นี่มันแย่งซีนกันชัดๆ”
จัดการกินยาแก้ปวดกับยาระงับความรู้สึกอะไร หลังจากนั้นก็กินซอสพริกทั้งขวด นี่คือการแสดงที่เย่เฉินตั้งใจจะแสดงหลังจากที่กินยาเข้าไปแล้ว
แต่ว่าตอนนี้กลับโดนคนเกาหลีคนนี้แย่งซีนไป
เขามีสิทธิ์อะไร? เขาไม่ใช่ตัวหลักสักหน่อย!
คนเกาหลีกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “แย่งซีนกันแล้วมันทำไม!”
เย่เฉินหยิบเอายาสีเทาแล้วกล่าว “แกกล้ากินยานี้ไหม?”
“นี่มันยาอะไร?” คนเกาหลีถาม
เย่เฉิน “ยาที่จะลบฤทธิ์ยาของนายในตอนนี้”
คนเกาหลี “ยาถอนพิษเหรอ? ฮ่าๆ แกอย่าทำเป็นใสซื่อเลย ยาของฉัน ทีมหมอทั้งประเทศของพวกแกก็ลบล้างไม่ได้!”
เย่เฉิน “ดังนั้นแกกล้ากินไหม?”
คนเกาหลีแค่นเสียง “ทำไมไม่กล้า! มาสิมา!”
เย่เฉินยัดยาใส่ปากคนเกาหลี อีกฝ่ายก็จัดการกลืนลงไปอย่างสบายใจ
เย่เฉินมองเวลาเล็กน้อย น่าจะต้องใช้เวลาสองสามนาที ตอนนี้ด้วยสภาพร่างกายของคนเกาหลีคนนี้น่าจะกลับคืนสู่สภาพคนปกติแล้ว
หัวจื่อส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้เย่เฉิน แล้วจุดบุหรี่เย่เฉิน “พี่ครับ เราเองก็ทรมานหมอนี่มาประมาณหนึ่งแล้ว แต่ถ้ายังถามอะไรไม่ได้ ก็ตอบเขาไปเถอะ”
เย่เฉินไม่ได้ตอบคำถาม เขาสูบบุหรี่แล้วถาม “นายชื่อเต็มชื่ออะไร?”
หัวจื่อกล่าว “อี้หัว อี้จากหรงอี้ (ง่าย)”
ทันทีที่เย่เฉินได้ยินนามสกุลอี้ ก็นึกได้ว่าจางเชี่ยนจือเคยพูดถึงครอบครัวพวกเขา
เย่เฉินจึงถามต่อ “พ่อของนายทำงานในกองทัพ แม่นายทำงานในกระทรวงต่างประเทศ?”
อี้หัวหัวเราะคิกคัก “ครับ”
เย่เฉินกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “งั้นทำไมถึงได้คลอดคนไร้ประโยชน์แบบแกออกมา?”
อี้หัว “… ผมก็แค่รักสนุกนิดหน่อยเอง แต่ไม่ได้แปลว่าผมไม่มีประโยชน์ ผมทำงานเก่งมากนะ”
เย่เฉิน “นายหมายถึงเรื่องผู้หญิงหรือเปล่า?”
อี้หัวหัวเราะคิกคัก “พี่ครับ แต่ทักษะการขับรถพี่มันเจ๋งมากเลยนะ”
ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังคุยเล่นกันอยู่นั้นเอง จู่ๆ คนเกาหลีที่โดนจับมัดก็ร้องโวยวาย
“บ้าเอ้ย! บ้าเอ้ย!! เผ็ดๆ เผ็ดจะตายอยู่แล้ว!!!”