เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 596 เราคือท่านเทพงั้นเหรอ
ตอนที่ 596 เราคือท่านเทพงั้นเหรอ?
และในเวลานี้เอง ฉินหงเหยียนเองก็เดินตามมา เมื่อเห็นซ่งหงเย่ร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบน้ำก็ถามเย่เฉิน
“ที่รัก คุณยังโกรธซ่งหงเย่อยู่เหรอ? ทำไมคุณต้องโกรธที่ซ่งหงเย่คืนดีกับเจิ้งปินด้วยล่ะ?”
เย่เฉินจับมือฉินหงเหยียนแล้วกล่าว “คุณไม่เข้าใจ…”
ในตอนนี้เอง เย่เฉินและซ่งหงเย่ตกเป็นเป้าสายตาของคนไม่น้อยแล้ว เขาไม่อยากให้คนถ่ายภาพเขาเอาไว้เลยกล่าวกับซ่งหงเย่
“คุณไปเถอะ ในเมื่อเจิ้งปินเลือกที่จะเชื่อใจคุณ ให้อภัยคุณแล้ว คนนอกอย่างผมพูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ซ่งหงเย่รีบร้อนลุกขึ้นมาปาดน้ำตาแล้วกล่าว “ขอบคุณค่ะ เย่เฉิน ขอบคุณที่คุณเป็นห่วงฉันกับเจิ้งปินขนาดนี้ ฉันรู้ว่าคุณยังเห็นเราเป็นเพื่อนอยู่ ต่อไปฉันจะเป็นคนดี หวังว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ดื่มด้วยกันบ้างนะ”
ซ่งหงเย่รีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นภาพซ่งหงเย่ยืนอยู่กับพ่อแม่ของเจิ้งปินอย่างมีความสุข เย่เฉินก็ถอนหายใจ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
สำหรับเขาแล้วซ่งหงเย่ไม่ใช่คนสำคัญอะไรเลย ที่เขากังวลในความสัมพันธ์ของหล่อนกับเจิ้งปินนั่นเพราะว่าเมื่อปีก่อนเขาฝันถึงเรื่องบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา!
ในฝันของเขานั้นซ่งหงเย่กลับมาคืนดีกับเจิ้งปิน!
“ตอนแรกหวังหยวนหยวนก็ศัลยกรรม ตอนนี้ก็เป็นซ่งหงเย่คืนดีกับเจิ้งปิน คิดไม่ถึงว่าฝันของเราจะเป็นจริง!”
ในตอนที่เย่เฉินฝันนั้น หวังหยวนหยวนยังไม่ได้ทำศัลยกรรม แต่หน้าตาหลังศัลยกรรมของหวังหยวนหยวนเหมือนกับดาราสาวผู้โด่งดังในตอนนี้อย่างหวังเจินอวี่ไม่มีผิดเพี้ยน!
เย่เฉินคิดว่านี่น่าจะเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
แต่ตอนนี้ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝันกลับเป็นจริงอีกเรื่องแล้ว!
ซ่งหงเย่กลับมาแต่งงานกับเจิ้งปิน!
ถ้าหากว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในฝันเป็นเรื่องจริงล่ะก็…
“ในฝันเรากับหวังเจียเหยาแต่งงานกัน…”
ในความฝันนั้น เย่เฉินอยู่ในชุดสูท ส่วนหวังเจียเหยาสวมชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ทั้งสองคนกำลังจัดงานแต่งงานที่ริมทะเลอย่างโรแมนติก!
โดยมีหวังหยวนหยวนที่ศัลยกรรมแล้ว แล้วซ่งหงเย่กับเจิ้งปินที่คืนดีกันแล้วมาร่วมงานแต่งของเขาด้วย
แล้วถ้าฝันนี้เป็นจริงล่ะก็ นั่นจะแปลว่าเขาอาจจะต้องแต่งงานกับหวังเจียเหยาอีกครั้ง!
“เป็นไปไม่ได้! เราไม่มีทางจะแต่งงานกับผู้หญิงแพศยาคนนั้นอีกรอบแน่ๆ!?
เย่เฉินคิดถึงตรงนี้แล้วก็รีบปฏิเสธทันที
“ตอนนี้เรามีภรรยาที่แสนดีอย่างหงเหยียนกับมู่ชิง ต่อให้เราจะละโมบ เจ้าชู้ อยากจะหาเมียอีกคน ฉันก็ยังมีคุณผู้หญิง หล่อนน่าสนใจกว่าหวังเจียเหยาอีก! แล้วถึงจะต้องมีเมียใหม่ ไปหาผู้หญิงคนอื่นก็ไม่มีทางเลือกหวังเจียเหยาแน่ๆ!”
เย่เฉินรู้ดีแก่ใจว่าเขาไม่มีความรู้สึกอะไรหลงเหลือให้หวังเจียเหยาอีกแล้ว!
“แต่ว่า… ถ้าหากว่ามีวันไหนเรื่องนี้เป็นจริงขึ้นมา นั่นจะแปลว่าเรามีความสามารถในการทำนายอนาคตหรือเปล่านะ? เรื่องฝันเห็นอนาคตนี่มันเป็นพลังของเทพหรือเปล่านะ?”
ทันใดนั้นเองเย่เฉินก็หวนนึกถึงเรื่องระหว่างเทพธิดาและแปดตระกูลที่คุณปู่เชาเคยเล่า
ในตอนนั้นเป็นเพราะเรื่องที่เทพธิดาคนนั้นเห็นในฝันกลายเป็นเรื่องจริง ทำให้ทั้งแปดตระกูลได้รู้ถึงความเก่งกาจของหล่อน ดังนั้นจึงตัดสินใจใช้พลังของหล่อนควบคุมโลกใบนี้
“หรือว่าเราจะเป็น…เทพองค์ใหม่หรือเปล่านะ?”
เย่เฉินตื่นเต้นทันที!
ตอนนี้ตระกูลเย่กำลังตกที่นั่งลำบาก ตระกูลอื่นๆ ที่เหลือก็ดูถูกเหยียดหยามพวกเขา ถ้าหากว่าเย่เฉินเป็นเทพสามารถทำนายอนาคตได้ล่ะก็ จะสามารถช่วยตระกูลได้ และถึงขนาดอยู่เหนือตระกูลอื่นๆ ด้วยซ้ำไป!
จะมีเพียงตระกูลเย่เท่านั้นที่สูงศักดิ์เหนือใครในโลกใบนี้!
แล้วเย่เฉินก็ตกอยู่ในปัญหาทันที!
ขอแค่ฝันของเขากลายเป็นจริงถึงจะมีโอกาสพิสูจน์ว่าเขาเป็นเทพ มีความสามารถพิเศษนี้
แต่ว่าถ้าฝันกลายเป็นจริง ก็จะเท่ากับว่าเขาจะต้องแต่งงานกับหวังเจียเหยาใหม่อีกครั้ง!
นี่ไม่ใช่จุดที่อนาถที่สุด สิ่งที่ทำให้คนเจ็บปวดใจมากที่สุดก็คือเย่เฉินมีอีกความฝันที่ฝันซ้ำไปซ้ำมา!
ในฝันนั้นฉินหงเหยียนโดนยิงเลือดไหลไม่หยุด!
ถ้าหากว่าเย่เฉินมีความสามารถในการล่วงรู้อนาคตก่อนจริงๆ นั่นแปลว่าในอนาคตฉินหงเหยียนอาจจะตาย!!
“ที่รัก เป็นอะไรไปคะ?”
ฉินหงเหยียนเห็นเย่เฉินเหม่อลอยก็เป็นห่วงเขาขึ้นมา
เย่เฉินมองฉินหงเหยียนที่ผอมบางไปกว่าก่อน ก็รั้งหญิงสาวเขาในอ้อมแขนแล้วกอดหล่อนอย่างแนบแน่น
รอบๆ บริเวณมีแต่นักท่องเที่ยวฉินหงเหยียนก็เขินอาย “คุณทำอะไรคะเนี่ย…กลางวันแสกๆ อย่าทำแบบนี้สิ…”
ในใจเย่เฉินเกิดความสับสนอย่างมาก
เขาทั้งไม่อยากจะแต่งงานกับหวังเจียเหยา แล้วก็ไม่อยากให้ฉินหงเหยียนเกิดเรื่อง
“บางทีเราอาจจะคิดมากไปเอง เราจะเป็นเทพได้ไง? เราฝันเห็นหวังหยวนหยวนทำศัลยกรรม นั่นเพราะเรารู้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงามเป็นเพราะเราวัดเอาจากนิสัยของหล่อน ส่วนเรื่องที่ฝันเห็นสองคนนั้นคืนดีกันก็ด้วยเป็นเพราะเราตัดสินจากนิสัยสองคนนั้น เรามันตัดสินนี่นั่นแม่นอยู่แล้ว”
เป็นเพราะเย่เฉินเก่งเรื่องจิตวิทยาและโจวอี้ เขาเลยคาดเดาอนาคได้อย่างแม่นยำ
นี่อาจไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเป็นเทพไม่เป็นเทพด้วยซ้ำ
นอกเสียจากว่ามีวันหนึ่งที่เย่เฉินคืนดีกับหวังเจียเหยาอีกรอบจริงๆ ไม่อย่างนั้นเย่เฉินไม่มีทางเชื่อว่าตัวเองจะเป็นเทพคนใหม่
“เป็นอะไรไปคะ ที่รัก?”
ซูมู่ชิงก็เดินมาหาเขาแล้วถามอย่างห่วงใย
เย่เฉินระบายยิ้ม ไม่ได้บอกเล่าความกังวลที่เกิดขึ้นในใจของตนเองให้ภรรยาสองคนฟังแต่อย่างใด เพื่อไม่ให้พวกหล่อนต้องฟุ้งซ่าน
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ผมกำลังคิดว่าในเมื่อเราสามคนออกมาเที่ยวด้วยกันแล้ว งั้นเราออกไปเดินดูที่เที่ยวที่อื่นๆ ด้วยดีกว่า เดี๋ยวเดินเที่ยวกำแพงเมืองจีนเสร็จ เราไปแกรนด์แคนยอนกันต่อดีกว่า”
ซูมู่ชิงพยักหน้ารับอย่างดีใจ “ดีค่ะ นานๆ ทีจะได้ออกมาเที่ยว ก็เที่ยวให้เต็มที่ไปเลย แต่จะให้ซือซือรู้ไม่ได้นะว่าเราออกมาเที่ยวกัน ไม่อย่างนั้นถ้าลูกรู้ว่าไม่พาแกมาได้ ลูกโกรธแย่เลย”
“ฮ่าๆ”
……
เช้าวันต่อมา
เย่เฉิน ซูมู่ชิงและฉินหงเหยียนยังคงเที่ยวเตร่กันในแถบชนบทของเมืองหลวง
ทันใดนั้นเองซูมู่ชิงก็ได้รับสายจากซูหมิงเจ๋อพ่อของหล่อน
“มู่ชิง ลูกอยู่ไหน? เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ในน้ำเสียงซูหมิงเจ๋อร้อนรนและกระวนกระวายอย่างมาก
ซูมู่ชิงกล่าว “หนูกับเย่เฉินแล้วก็พี่หงเหยียนเที่ยวเล่นกันอยู่ที่แถวชานเมมืองค่ะ หนูไม่เป็นอะไรนะคะ ทำไมถามแบบนี้ล่ะคะ? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
ซูหมิงเจ๋อกล่าว “ก็แม่ของลูกน่ะสิเมื่อเช้าโดนคนจับตัวไปแล้ว!”
ซูมู่ชิง “อะไรนะคะ?”
พอรู้ว่าจางเชี่ยนจือโดนจับตัวไป เย่เฉินก็รีบพาภรรยาสองคนของเขากลับบ้าน
เย่เฉินและซูมู่ชิงก็มาถึงบ้านของปู่ซูมู่ชิง
คนตระกูลซูอยู่ที่นี่กันเกือบหมด
ซูมู่ชิงเดินเข้าไปด้านในแล้วถามด้วยใบหน้าร้อนรน “พ่อคะ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมแม่โดนคนจับตัวไปล่ะคะ? แล้วใครจับแม่ไปคะ?”
ซูหมิงเจ๋อส่ายหน้า “เราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร บอดี้การ์ดที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของแม่โดนทุบจนหมดสติไป เขาเห็นแค่ผู้ชายในชุดสูทคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
เย่เฉินสาวเท้าเดินไปข้างหน้าแล้วถาม “โดนจับตัวไปที่ไหน? ได้ตรวจกล้องวงจรแล้วหรือยังครับ?”
ด้วยอิทธิพลของตระกูลซูในเมืองหลวง ถึงจางเชี่ยนจือจะโดนจับตัวไปแล้ว ตระกูลซูเองก็น่าจะเจอตำแหน่งของผู้ต้องสงสัยแล้วจับตัวเขาได้แล้ว ไม่น่าจะทำอะไรไม่ได้แบบนี้
ทว่าซูหมิงเจ๋อกลับกล่าวว่า “เช็คกล้องวงจรปิดแล้ว แต่คนพวกนั้นกับเชี่ยนจือกลับหายตัวอย่างประหลาด ตอนนี้อาจจะออกจากเมืองหลวงไปแล้ว!”