เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 599 สมาคมมังกรหมอบ!
ตอนที่ 599 สมาคมมังกรหมอบ!
พัคอินอาเป็นพี่สาวแท้ๆ ของพัคซุงวู ขอแค่เย่เฉินจับหล่อนมาได้ ก็จะสามารถแลกตัวหล่อนกับแม่ยายของเขาได้
หวังเอ้อร์เชอกล่าว “คุณผู้หญิงก็มีชีวิตปกตินะครับ มีไปงานแถลงข่าวกับสามีบ้าง ว่างๆ ก็ดูแลลูกสาว แล้วเหมือนว่าไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับเรื่องแม่ยายคุณชาย”
ทายาทของพวกตระกูลใหญ่ๆ เองมีอิสระอย่างมาก อย่างเย่เทียน เย่เซวียนและเย่เฉินแล้วเขากับพวกน้องสาวก็ไม่ค่อยได้ติดต่ออะไรกัน
เย่เฉินเองก็เชื่อว่าพัคซุงวูน่าจะทำเรื่องนี้คนเดียว คิดว่าพัคอินอาคงจะไม่รู้เรื่องอะไร
เย่เฉินถาม “พัคอินอาตอนนี้อยู่ไหน?”
หวังเอ้อร์เชอมองดูตำแหน่งของหล่อนผ่านทางโทรศัพท์ “บ้านบลูเฮ้าส์”
เย่เฉินกล่าวในทันที “เดินทางไปบ้านบลูเฮ้าส์ ไปจับพัคอินอา!”
“อะไรนะครับ?”
หวังเอ้อร์เชอและพวกซีกวาต่างก็ตกใจจนตะลึง!
ไปจับคนที่บ้านบลูเฮ้าส์เหรอ?
หวังเอ้อร์เชออ้าปากพะงาบๆ “คุณชายเย่ เอ่อคือว่า…คุณชายลองคิดอีกรอบไหมครับ? ที่นั่นคือบ้านบลูเฮ้าส์เลยนะครับ!”
บ้านบลูเฮ้าส์เป็นเหมือนศูนย์รวมอำนาจในประเทศนี้ หวังเอ้อร์เชอและซีกวาที่เป็นเพียงคนธรรมดาๆ แค่ได้ยินชื่อของที่นี่ก็ตัวสั่นเทิ้ม
แค่เข้าไปยังไม่กล้า ไม่ต้องพูดเรื่องให้พวกเขาไปจับคน
แต่เย่เฉินกลับไม่สนใจ ไม่ว่าจะที่ไหนเย่เฉินก็ไม่สนใจทั้งสิ้น!
“ออกเดินทาง!”
เมื่อเปิดโหมดพรางตัวแล้ว เหอเฟิงหมายเลขสามก็ขับเข้าไปใกล้บ้านบลูเฮ้าส์อย่างรวดเร็ว
แต่ในตอนนี้เองจู่ๆ ซูเจิ้นหางก็โทรมา
“ครับ คุณปู่ซู”
เย่เฉินกดรับสาย ไพล่คิดไปว่าซูเจิ้นหางโทรมาตามความคืบหน้าในการตามหาจางเชี่ยนจือ
ทว่าประโยคแรกของซูเจิ้นหางกลับไม่ได้ถามสถานการณ์ของจางเชี่ยนจือแต่กลับถามว่า “เย่เฉินเอ้ย ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
เย่เฉินสับสน “ผมอยู่เกาหลีครับ มีอะไรหรือเปล่า?”
ซูเจิ้นหางยังซักต่อ “ตรงไหนของเกาหลีเหรอ?”
เย่เฉินไม่ได้ตอบอีกฝ่ายว่าเขาอยู่ที่บ้านบลูเฮ้าส์ เพื่อไม่ให้ซูเจิ้นหางต้องคิดมาก
ใครจะคาดคิดว่าซูเจิ้นหางกลับเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน “เย่เฉินเธอไปที่บ้านบลูเฮ้าส์ใช่ไหม?”
เย่เฉินตกใจทันที “คุณปู่รู้ได้ยังไงครับ? คุณปู่แอบติดเครื่องติดตามกับผมเหรอ?!”
เย่เฉินคิดไม่ถึงเลยว่า ตาแก่ซูคนนี้จะกล้าเล่นลูกไม้แบบนี้กับเขา!
ถ้าหากซูเจิ้นหางไม่ได้ติดเครื่องสอดแนมอะไรกับเขา ซูเจิ้นหางไม่มีทางรู้ว่าเขาอยู่ที่บ้านบลูเฮ้าส์
อีกทั้ง เย่เฉินตอนนี้ก็ยังไม่ได้ถึงบ้านบลูเฮ้าส์
เมื่อครู่เย่เฉินยังเพิ่งไปเจอซูเจิ้นหาง บวกกับที่เย่เฉินและซูมู่ชิงเป็นสามีภรรยากันอีก ถ้าเขาอยากจะหย่อนอะไรลงไปในกระเป๋าเสื้อผ้าเขาก็ง่ายดายมากเหลือเกิน
ซูเจิ้นหางกล่าว “เย่เฉิน เธออย่าโกรธเลยนะ ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับเธอ อย่างไรเสียเธอก็เป็นเขยตระกูลซู ฉันกลัวว่าเธอจะผลีผลามเพราะอารมณ์ ฟังปู่นะ อย่าได้ไปก่อเรื่องที่บ้านบลูเฮ้าส์เด็ดขาด เธอจไปที่นั่นไม่ได้ ทันทีที่เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเลย”
เย่เฉินกล่าวอย่างไม่พอใจ “หึ คุณปู่ครับ ตอนนี้ผมกำลังไปช่วยลูกสะใภ้คุณปู่นะครับ! ผมจะทำอย่างไร ผมเองก็มีขอบเขตของตัวเอง คงไม่ลำบากคุณปู่มาช่วยผม แล้วผมโกรธมากนะครับที่คุณปู่ใส่เครื่องสอดแนมแบบนี้ ถ้ามีคราวหน้าอย่าโกรธนะครับถ้าผมจะเริ่มโมโหบ้าง!”
พูดจบเขาก็กดวางสาย
เย่เฉินเห็นคนบ้านนี้เป็นคนในครอบครัว ดังนั้นจึงไม่ได้ระวังตัวอะไรมากมาย คิดไม่ถึงว่าซูเจิ้นหางจะฉวยโอกาสนี้สะกดรอยตามเขา
เพราะบ้านบลูเฮ้าส์มีระบบการป้องกันที่แน่นหนา เหอเฟิงลำนี้ของเขาก็มีขนาดใหญ่มาก ทันทีที่ร่อนลงจอด พวกยามที่เฝ้าบ้านบลูเฮ้าส์จะต้องรู้ในทันที
ดังนั้นพออยู่ใกล้บ้านบลูเฮ้าส์ เย่เฉินก็กล่าวกับชิงหลงว่า “ชิงหลง นายกับฉันลงเครื่องกันที่นี่ แล้วเราก็แฝงตัวเข้าไปจับพัคอินอากัน!”
ชิงหลง:“ครับ!”
ทั้งสองคนโรยตัวลงไปแล้วเดินเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว
แต่เดินไปได้ไม่เท่าไร ทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็มีผู้ชายในชุดลายพรางปรากฏตัวขึ้น
“บ้าชิบ คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอยามของบ้านบลูเฮ้าส์ที่นี่!”
เย่เฉินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“ชิงหลงรีบจัดการให้เร็วที่สุดอย่าให้เกิดเสียงโวยวายล่ะ” เย่เฉินสั่งแล้วด้วยความสามารถของชิงหลงแล้ว ให้จัดการคนหลายๆ คนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ชิงหลงมองชายในชุดลายพรางตรงหน้า ก็เดินเข้าไปโดยที่ไม่ได้เตรียมอาวุธอะไร
โรม ผลัวะ ตุบ!
ชิงหลงต่อยฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่าผู้ชายในชุดลายพรางพวกนี้เก่งมากจริงๆ พวกเขาไม่ได้แพ้ให้กับชิงหลงเร็วนักหนา ถือว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว
“เตะต่อยเก่งจริงๆ!”
เย่เฉินได้ยินเสียงปล่อยหมัดของชิงหลงอย่างชัดเจน เขาปล่อยหมัดเข้าหน้าของหนึ่งในพวกชายชุดลายพราง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด พวกเขาก็ยังคงเดินมาอย่างมั่นคง
“ดูแล้วเราก็น่าจะต้องเข้าไปช่วยแล้ว!”
เย่เฉินคิดไม่ถึงว่ายามของที่นี่จะเก่งขนาดนี้ ชิงหลงคนเดียวเอาชนะพวกเขาไม่ได้
ในตอนที่เย่เฉินกำลังจะลงมือด้วยนั้นเอง ชายในชุดลายพรางคนหนึ่งในนั้นก็โพล่งออกมา “คุณชายเย่ อย่าลงมือ!”
แค่เย่เฉินฟังสำเนียงของเขาก็ฟังออกว่าเป็นสำเนียงภาษาจีนที่ถูกต้อง แพมยังติดสำเนียงเมืองหลวง เย่เฉินมองพวกเขาอย่างสงสัยแล้วถาม “พวกคุณคือ…คนจีนเหรอ?”
และในเวลานี้เองชิงหลงและคนอื่นๆ ก็หยุดนิ่งไป
ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าของพวกเขาคนนั้นก็พยักหน้ารับอย่างขึงขัง แล้วแนะนำตัวเอง “เรามาจากสมาคมมังกรหมอบ ผมคือหัวหน้าหลี่เหว่ยเป็นหัวหน้าทีมที่หนึ่ง คุณชายเย่เรียกผมว่าอาเหว่ยก็ได้”
เย่เฉินประหลาดใจ “สมาคมมังกรหมอบเหรอ? เป็นสมาคมอะไร?”
เย่เฉินเพิ่งเคยได้ยินชื่อสมาคมแห่งนี้เป็นครั้งแรก
มิน่าพวกเขาถึงได้เก่งขนาดนี้ อย่าว่าแต่ชิงหลงคนเดียวสู้กับพวกเขาเลย ต่อให้บวกเย่เฉินอีกคน พวกเขาก็อาจจะไม่ชนะคนพวกนี้
แต่แน่นอนว่าถ้า 1 ต่อ 1 ไม่มีใครชนะชิงหลง
เย่เฉินถาม “พวกนายมาโผล่ที่นี่ น่าจะเป็นเพราะซูเจิ้นหางบอกพวกนายล่ะสิ?”
ด้วยอำนาจของซูเจิ้นหางในเมืองหลวง เกรงว่าคงจะรู้เรื่องสมาคมมังกรหมอบนานแล้ว อีกทั้งไม่แน่ว่าจะสนิทสนมกับพวกเขาด้วยซ้ำไป
หลี่เหว่ยกล่าว “ครับ ท่านซูเองกลัวว่าคุณชายเย่จะใจร้อน แล้วทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เรามาที่นี่ก็เพื่อขวางไม่ให้คุณชายเย่ไปที่บ้านบลูเฮ้าส์ จะไปล่วงเกินบ้านบลูเฮ้าส์เพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่คุ้มเลยจริงๆ แล้วถ้าคุณชายไปที่นั่นก็จะทำให้เกิดเรื่องผิดใจกัน ก็จะไม่ใช่เรื่องของคุณคนเดียวแล้ว ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องผิดใจกันระหว่างสองประเทศ!”
เย่เฉินยิ้มๆ มิน่าพวกเขาถึงต้องคอยห้ามเขา ที่แท้ก็กลัวว่าเย่เฉินจะสร้างเรื่องให้ประเทศนี่เอง
เย่เฉินกล่าวว่า “หัวหน้าหลี่ คุณคิดมากไปแล้ว ผมไปที่บ้านบลูเฮ้าส์คนเดียว อย่างมากก็คงจะหมายหัวตระกูลเย่ ไม่เกี่ยวอะไรกับประเทศของเราหรอก คุณอาจจะไม่รู้ว่าตระกูลเย่ของเรา ไม่ได้อยู่ที่จีนนะ เราย้ายไปอังกฤษแล้วล่ะ”
หลี่เหว่ยฟังแล้วก็กล่าวอย่างขึงขัง “คุณชายเย่ คนที่ไม่รู้อะไรไม่ใช่ผมนะ แต่เกรงว่าจะเป็นคุณ!”