เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 88 คุณย่าเล็กของหวังเจียเหยา
“คุณชาย!”
พ่อบ้านฟางและฟางจื่อเผิงต่างตื่นตระหนกอย่างยิ่งเมื่อเห็นเย่เฉินโดนสาดน้ำชาใส่
ในฐานะที่เป็นคนใต้บังคับบัญชาเขา เห็นเจ้านายได้รับบาดเจ็บแต่ห้ามไม่ได้ ถือเป็นความผิด
พ่อบ้านฟางขอโทษเขาไม่ขาดปาก “ผมผิดเองครับ มีแต่ใจแต่ไร้เรี่ยวแรง ขาจื่อเผิงก็ขยับไม่ได้”
เย่เฉินหยิบกระดาษมาเช็ดหน้า “ผมไม่เป็นไรครับ น้ำชาแค่อุ่นๆ เท่านั้น ผมเดาได้นานแล้วว่าหล่อนจะสาดน้ำชาใส่หน้าผม”
เย่เฉินตั้งใจยั่วโมโหอีกฝ่าย เพราะต้องการจะบอกให้หญิงสาวรู้ตัวว่าเขาไม่มีทางจะคืนดีกับหล่อนได้!
หลังจากที่หวังเจียเหยาออกมาจากเรือนจิ่งหลงแล้วก็โทรหาซ่งหงเย่
ซ่งหงเย่เพิ่งจะออกมาได้ไม่นานก็วนรถกลับไปรับเพื่อนสนิทไปส่งที่บ้านของคุณย่าเจ้าตัว
เมื่อทุกคนเห็นหวังเจีเหยากลับไปถึงวิลล่าที่ซีซาน ทุกคนก็รุมถามว่าคุยกับเย่เฉินเป็นอย่างไรบ้าง
หวังเจียเหยาหัวเสียแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อีกรอบ
ซูหลานโอดครวญแทนลูกสาวทันที “เย่เฉินคนนี้นี่เกินไปจริงๆ ทำไมถึงจะให้ลูกสาวฉันแต่งงานกับคนพิการล่ะ?”
แต่หวังจื้อเฉียงกลับหัวเราะแล้วกล่าว “ผมว่าคุณเย่จัดการได้ดีทีเดียว พ่อบ้านฟางมีหลานชายแค่คนเดียว อนาคตอาจจะได้รับมรดกหมื่นล้านมา เจียเหยาเธอปฏิเสธไปอย่างนั้น ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะเสียใจทีหลังก็ได้นะ”
หวังซ่าวเจี๋ยเองก็หัวเราะร่วน “นั่นสิ คนที่จะแต่งงานสามรอบ ยังจะเรื่องมากอีก พี่ว่าพี่เฉินเขาจัดการได้เหมาะสมดีออก”
หวังหยวนหยวนเองก็ฉวยโอกาสนี้เยาะเย้ยหวังเจียเหยา “พี่คะ พี่ยอมแพ้เถอะค่ะ เขาไม่ควรจะเป็นสามีพี่แต่แรกอยู่แล้ว ฉันน่ะควรจะได้เป็นภรรยาเขา!”
“พอได้แล้ว! เลิกพูดทีเถอะ!”
คุณนายหวังขมวดคิ้ว
ที่ผ่านมาคนในครอบครัวหวังจื้อเฉียง หวังจื้อหย่วนมักจะทะเลาะกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องตำแหน่งในบริษัทเอย ทรัพย์สินของตระกูลเอย
จนตอนนี้พวกเขาสองครอบครัวก็ทะเลาะกันเรื่องเย่เฉิน
คุณนายหวังมองหวังหยวนหยวน “หยวนหยวนแกก็รู้ว่าฉันน่ะรักแกมาก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้แกได้ลงเอยกับเย่เฉิน แต่แกเองก็เห็นแล้วนี่ว่าสองครั้งที่เย่เฉินเจอแก เขามีท่าทีเย็นชากับแกจะตายแถมยังเห็นแกเป็นแค่เด็กน้อย โอกาสของแกตอนนี้มีน้อยกว่าเจียเหยามาก”
หวังเจียเหยาดีใจอย่างยิ่งที่คุณนายหวังออกตัวแทนหล่อน
“แต่คุณย่าคะ เย่เฉินเขาจะให้หนูแต่งกับผู้ชายคนอื่นแปลว่าเขาไม่รักหนูแล้วใช่ไหมคะ?” หวังเจียเหยาถามอย่างเศร้าโศก
คุณนายหวังตอบเสียงเย็น “ความสัมพันธ์ตลอดสามปีจะให้ตัดใจปุบปับได้ยังไง? ต่อให้ไม่รักแกแล้วแต่ก็ไม่มีทางจะไม่อยากได้แก! เป็นสามีภรรยากันมาสามปีกลับไม่เคยนอนร่วมห้อง สำหรับผู้ชายคนหนึ่งแล้วนี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเสียหน้ามากเลย! คราวก่อนที่แกคุกเข่าแล้วเป็นลมไป เขายังแอบแต๊ะอั๋งแกอยู่เลย นั่นถือเป็นข้อพิสูจน์ของเรื่องนี้!”
ซูหลานพอจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของคุณนายหวังจึงกล่าวถามว่า “แม่หมายความว่าจะเปิดโอกาสให้พวกเขาสองคนร่วมห้องกัน? ยากลำบากอยู่นะคะ คราวก่อนถ้าไม่ได้ฮัวฮัวเขายังไม่อยากจะมาบ้านเราด้วยซ้ำ ให้เจียเหยาไปพบเขาคิดว่าเขาคงไล่ให้อยู่นอกบ้าน”
คุณนายหวังพยักหน้า “เย่เฉินคนนี้ใจเด็ดทีเดียว แต่พวกเราก็ไม่ได้ไม่มีโอกาสเสียทีเดียวหรอก เจียเหยา แกยังจำย่าเล็กของแกได้ไหม?”
หวังเจียเหยาพยักหน้า “จำได้สิคะ คุณย่าเล็กใจดีจะตาย คุณย่าดีกับหนูแล้วก็เย่เฉินมากๆ เลยค่ะ วันนั้นที่หนูกับฟางเชาเปิดห้อง…”
พูดถึงตรงนี้หวังเจียเหยาก็ชะงักไปแล้วค่อยพูดต่อด้วยความเก้อเขินว่า “ก็เช้าวันนั้นเย่เฉินได้ยินมาว่าย่าเล็กป่วยหนัก เขายังคิดจะขับรถพาหนูไปเมืองหยางหนิงไปเยี่ยมอยู่เลย”
ย่าเล็กของหวังเจียเหยาคือน้องสาวแท้ๆ ของปู่หวังเจียเหยาแต่งงานไปอยู่ที่เมืองหยางหนิงอันเป็นเมืองระดับสองในละแวกนี้
คุณนายหวังกล่าวว่า “เมื่อครู่ย่าเพิ่งรับสายจากบ้านย่าเล็ก ลูกชายหล่อนบอกว่าย่าเล็กอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงสามวัน”
“หา?”
ทุกคนต่างตื่นตะลึงและออกจะเสียใจน้อยๆ
อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณย่าเล็กดีกับพวกเขาที่เป็นลูกหลานทุกคน
ซูหลานกล่าว “อ้อหนูเข้าใจความหมายของคุณแม่แล้วค่ะ แม่จะให้รอคุณอาเล็กเสียแล้วเชิญเย่เฉินมาร่วมงานศพใช่ไหม! คุณอาเล็กดีกับเย่เฉินไม่น้อย เขาจะต้องไม่ปฏิเสธแน่!”
คุณนายหวังเห็นซูหลานก็อารมณ์เสียก่นด่า “แกนี่มันหน้าโง่! มิน่าล่ะตาแก่ให้ลูกเขยดีๆ แบบนี้ พวกแกยังรักษาเขาเอาไว้ไม่ได้! เข้าร่วมงานศพมีประโยชน์อะไร! เย่เฉินเขามีรถ มีคนขับรถแล้วก็รู้ที่รู้ทาง อย่างมากเขาก็คงแวะมาทำความเคารพสักหน่อยเท่านั้น จะช่วยอะไรกับความสัมพันธ์ของเจียเหยากับเย่เฉินได้!”
ซูหลานไม่กล้าพูดจา หล่อนเดาไม่ออกว่าคุณนายหวังมีความคิดอะไรกันแน่
คุณนายหวังกล่าวว่า “เจียเหยา ย่าเล็กของแกเป็นญาติคนเดียวในบรรดาพวกเราที่ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามเย่เฉินแถมยังดีกับเขามาก ที่ผ่านมาฉันล่ะก็คิดว่าหล่อนเป็นคนดีถึงได้ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมแต่สองวันมานี้ ฉันลองคิดย้อนไปถึงครั้งก่อนๆ ที่เจอหน้ากันก็คิดถึงคำพูดของหล่อนขึ้นมาได้ ฉันเลยแน่ใจว่าที่หล่อนดีกับเย่เฉินขนาดนี้ เป็นเพราะปู่ของแกบอกความจริงหล่อนเอาไว้แน่ หล่อนคงจะรู้มานานแล้วว่าเย่เฉินเป็นมหาเศรษฐี!”
อะไรนะ!
คนทั้งตระกูลหวังอ้าปากค้าง!
“ย่าเล็กรู้นานแล้วเหรอคะ? แล้วทำไมย่าไม่บอกหนู!”
หวังเจียเหยาอยากจะร้องไห้
หวังหยวนหยวนเองก็ร้อนใจจนทำนบน้ำตาจะพัง “คุณย่าเล็กรู้ความจริงอยู่แล้วเหรอคะ? แล้วทำไมย่าไม่ยอมให้เย่เฉินแต่งงานกับหนู? คุณย่าเล็กลำเอียง!”
คุณนายหวังเองได้แต่คาดเดาเท่านั้นเพราะตอนนี้คุณย่าเล็กที่ว่ากำลังป่วยหนัก กระทั่งคุยโทรศัพท์ยังไม่ได้ดังนั้นจึงไม่สามารถจะยืนยันอะไรได้
แต่ข้อสันนิษฐานนี้ได้รับการยืนยันจากคนทั้งตระกูลหวังแล้ว!
หวังซ่าวเจี๋ยกล่าวว่า “ผมก็ว่าตอนที่คุณย่ามาบ้านเรา ทำไมถึงได้ดีกับเขยที่แต่งเข้าอย่างเย่เฉินขนาดนั้น ที่แท้คุณย่ารู้ความจริงมานานแล้ว เฮ้อ ไม่สิพี่เฉินเคยบอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าห้ามคุณปู่แพร่งพรายความลับนี้ให้คนตระกูลหวังได้รู้ไม่ใช่เหรอ?”
คุณนายหวังหัวเราะน้อยๆ “ย่าเล็กของแกแต่งไปตระกูลโจวหลายสิบปี ไม่ถือว่าเป็นคนของตระกูลหวังตั้งนานแล้ว ดังนั้นบอกหล่อนไม่ถือว่าผิดกฎสักหน่อย”
หวังเจียเหยาเองก็รู้สึกว่าเหตุผลนี้ฟังขึ้นมากนัก “แล้วคุณย่าจะทำยังไงคะ?”
คุณนายหวังกล่าว “ในเมื่อย่าเล็กของแกรู้ความจริง ดังนั้นก่อนตายจะต้องไม่อยากเห็นพวกแกสองคนหย่ากัน สามปีมานี้คุณย่าเล็กของพวกแกดีกับเขาขนาดนี้ เย่เฉินไม่มีทางทำร้ายน้ำใจหล่อนหรอก ดังนั้นพวกเราแค่บอกให้เย่เฉินแสร้งทำเป็นยังไม่ได้หย่ากับแก ทำตัวเป็นสามีภรรยากันยามอยู่ต่อหน้าหล่อน อย่างไรเสียย่าเล็กของแกก็ใกล้จะลาโลกแล้ว เย่เฉินต้องรับปากแน่”
หวังเจียเหยาเองก็รู้สึกว่าเย่เฉินคงไม่ปฏิเสธ บางครั้งหล่อนก็รู้สึกว่าเสองคนนั้นน่าจะสนิทสนมกันมากกว่าตนเองกับย่าเล็กเสียอีก!
“แต่ว่าพอแสร้งทำเป็นสามีภรรยากันแล้ว เขายังเลือกจะทิ้งหนูล่ะคะ” หวังเจียเหยาท้อแท้
คุณนายหวังกล่าว “คราวนี้พวกเราทั้งบ้านจะไปหยางหนิง อยู่ที่นั่นกัน ในเมื่อพวกแกจะโกหกว่าไม่ได้หย่ากันก็จะต้องนอนร่วมห้องเดียวกัน พอถึงตอนนั้นจะจับเย่เฉินได้ไหมต้องดูความสามารถของแกแล้ว!”