เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 12 - 4 มรสุมขวางทะเลรัก
ฝูงชนที่ส่งเสียงฮือฮาโดยตลอด เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบสงบลงโดยพลัน
ราชครูแสดงความคิดเห็นแล้ว องค์หญิงกำลังจะกลายเป็นองค์หญิงปกป้องแคว้น กษัตริย์ทรงพระประชวรแม้เพียงวันเดียว นางจะเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งแคว้น ส่วนซื่อจื่อเพิ่งสองขวบ รอคอยเขาเติบโต อย่างน้อยที่สุดต้องใช้เวลาสิบปี แคว้นเซียงจะเป็นขององค์หญิงเหอหว่าน
ส่วนราชครูต้องการกำหนดขุนนางใหญ่ช่วยราชการแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดมีความสัมพันธ์สายตรงกับองค์หญิง ยามนี้ผู้ใดสนับสนุนนางก่อน ผู้นั้นย่อมอาจจะกลายเป็นขุนนางโปรดปรานลำดับต้นของเจ้านายคนใหม่!
แม้เอ่ยกันเช่นนี้ อย่างไรเสียสถานการณ์ยังไม่แน่นอน ยามนี้ก้มศีรษะถวายความจงรักภักดีแด่องค์หญิง หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วหากเกิดความเปลี่ยนแปลง ก่อเกิดการชำระล้างจะทำอย่างไร?
วงการราชสำนักหลีกเลี่ยงขุนนางพลอยพยัก ทว่าหลีกเลี่ยงขุนนางเสนอหน้าเช่นกัน ชั่วขณะนี้แววตาของทุกคนเปล่งประกายระยิบระยับ มองหน้ากันไปมา
ยงซีเจิ้งพลันผลักคนที่ประคองเขาไว้ออกไป ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ดิ้นรนหมอบกราบเหอหว่าน
“กระหม่อมยงซีเจิ้ง ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่ผู้ปกป้องแคว้น”
ศีรษะของคนผู้หนึ่งโขกลงไปดังพลั่ก เด็ดเดี่ยวแน่วแน่
รองเสนาผู้ถวายความจงรักภักดีเป็นคนแรกยิ่งใหญ่เพียงพอ ซ้ำยังเพียงพอจะเรียกร้องเหล่าขุนนางที่เหลือด้วย
เหอหว่านก้มหน้ามองดูกลางศีรษะดำขลับของคนผู้นั้น คราบโลหิตเปรอะเปื้อนทั่วอาภรณ์ งงงวยไปชั่วขณะ
ความลุ่มหลงกับรักแท้ ความรู้สึกลึกซึ้งกับจำใจ แต่ไหนแต่ไรมาคำว่าความรักบนโลกนี้ไม่เกี่ยวกับบุพเพสันนิวาสแต่ชาติปางก่อน พอเกิดขึ้นแล้วต่างเป็นโชคชะตาสุขเศร้าเคล้าน้ำตา
ยามนี้นางเพิ่งรับรู้ถึงความรักลึกซึ้งของบุรุษผู้นี้ รู้สึกเพียงว่าหนักนับพันจวิน แบกรับไว้มิได้
ส่วนคนผู้นั้นที่ตนเองรัก…
แววตาของนางเบนไปทางจี้อีฝาน จี้อีฝานจะก้าวเข้ามาด้วย ทว่าถูกราชินีแคว้นเซียงคว้าแขนเสื้อไว้แน่น บุรุษที่สง่างามเป็นธรรมชาติยามปกติผู้นี้ ยามนี้มีท่าทางประหนึ่งยามพบเจอกันที่โรงน้ำชาที่นางต้องการให้เขาหนีตามกันไปนั้น สายตากระตือรือร้นทว่าใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ
เหอหว่านแอบถอนหายใจยืดยาว พลันรู้สึกว่าเพียงข้ามวันข้ามคืน ฟ้าดินกลับตาลปัตร
ความรักที่จินตนาการไว้คลุกเคล้าด้วยการขัดขวางและส่วนแบ่งผลประโยชน์มากมายเหลือเกิน ทว่าความเกลียดชังที่จินตนาการไว้ถูกความจริงใจโจมตีจนแหลกสลายเบื้องหน้าความเป็นจริง
ความรู้สึกงดงามอิสระยามเยาว์วัยหลั่งไหลผ่านปานสายธารในชั่วพริบตาหนึ่ง
ท่ามกลางความเลือนรางคล้ายเข้าใจเรื่องใดขึ้นมา
นางก้มตัวลงประคองยงซีเจิ้งให้ลุกขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ขอบใจเสนายง ภายภาคหน้าย่อมต้องพึ่งพาเสนายงแล้ว”
ยงซีเจิ้งยิ้มแย้มให้นางเล็กน้อย รู้สึกเพียงว่าสาวน้อยที่ตนเองคอยเฝ้ามองตั้งแต่เล็กจนโต สุดท้ายแล้วเติบใหญ่ครู่หนึ่งนี้ ปลื้มอกปลื้มใจยิ่งนัก
พอมีคนนำหน้า มีกงอิ้นนั่งบัญชาการแสดงความคิดเห็น การถวายความจงรักภักดีขั้นตอนต่อมาย่อมสำเร็จลุล่วง แขกผู้มาเยือนถอยไปฝั่งหนึ่ง กลั้นหายใจมองเหล่าขุนนางใหญ่แคว้นเซียงก้าวขึ้นมาถวายบังคมองค์หญิงใหญ่ประหนึ่งธารหลาก
ผู้ใดก็นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วพิธีหมั้นหมายขององค์หญิงจะกลายเป็นการสิ้นสุดรัชสมัยหนึ่งและการเริ่มต้นอีกรัชสมัยหนึ่ง อำนาจการเมืองของแคว้นเซียงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ราวพลิกฝ่ามือในวันนี้ ยุคสมัยที่องค์หญิงสำเร็จราชการแทนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ประจักษ์พยานครู่หนึ่งนี้ ในใจทุกคนยังคงงงงวย แม้แต่ในใจเหอหว่านเองยังเลอะเลือนมัวสลัว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพลันพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้
คล้ายว่าขั้นหนึ่งนี้เป็นผลลัพธ์ที่ผู้คนมากมายตั้งอกตั้งใจวางแผน มีคนออกแบบ มีคนเข้าร่วม มีคนผลักดัน มีคนคล้อยตามสถานการณ์เอื้ออำนวย สุดท้ายแล้วนางเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ยิ่งกว่านั้นการกระทำนี้คล้ายไม่เพียงเพื่อให้นางประสบความสำเร็จ ทว่าเพื่ออนาคตที่กว้างไกลยิ่งขึ้น
อนาคตนั้นคือสิ่งใด นางไม่รู้และไม่คิดจะสืบเสาะ
เบื้องหน้ากลอุบายฉลาดเฉลียวประหนึ่งเทพยดาของใครบางคน เพียงต้องสวามิภักดิ์รอคอยเท่านั้น
นี่คือสติปัญญาน้อยซึ่งเป็นของนาง
พอก้าวสู่ตำแหน่งหนึ่ง คนเราย่อมจะตามกระทำการครุ่นคิดอีกครั้งตามระดับความสำคัญของตำแหน่งนั้น ยามนี้พอนางนึกถึงแผนการหลบหนีงานสมรสตามบุรุษไปเมื่อหนึ่งวันก่อน รวมทั้งแผนการสังหารยงซีเจิ้งกลางงานพิธีของตนเอง อีกทั้งความรักที่ยังนึกถึงอยู่ทุกชั่วยามครู่ก่อนหน้าของตนเองอีกครั้ง ก็พลันรู้สึกว่าไกลโพ้นและน่าขบขัน
เรื่องเหล่านั้นไม่สำคัญอีกแล้ว ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
เฉกเช่นที่ราชครูเคยเอ่ยไว้ ผู้ปกครองไร้เรื่องส่วนตน สิ่งที่เจ้าต้องการอาจจะเป็นเพียงสิ่งของเล็กน้อยชิ้นหนึ่ง ทว่าผลลัพธ์ที่ลุกลามออกมาในยามสุดท้าย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นพระราชวังแห่งหนึ่ง แคว้นแคว้นหนึ่ง ชีวิตของคนผู้หนึ่ง
ไม่มีอำนาจตามอำเภอใจ มีเพียงชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน
นางหันหลังโค้งคำนับให้กงอิ้น ท่วงท่าสง่างามและทรงเกียรติ
“ประเดี๋ยวตี้เกอจะส่งพระราชโองการมาถึงที่นี่” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ทูลเชิญองค์หญิงใหญ่จัดการเรื่องราวยามนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน”
“ได้” เหอหว่านเข้าใจชัดแจ้ง
“ไม่!” ราชินีแคว้นเซียงพลันกอดกษัตริย์แคว้นเซียงไว้ กระโจนลุกขึ้น ร้องว่า “สตรีสำเร็จราชการแทนไม่ได้! ราชบัลลังก์เป็นของติ้งเอ๋อร์เท่านั้น! ข้าไม่ยอม! ฝ่าบาททรงฟื้นสิ! ฝ่าบาท! องครักษ์! ช่วยเหลือฝ่าบาท!”
นางพลันจุดดอกไม้ไฟส่งสัญญาณ แสงดาราหลากสีสันมุ่งสู่ท้องฟ้า ราชินีแคว้นเซียงกับองครักษ์ของนางอุ้มกษัตริย์แคว้นเซียงไว้พลางถอยหลัง เหอหว่านมองดูกงอิ้น กงอิ้นนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้
“ราชินีทรงเสียสติแล้ว! องครักษ์! ขวางนางไว้!” เหอหว่านตวาด
เงาคนหลายสายระเบิดวูบออกมาขัดขวางราชินีแคว้นเซียง ซ้ำยังมีเงาคนหลายสายพุ่งออกมาจากภายในพระราชวังสู้รบกับทางนี้ ปกป้องราชินีถอยกลับสู่ภายในวัง เหอหว่านพลันเอ่ยว่า “ราชองครักษ์! ขวางราชินีไว้ ผู้ใดฝ่าฝืน” นางหยุดชั่วครู่ เอ่ยสืบต่อว่า “สังหารให้สิ้นซาก!”
“เหอหว่าน!” จี้อีฝานพุ่งเข้ามาขวางเบื้องหน้านาง เอ่ยว่า “ไม่ได้นะ! นั่นพี่สาวข้า…”
เหอหว่านพลันหยุดฝีเท้า
ตรงหน้าคือบุรุษที่นางรักใคร่ลึกซึ้ง ผู้ที่ต่อต้านนางคือพี่สาวคนโตของเขา
ตรงหน้าคือแววตาขอความเมตตาน่าสงสารของเขา ความรู้สึกลึกซึ้งลึกล้ำเฉกเช่นแต่ก่อน ไม่เอ่ยวาจาแม้เพียงคำเดียวย่อมเพียงพอจะทำให้นางหลงใหลลืมเอ่ยวาจาแล้ว
ฝั่งตรงข้ามคือแววตาเจตนาร้ายเกลียดชังจากพี่สาวของเขา เต็มไปด้วยความระแวดระวังเฉกเช่นแต่ก่อน เป็นกำแพงขวางกั้นระหว่างนางกับเขามาโดยตลอด
การเลือกเช่นนี้
นางไม่ต้องหันหน้ากลับมายังรู้สึกได้ว่าแววตาของกงอิ้นที่อยู่ข้างหลังมองปราดมาเจือจาง
เรื่องราวยังไม่แน่ไม่นอน ราชครูยังรอคอยมองการแสดงออกของนาง
หากยามนี้นางจิตใจลังเลไร้ความเด็ดขาด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืน เขาไม่ต้องการผู้แทนวาจาที่แบกรับภารกิจผลประโยชน์สำคัญไม่ได้
ยามได้ครอบครองไม่รู้ค่า ทว่ายามสูญเสียย่อมเผชิญขุมนรก
แต่ก่อนนางไม่เข้าใจ ยามนี้เข้าใจแล้ว แต่ก่อนจี้อีฝานเข้าใจ ทว่ายามนี้คล้ายไม่เข้าใจ หรือว่าเขาเข้าใจทว่าแสร้งไม่เข้าใจ ฉะนั้นจึงคิดเพ้อเจ้อใช้ความรักมาขัดขวาง?
นางสูดหายใจอย่างลึกล้ำ
“ขุนนางจี้!” นางตะคอกว่า “เจ้าจะต่อต้านก่อกบฏหรือ!”
จี้อีฝานชะงัก เงยหน้าจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง ดวงพักตร์เด็ดเดี่ยวเย็นชาตรงหน้าทำให้เขาตื่นตะลึงซ้ำยังรู้สึกแปลกหน้า
ทว่าเหอหว่านอ้อมผ่านเขาไปแล้ว เดินไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
จี้อีฝานมองดูเงาด้านหลังของนางอย่างงงงัน รู้สึกเพียงว่ายามนี้สันหลังนางตั้งตรง กระโปรงบานยาวรุ่มร่ามค่อยๆ คดเคี้ยววกวนกลางโลหิตแดงฉาน ท่วงท่าสูงส่งปานนี้ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า
คุ้นเคย ด้วยเพราะเคยพบเห็นสตรีที่ควบคุมอำนาจมากมายขนาดนั้นมีท่วงท่าเป็นเช่นนี้เอง
แปลกหน้า ด้วยเพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่วงท่าเช่นนี้ไม่ใช่ท่วงท่าของนาง
ราชองครักษ์พุ่งไปทางกองทัพองครักษ์ของราชินี ล้อมคนกลุ่มหนึ่งนั้นไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา ราชินีแคว้นเซียงมีนิสัยแข็งกร้าวเช่นกัน ไม่ยอมล่าถอยในยามนี้เป็นแน่ บัญชาให้กองทัพองครักษ์เข้าสู่ภายในพระราชวังทีละก้าว พร่ำเพ้อเอ่ยวาจาเหลวไหลว่าจะแสวงหายาวิเศษใดสักอย่างมาช่วยกษัตริย์ให้ทรงตื่นฟื้น สังหารองค์หญิงที่ยึดอำนาจแย่งชิงราชบัลลังก์ คืนท้องฟ้าสีครามสดใสให้แคว้นเซียง
วงล้อมใหญ่โตค่อยๆ ลดลง โลหิตแดงฉานหลั่งรินสาดกระเซ็นออกนอกวงล้อมอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนเสียดแทงดวงใจ บางครั้งบางคราวยังมีแขนขาขาดวิ่นกระเด็นออกมาร่วงหล่นแทบฝ่าเท้าของผู้ชมเหตุการณ์ โลหิตย้อมพรมแดงกลางลานกว้างจนแดงฉาน พรมแดงค่อยๆ กลายเป็นสีม่วง เหล่าแขกเหรื่อขุนนางใหญ่ค่อยๆ ถอยหลัง ไม่กล้าเข้าใกล้วงล้อมสังหารอีก
เหลือเพียงกงอิ้นที่นั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน ซ้ำยังดื่มน้ำชาอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเหอหว่าน องค์หญิงที่แต่ก่อนไร้เดียงสานางนี้ ยามนี้ยืนอยู่ข้างหน้าสุดของฝูงชนโดยตลอด โลหิตแดงฉานกระเซ็นเปรอะเปื้อนใบหน้า แขนขาขาดวิ่นกระเด็นโดนกระโปรง นางกลับไม่ถอยหลังแม้เพียงก้าวเดียว
เสียงกรีดร้องค่อยๆ แผ่วเบาลงแล้ว ขุนพลราชองครักษ์ผู้มีใบหน้าโหดเ**้ยมเย็นชามารายงานเหอหว่านด้วยโลหิตท่วมร่างว่า “กราบทูลองค์หญิง พวกกบฏกว่าครึ่งหนึ่งถูกประหารชีวิตแล้ว ยามนี้ราชินีทรงจับตัวกษัตริย์บุกเข้าภายในพระราชวัง พระองค์โปรดทรงชี้แนะว่าควรจัดการอย่างไร”
เหอหว่านหลับตาลงเล็กน้อย เอ่ยปากอีกครั้งด้วยเสียงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่า “ถวายธนูลับปรนนิบัติ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จี้อีฝานที่ได้ยินวาจาประโยคนี้อย่างชัดเจนพลันเงยหน้าอย่างงงงัน สายตาตื่นตระหนก
“ไม่…”
การขัดขวางของเขาถูกเสียงร้องโหยหวนที่แว่วมาจากไกลโพ้นเสียงหนึ่งสะบั้นสูญสลาย
มือธนูลับที่ราชองครักษ์ซุ่มซ่อนไว้ ใช้เพื่อรับมือผู้จับตัวประกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ยิงธนูแล้วไม่เคยเสียเปล่า
“พี่สาว!” จี้อีฝานวิ่งห้อเข้าวังประหนึ่งเสียสติ องครักษ์หวังจะขัดขวาง เหอหว่านโบกมือ
จี้อีฝานวิ่งห้อโดยไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ มารดาของเขาสิ้นชีพตั้งนานแล้ว พี่สาวคอยดูแลจนเติบใหญ่ ทั้งสองฝ่ายรักใคร่กันยิ่งนัก
เหอหว่านมองดูเงาด้านหลังที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปของเขา กะพริบตาอย่างแผ่วเบา หยาดน้ำพรมขนตาภายใต้แสงจันทร์เย็นยะเยือก
ลาก่อน วัยเยาว์ที่โลดแล่นหายไปเช่นเดียวกันนี้
ยามหันกายอีกครั้ง นางจ้องเฟยหลัวเขม็ง
“จับนางไว้!”
…