เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 14 - 4 เห็นหมดแล้ว?
ปลายปีหนึ่งนี้ สายลมหิมะยังคงอยู่ รถม้ากลิ้งกึกกักเหยียบย่ำพื้นดินเหลือง หลงเหลือร่องรอยลึกล้ำสองสาย
ภายในรถม้า กงอิ้นแผ่ม้วนหนังสือวางไว้บนตัก ทว่ามิได้กำลังอ่าน กลับเหม่อลอยเล็กน้อย
ในสายลมคล้ายมีเสี้ยวลูกเห็บกระแทกบนหลังคารถจนเสียงดังกังวาน เขาพลันนึกถึงยามนั้นที่มีคนใช้รองเท้าแปลกประหลาดเคาะหลังคารถของเขาจนเสียงดังกังวานแบบนี้เช่นกัน ตะโกนลั่นเต็มเรี่ยวเต็มแรงว่า ‘จอดรถ! จอดรถ!’
ท่ามกลางความเลือนรางคล้ายได้ยินเสียงนั้นขึ้นมาจริงๆ เขายกมือตบผนังรถโดยสำนึก
รถม้าจอดสนิท เงาร่างของเหมิงหู่เดินมาที่ข้างประตูรถอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับรอคอยคำสั่ง
เขาชะงักไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่ารถจะจอดจริงๆ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าตนเองจะเลอะเลือนเสียจนออกคำสั่งให้จอดรถจริงๆ เช่นนี้
บรรยากาศน่าอึดอัดอยู่บ้าง เขาไม่อยากทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่สบายใจ โพล่งปากเอ่ยขึ้นว่า “ช่วงนี้หมิงเฉิงเป็นอย่างไรบ้าง”
เหมิงหู่ประหลาดใจยิ่งนัก…อยู่ดีๆ เขาก็สั่งจอดรถกลางทางทว่ายังถามหาหมิงเฉิง? นี่นายท่านเป็นอะไรไป?
ทว่าเขายังคงเอ่ยตอบออกไปด้วยความนอบน้อมยิ่งนักว่า “เรียนนายท่าน องค์ราชินีทรงประทับอยู่ในวังอย่างสงบสุขยิ่งนัก ไม่ทรงเสด็จออกจากประตูตำหนักแม้เพียงก้าวเดียว พวกข้าน้อยปกป้องพระนางอย่างดียิ่งขอรับ”
เอ่ยว่าปกป้องหมายถึงเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหว ยามนี้วังบรรทมของราชินีมีองครักษ์มากกว่าแต่ก่อนสามเท่า ปกป้องประหนึ่งปราการเหล็ก
“พบเจอบุคคลน่าสงสัยเข้าออกหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ”
“พบเจอการติดต่อน่าสงสัยหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ”
เขาเงียบงันไปชั่วครู่แล้วพลันเอ่ยว่า “นางยังคงไม่ยอมประทับตราลงบนพระราชโองการใช่หรือไม่”
“ท่านย่อมรู้ว่า” เหมิงหู่เอ่ยว่า “องค์ราชินีตรัสว่าพระราชลัญจกรหายไปในยามนั้นแล้ว ยามนี้พระนางทรงมอบอำนาจในการปฏิบัติราชกิจแก่ท่านแต่เพียงผู้เดียว มากที่สุดเพียงทรงยินยอมประทับตราส่วนพระองค์ลงบนพระราชโองการขอรับ”
มุมปากของกงอิ้นผุดเผยความเย็นชาออกมาเบาบาง
สูญหายหรือยังคงไม่ยอมนำออกมา?
แม้ว่าพระราชลัญจกรของราชินีไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก พระราชโองการหลายฉบับอาจมีหรือไม่มีตราประทับนี้ได้ เพียงต้องการตราประทับของเจ้านายแห่งตำหนักอวี้จ้าว ทว่าเรื่องสำคัญบางเรื่องต้องใช้พระราชลัญจกรของราชินีเท่านั้น
“ค้นหาทั้งภายในภายนอกวังบรรทมแล้วหรือยัง”
“ค้นหาแล้ว ไม่พบขอรับ”
“นางได้เข้าออกตำหนักอื่นหรือไม่”
“ไม่ขอรับ”
“ระมัดระวังยิ่งนัก” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย
เหมิงหู่ก้มหน้าไม่กล้าขานรับ รู้สึกยิ่งนักว่าปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ
“พระราชลัญจกรอยู่กับนางทางนั้น ทว่าน่าจะอยู่ในที่ที่ผู้ใดก็นึกไม่ถึง” ในแววตาของเขามีความรังเกียจสายหนึ่งเฉียดผ่าน เอ่ยสืบต่อไปว่า “หรือบางที ข้าก็ควรลงมือด้วยตนเองเสียแล้ว…”
เหมิงหู่เงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า “เหล่าผู้ใต้บัญชาจะพยายามปฏิบัติหน้าที่ ท่าน…ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นขอรับ…”
กงอิ้นเบนศีรษะเล็กน้อย มองออกไปทางนอกหน้าต่างรถ ทางภูเขาหิมะไกลโพ้นที่อยู่ไกลออกไป
“ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจ ข่าวสารของทางนั้นใกล้มาถึงแล้ว…”
เหมิงหู่มีสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็ก้มหน้าลง กัดฟันจนแก้มเกร็งแน่นเล็กน้อย
“สิ่งที่ควรมาย่อมต้องมา สิ่งที่ควรไปย่อมต้องไป” แววตาของเขาเบนกลับมาจากที่ซึ่งไกลออกไป พลิกหนังสือหนึ่งหน้าอย่างแผ่วเบา แล้วเอ่ยว่า “…หรือบางครั้ง ควรตระเตรียมเริ่มต้นได้แล้ว”
…
“พวกเรารีบเดินทางกันหน่อย เช่นนี้ถึงจะฉลองปีใหม่ภายในอาณาเขตเผ่าหวงจินได้ทันเวลา” จิ่งเหิงปัวเลิกม่านรถขึ้น ตะโกนบอกเจ็ดสังหารที่ทะเลาะวิวาทกันสิบแปดครั้งอยู่ข้างหน้าเป็นครั้งที่สิบแปดว่า “หากทะเลาะกันอีก พี่จะตั้งถิ่นฐานอยู่เผ่าหวงจินแล้ว! พวกเจ้ากลับภูเขากันเอง ไปอยู่ด้วยกันกับเฒ่าหลงตัวเองของพวกเจ้าเลยไป!”
เจ็ดสังหารหัวเราะเฮฮาหยุดทะเลาะวิวาท มองดูท้องฟ้า เอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “พรุ่งนี้จะปีใหม่แล้ว พวกเราเลี้ยงอาหารค่ำยามก่อนปีใหม่อย่างไรกันดี? คนหนึ่งทำอาหารอย่างหนึ่งดีหรือไม่? จองโต๊ะสักโต๊ะในภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดดีหรือไม่? จะเหมาหอคณิกาหาพี่สาวกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งหรือไม่…”
“หาที่พักได้ก็ไม่เลวแล้ว! เร็วหน่อย!” จิ่งเหิงปัวด่าเสียงหนึ่ง มองดูยอดเขาข้างหน้า เพิ่งจะเข้าสู่เขตเผ่าหวงจิน เล่ากันว่าข้างหน้ามีบึงโคลนใหญ่ หากโชคดีคงไปถึงหมู่บ้านบริเวณบึงโคลนได้ทันเวลา หากโชคร้ายคงต้องฉลองปีใหม่กลางบึงโคลน
เผ่าหวงจินได้นามตามความหมาย ทั้งชนเผ่าผลิตทองคำมากมาย ครอบครองเหมืองแร่ที่มีปริมาณทองคำสูงล้ำ บึงโคลนที่เป็นสัญลักษณ์เด่นชัดมากที่สุดของพวกเขามีนามว่าบึงโคลนหวงจินเช่นกัน แน่นอนว่าบึงโคลนหวงจินไม่ได้ผลิตทองคำโดยตรง ทว่าให้กำเนิดสัตว์ร้ายตัวน้อยชนิดหนึ่งเรียกว่าสัตว์หาทอง เล่ากันว่าสัตว์ชนิดนี้สามารถพบเจอเหมืองแร่ทองคำและค้นหาทองคำจากใต้ดินได้ หากมีมันอยู่ด้วย โอกาสในการพบเจอทองคำจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก สัตว์น้อยชนิดนี้หายากยิ่งนัก ดำรงชีวิตอยู่ตรงกลางบึงโคลน เป็นสัตว์กินทั้งพืชทั้งเนื้อ ยามปกติคอยกินซากสัตว์ป่าทุกชนิดที่บึงโคลนท่วมถึงเพื่อเลี้ยงชีพ ซ้ำยังกินพืชน้ำข้างบึงโคลนด้วย ทว่าอาหารที่ชื่นชอบมากที่สุดคือสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะเนื้อมนุษย์ที่ยังมีชีวิต เนื้อมนุษย์สดใหม่สามารถหลอกล่อให้สัตว์ที่ระมัดระวังตัวเป็นพิเศษชนิดนี้ออกมาจากตรงกลางบึงโคลนแล้วถูกคนจับกุมได้
ทว่าสัตว์หาทองว่องไวโหดร้ายยิ่งนัก เขี้ยวเล็บแหลมคม บนกรงเล็บมีพิษ อาศัยรวมกลุ่มกันเป็นฝูง แหวกว่ายไปมาบนบึงโคลนดุจสายลม รวดเร็วรุนแรงประหนึ่งอสนีบาต พวกที่คิดจะใช้คนเป็นหลอกล่อสัตว์หาทองเหล่านั้น ส่วนใหญ่กลายเป็นอาหารอยู่ในท้องของมัน ถูกฉีกกระชากจนเหลือเพียงกระดูกขาวเน่าเปื่อยกลางบึงโคลน ฉะนั้นหลายปีมานี้จึงไม่มีผู้ใดลองใช้คนเป็นมาล่อจับสัตว์หาทองแล้ว อย่างไรเสียไม่ว่าจะได้เงินมากแค่ไหน ความร่ำรวยย่อมไม่สำคัญเท่าชีวิต
เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่เจ็ดสังหารได้ยินมาระหว่างทาง จิ่งเหิงปัวถือว่าได้ฟังนิยายเรื่องหนึ่ง ตอนนี้นางไม่ขาดเงิน ไม่สนใจสัตว์ร้ายซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภชนิดนั้น ถ้าต้องการเงินหรือ? เฟยเฟยฉี่รดเศรษฐีเงินถังสักคนก็ทำให้เขาคนนั้นแบกทรัพย์สินมาประเคนให้ได้แล้ว ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่กางเกง ร้ายกาจยิ่งกว่าสัตว์หาทองเยอะเลย
วันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสองยามฟ้าใกล้มืด พวกเขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งตรงชายแดนเผ่าหวงจินจนได้ ยามมองเห็นข้างหน้ามีควันจากปล่องไฟลอยวนเป็นเกลียว ทุกคนก็พากันถอนหายใจยืดยาว ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วก็มองเห็นบ้านเรือน ไม่ต้องฉลองปีใหม่ข้างบึงโคลนดำทะมึนมืดมิดแล้ว
ขณะเดินทางเข้าหมู่บ้าน จิ่งเหิงปัวกลับรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติเท่าไร
หมู่บ้านไม่นับว่าเล็ก เล่ากันว่าห่างไปไม่ไกลจากที่นี่คือเมืองสวินหยางซึ่งเป็นเมืองชายแดนขนาดใหญ่ลำดับสามของเผ่าหวงจิน บ้านเรือนภายในหมู่บ้านไม่นับว่าชำรุดทรุดโทรมมากเท่าไร เมื่อนางเดินทางผ่านเข้ามาตามเส้นทาง มองเห็นปล่องไฟของหลากหลายครอบครัวปล่อยควันคละคลุ้ง ไอควันร้อนผะผ่าว ข้างใต้ชายคาระเบียงมีผักตากแห้งและเนื้อตากแห้งแขวนอยู่ บนสันกำแพงมีขนหนังของสัตว์ป่าพาดอยู่ ดูท่าทางมีความคึกคักยามเตรียมฉลองปีใหม่หลายส่วน แต่ภายในหมู่บ้านเงียบสงัดอย่างยิ่ง มองไม่เห็นบรรยากาศชื่นมื่นยามเทศกาลปีใหม่ใกล้เข้ามาแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงคนโหวกเหวกโวยวายแว่วมาจากภายในบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งกลางหมู่บ้าน ได้ฟังอยู่ไกลโพ้นคล้ายกำลังทะเลาะวิวาท
ด้วยเพราะไม่มีคนออกมาสอบถาม รถม้าของพวกเขาจึงแล่นมาตลอดทางจนถึงภายในหมู่บ้าน ยามเข้าใกล้บ้านหลังใหญ่หลังนั้น ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนร้องไห้รำไร
“ไม่ได้ เหตุใดต้องเป็นพวกเราด้วย! ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว…จะรังแกครอบครัวหญิงหม้ายเช่นพวกเราหรือ…”
ภายในห้องเงียบงันชั่วครู่ จากนั้นเป็นเสียงถกเถียงสับสนวุ่นวายอีกครั้ง ผู้คนเยอะเหลือเกิน คล้ายคนทั้งหมู่บ้านมาชุมนุมกันอยู่ที่นั่น ได้ยินไม่ชัดเจนว่ากำลังเอ่ยเรื่องใด รู้สึกว่าทั้งต่อว่าต่อขานทั้งโน้มน้าวทั้งระงับอารมณ์ ทว่าเสียงร้องไห้นั้นค่อยๆ แหลมคมขึ้นทีละน้อย แล้วพลันดังขึ้นอีกว่า “จะรังแกครอบครัวหญิงหม้าย ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!” จากนั้นก็มีเสียงเพล้งดังขึ้น หน้าต่างถูกกระแทกจนแตกร้าว สิ่งของชิ้นหนึ่งลอยออกมาโดยพลัน
“ไอ้หยาๆ มีอาวุธลับ!” เอ่อร์ลู่ที่อยู่ข้างหน้าสุดพลันหดศีรษะ ข้างหลังของเขาคือซานอู่ กำลังหวีผมประทินโฉมหน้าตา ของมืดมิดสิ่งนั้นประทับลงบนใบหน้าของเขาดังตุ้บ
“เหม็นยิ่งนัก…” รอให้ซานอู่คว้าของสิ่งนั้นลงมาจากบนใบหน้านั้น สีหน้าก็ซีดเผือดจนใกล้จะหยุดหายใจแล้ว
พอทุกคนก้มหน้ามองเห็นรองเท้าข้างหนึ่ง มองจากรูปแบบแล้วเป็นรองเท้าของสตรี ทว่ามีขนาดใหญ่จนน่าแปลกใจ
เจ้าหมาโง่ที่ยู่บนหลังคารถตกใจจนหดศีรษะ เบิกดวงตากลมน้อยจนกว้าง ตะโกนว่า “รองเท้าดีรู้เวลา ควรเขวี้ยงมายามปีใหม่ ลอยตามลมพรมหน้าไว้ อุดจมูกไซร้สิ้นไร้เสียง!”
ซือซือหัวเราะฮึๆ เอ่ยว่า “เจ้าสาม คู่ครองตามพรหมลิขิตของเจ้ามาแล้ว! สวรรค์ส่งรองเท้าเหินผูกด้ายแดง!”
“รองเท้าใหญ่คู่ควรกับปีศาจน้อย พอดีเลย ประเดี๋ยวพี่ชายจะลากด้ายแดงไปให้เจ้า!” ซานอู่คว้ารองเท้าเหม็นข้างนั้นไว้ พอยกมือพลันเขวี้ยงออกไป ร้องว่า “โคตรแม่งเอ๊ย ภรรยาของน้องชายข้าเป็นอะไรไป? เหตุใดต้องเขวี้ยงรองเท้ามั่วซั่ว!”
เสียงดังโครมเสียงหนึ่ง หน้าต่างโครงไม้ทั้งบานเหินว่อน ถูกรองเท้าข้างหนึ่งกระแทกจนแตกกระจาย…
ทันใดนั้น เบื้องหน้าหน้าต่างที่แตกสลายพลันมีศีรษะนับไม่ถ้วนชะโงกออกมา ทั้งศีรษะใหญ่ ศีรษะเล็ก ศีรษะผู้ชรา ศีรษะผู้อ่อนวัย ศีรษะบุรุษและศีรษะสตรี ดวงตาบนใบหน้าของทุกคนเบิกกว้างกลมโต ถลึงตามองคนกลุ่มหนึ่งนี้ที่พลันปรากฏกายตรงหน้า
“ภรรยาของน้องชายข้าอยู่ที่ใด! ออกมาขอโทษพี่ชายของสามีเจ้า!” ซานอู่ร้องตะโกนด้วยพลังเหลือล้น
จิ่งเหิงปัวกุมขมับ บอกเหยียลี่ว์ฉีว่า “ลมแรง ตระเตรียมหลบหนี!”
เผ่าหวงจินเลื่องชื่อว่าโหดเ**้ยมกล้าหาญ ก่อนหน้านี้นางเคยบอกกล่าวเจ็ดสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าก่อเรื่อง ไม่ว่าอย่างไรขอให้ได้ฉลองปีใหม่อย่างสงบสุขปลอดภัยสักครั้ง นึกไม่ถึงว่าเจ็ดตัวนั้นจะสัญญาไว้เสียดิบดี แต่พอเจอรองเท้าเหม็นข้างเดียวก็สติแตกเสียแล้ว
หากไม่ไปตอนนี้ รอให้อีกเดี๋ยวถูกชาวบ้านคว้าจอบเสียมมาไล่ฆ่าเหรอ?
นางทำให้คนทั้งขบวนเดือดร้อนไม่ได้
เทียนชี่เคลื่อนไหวรวดเร็วกว่านาง เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “อยู่กับไอ้เลวเจ็ดคนนี้ อับอายขายหน้าเสียจริง…” พลางรีบบังคับรถตระเตรียมเลี้ยวกลับ
“รอเจ็ดสังหารหรือไม่?”
“ไม่ต้องรอ ให้พวกเขาคุยความในใจกับเหล่าภรรยาของน้องชายให้เต็มที่!” จิ่งเหิงปัวหันหน้าด้วยความโมโห
“ช้าก่อน!” เสียงตะโกนยืดยาวพลันดังขึ้น ผู้ชราคนหนึ่งเบียดเสียดออกมาจากฝูงชนที่พากันปากอ้าตาค้าง เขารีบร้อนเช่นนี้ ไม่ทันได้ออกมาทางประตูด้วยซ้ำ กระโดดออกมาจากหน้าต่างเสียเลย พอจิ่งเหิงปัวเห็นเข้าจึงเร่งเร้าให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
“รีบไปๆ เลิศล้ำยิ่งนักๆ” นางเร่งเร้าอย่างต่อเนื่องว่า “ตาเฒ่าอายุเจ็ดสิบแปดสิบกระโดดผ่านหน้าต่างได้คล่องแคล่วขนาดนี้ พอพุ่งเข้ามาพวกเราคงประจบประแจงไม่ได้เป็นแน่ รีบไปไวหน่อย”
“ช้าก่อน! ผู้มาเยือนช้าก่อน!” ตาเฒ่าคนนั้นวิ่งเร็วประหนึ่งสายลมจริงด้วย วิ่งออกมาสามก้าวก็คว้าบังเ**ยนม้าของเทียนชี่ไว้ในครั้งเดียว เทียนชี่แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งหวังจะสะบัดออก จิ่งเหิงปัวก็ขวางไว้ทันที
นางกลัวว่าเทียนชี่จะลงมือไม่รู้หนักเบา ทำร้ายคนจนบาดเจ็บ ถ้าเป็นแบบนั้นคงเกิดความยุ่งยากขึ้นมาจริงๆ แล้ว
อีกทั้งพอฟังเสียงตาแก่เอ่ยวาจา ก็ไม่เหมือนหวังจะทำให้นางลำบากใจ
“ท่านผู้เฒ่าเอ๋ย” นางแกะมือของเขาออกพลางยิ้มตาหยี กล่าวว่า “คือว่านะ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน นั่นน่ะ พวกเราไม่รู้จักไอ้สารเลวเจ็ดคนนั้น หากท่านมีเรื่องใดจงเอาเรื่องกับพวกเขาเถิด พวกเราไปแล้ว ลาก่อน ไม่ต้องส่ง จุ๊บๆ”
“ผู้มาเยือน!” ตาแก่คนนั้นไม่ยอมปล่อยมือ พลิกฝ่ามือคว้ามือของนางไว้ ร้องว่า “ผู้มาเยือน อย่าเพิ่งไป! ใกล้ปีใหม่แล้ว พวกเจ้าจะเดินทางไปที่ใดกัน? กำแพงเมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไกลจากที่นี่อีกหนึ่งวันครึ่ง พวกเจ้าคิดจะฉลองปีใหม่กันกลางทางหรือ?”
จิ่งเหิงปัวงงงัน…นี่มันอะไรกัน? มีน้ำใจไมตรีขนาดนี้เชียว? เผ่าหวงจินที่เล่ากันว่าโหดเ**้ยมกล้าหาญ อุปนิสัยหุนหันพลันแล่นเล่า? ที่นี่ไม่ใช่แคว้นสุภาพบุรุษหรอกหรือ?
“คือว่า…นั่นน่ะ…” นางไม่กล้าเชื่อใจอยู่บ้าง พบเจอคนนอกมากมาย พอคนอื่นสุภาพอ่อนโยน นางก็ไม่สบายใจไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง กล่าวว่า “พวกเราคุ้นเคยกับการฉลองปีใหม่กันกลางทาง ขอโทษด้วยนะ เขวี้ยงหน้าต่างของพวกท่านจนเสียหายแล้ว พวกเราจะชดใช้ให้ พวกเราชดใช้เอง…”
“หน้าต่างนั่นไม่เป็นไรหรอก แต่เดิมควรซ่อมแซมอยู่แล้ว! เขวี้ยงได้ดี เขวี้ยงได้ดี!” ตาเฒ่าสะบัดมือเพียงครั้ง เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “ผู้มาเยือน หมู่บ้านต้าหวังของพวกเราชื่นชอบรับแขกเป็นที่สุด ไม่มีเหตุผลที่จะให้แขกผู้เดินทางมาไกลผ่านหมู่บ้านโดยไม่เข้าพักผ่อนเป็นแน่ อีกทั้งยามนี้ใกล้จะฉลองปีใหม่แล้ว หากพวกเจ้าพลาดสถานที่พำนักแห่งนี้ ยามฉลองปีใหม่คงต้องนอนกลางดินกินกลางทรายแล้ว เช่นนั้นจะอ้างว้างเยือกเย็นมากเพียงใด? พวกเจ้ายอมได้ แต่ตาเฒ่าเช่นข้ายอมไม่ได้หรอก มาเถิด ในเมื่อมาถึงแล้วอย่าได้ผ่านเลยไป มาเร็ว เอ้อร์ส่า ซานฮุ่น เข้ามาช่วยแขกเหรื่อขนสัมภาระลงจากรถ!”
ภายในหน้าต่างยังมีศีรษะมนุษย์กลุ่มหนึ่งชะโงกออกมามองดูพวกเขาอย่างงงงัน สีหน้าไม่ได้กระตือรือร้นเป็นธรรมชาติเฉกเช่นตาเฒ่า ภายในดวงตาส่วนใหญ่ยังมีความระมัดระวัง ทว่าตาเฒ่าคล้ายมีอำนาจบารมียิ่งนัก พอเขาเหลียวหลังถลึงตาเพียงครั้ง เด็กหนุ่มอ่อนวัยหลายคนพลันก้าวขึ้นมาช่วยเหลือโยกย้ายสัมภาระ
“เกิดกระไรขึ้น” จิ่งเหิงปัวถามเหยียลี่ว์ฉีอย่างเงียบเชียบ กล่าวว่า “ผิดปกติแฮะ!”