เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 17 - 2 หมิ่นเกียรติหมิงเฉิง
ตี้เกอ
ค่ำคืนใกล้ปลายปี น้อยครั้งนักที่จะไม่มีคำสั่งห้ามออกข้างนอกยามวิกาล ท้องฟ้าย่ำค่ำแล้ว ฝูงชนบนถนนยังคงจ้อกแจ้กจอแจ แสงไฟสว่างเรืองรอง
ด้วยเพราะสำนักราชการปิดทำการแล้ว รวมถึงตำหนักอวี้จ้าวด้วย สถานที่ราชการในตี้เกอทุกแห่งล้วนปิดประตูใหญ่สนิทแน่น ทว่าไม่ได้สั่งห้ามราษฎรเตร็ดเตร่อยู่บริเวณใกล้เคียงอีกแล้ว ฉะนั้นแม้แต่บริเวณใกล้เคียงตำหนักอวี้จ้าวยังเปิดเป็นตลาดกลางคืนชั่วคราว ค้าขายสิ่งของแปลกใหม่ที่นำเข้ามาจากหกแคว้นแปดชนเผ่า
ปีก่อนหน้าไม่อนุญาตให้มีสถานการณ์เช่นนี้โดยเด็ดขาด ด้วยเพราะผู้ใดต่างรู้ว่าเจ้านายแห่งตำหนักอวี้จ้าวชื่นชอบความเงียบสงบ
ปีนี้ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเหตุใด กลับยกเว้นเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง ยามที่ประตูตำหนักอวี้จ้าวพลันเปิดกว้าง ยามที่ทหารม้าขนนกสีดำวิ่งห้อดุจลูกศรออกมาจากหน้าประตูตำหนักอวี้จ้าว นำพาสัญลักษณ์แม่น้ำสีดำภูเขาสีขาวที่มีความหมายลึกซึ้งโดยเฉพาะของตำหนักอวี้จ้าวทะลุผ่านฝูงชนขวักไขว่ จากไปโดยกีบเท้าม้าแทบไม่แตะพื้น ทุกผู้คนจึงพากันตกอกตกใจ
ราษฎรตี้เกอทุกคนรู้ว่าทหารม้าขนนกสีดำคือผู้ส่งสารพิเศษที่ตำหนักอวี้จ้าวใช้ประกาศคำสั่งสำคัญต่อทั่วโลกหล้า ยิ่งกว่านั้นคือประกาศเพียงข่าวร้าย เฉกเช่น ข่าวสารการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ การเปลี่ยนแปลงหรือล่มสลายของราชวงศ์ การลดตำแหน่งขุนนางสำคัญขั้นสองขึ้นไป
เมื่อไม่นานมานี้เอง ราษฎรตี้เกอเพิ่งได้เห็นทหารม้าขนนกสีดำครั้งหนึ่ง นั่นคือหลังจากเหตุการณ์บังคับสละราชย์ที่ตำหนักอวี้จ้าวก่อนหน้านี้ คำสั่งขนนกสีดำที่ประกาศว่าราชินีถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ แต่งตั้งเป็นราชินีเฮยสุ่ย ประกาศก้องทั่วโลกหล้า
ช่วงเวลาที่จะสิ้นปีรอมร่ออยู่แล้วเช่นนี้มีข่าวร้ายใดกันอีกเล่า? ราษฎรทยอยวางสิ่งของในมือลง หันหน้ากลับไปมองอย่างไม่สบายใจ
“พระราชโองการความว่าอิงไป๋สมุหราชองครักษ์อวี้จ้าวหลงฉี นิสัยหยิ่งทระนงดื้อรั้น คบหาขุนนางภายนอก แอบอ้างอำนาจทางทหาร มัวเมารสสุรา บรรดาขุนนางร่วมประชุมแล้วลงความเห็นว่าควรถอดถอนออกจากตำแหน่ง บัดนี้ให้ส่งมอบอวี้จ้าวหลงฉี หากไม่มีพระราชโองการชั่วชีวิตนี้ห้ามมิให้กลับสู่ตี้เกอ สิ้นสุดพระราชโองการ!”
กลางตลาดมีเสียงฮือฮาดังขึ้นเสียงหนึ่ง
สมุหราชองครักษ์อวี้จ้าวหลงฉี นั่นเป็นขุนนางฝ่ายทหารลำดับหนึ่งในราชสำนักที่อยู่ระดับเดียวกันกับผู้บัญชาการทหารคั่งหลง ขุนนางสำคัญที่มีอำนาจบารมีเลื่องลือเช่นนี้ คืนก่อนปีใหม่เช่นนี้ จะเอ่ยว่าถอดถอนแล้วถอดถอนเลยได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น สมุหราชองครักษ์อิงไป๋แตกต่างจากเฉิงกูมั่ว เขาคือคนไว้ใจแท้จริงใต้บัญชาของราชครู เขาคือผู้เหยียบย่ำผ่านภูเขาซากศพทะเลโลหิตเคียงข้างราชครูตลอดเส้นทางตั้งแต่สามัญชนจนขึ้นสู่ตำแหน่งในยามนั้น หากเอ่ยว่าทหารทั้งสองเป็นมือซ้ายมือขวาของราชครู เฉิงกูมั่วก็นับว่าเป็นเพียงมือซ้าย อิงไป๋ถึงเป็นมือขวาที่แข็งแกร่งที่สุด
สะบั้นมือขวาของราชครูตามใจชอบ? เขายอมหรือ?
พระราชโองการ? พระราชโองการของราชินีหรือ?
ราชินีหมิงเฉิงขึ้นครองราชย์อีกครั้งแล้ว เดิมทีนางเรียกร้องให้จัดพระราชพิธีอีกครั้งหนึ่ง เฉลิมฉลองและป่าวประกาศการกลับคืนสู่ราชบัลลังก์ของนาง ทว่าถูกราชครูปฏิเสธ ราชครูแสดงความเห็นว่าผู้เคยขึ้นครองราชย์ครั้งหนึ่งแล้ว หากขึ้นครองราชย์อีกครั้งหนึ่งถึงเรียกว่าเกียรติยศฐานันดรไม่สอดคล้องกัน ราชินีหมิงเฉิงจึงกลับคืนสู่ตำหนักบรรทมในตำหนักอวี้จ้าวของตนเองอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงเช่นนี้ ใช้ชีวิตหุ่นเชิดของตนเองต่อไป
ราชินีหมิงเฉิงกล้าลงมือจัดการอิงไป๋ได้อย่างไร? ราชครูยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร? ทั้งสองคนจะขัดแย้งกันด้วยเพราะเรื่องนี้หรือไม่? ประเดี๋ยวจะต้องเกิดเหตุการณ์นองเลือดที่ตำหนักอวี้จ้าวอีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่?
เหล่าราษฎรตี้เกอมีความรู้สึกไวต่อการเมืองมากยิ่งนักมาโดยตลอด พอนึกถึงตรงนี้ ทุกคนก็รีบละทิ้งสิ่งของในมือ แยกย้ายฮือฮาเสียงหนึ่งเสมือนผึ้งแตกรัง
คืนนี้ ตี้เกอไม่อาจฟื้นคืนความสนุกสนานคึกคักก่อนปีใหม่ได้อีกแล้ว คนนับไม่ถ้วนอยู่ในจวนด้วยความกลัดกลุ้มยิ่งนัก คนนับไม่ถ้วนคำนวณคาดคะเนอยู่ในที่พักอาศัย คนนับไม่ถ้วนเหม่อมองไปทางตำหนักอวี้จ้าว รอคอยหรือหวาดกลัวว่าที่นั่นจะพลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นอีกครั้ง ย้อนรอยเหตุการณ์ที่สะท้านใจผู้คนเมื่อไม่นานมานี้อีกรอบ
…
ตำหนักอวี้จ้าว
แตกต่างจากที่โลกภายนอกจินตนาการไว้ ตำหนักอวี้จ้าวเงียบสงบเหลือเกิน เงียบสงบถึงขนาดไร้ซึ่งบรรยากาศปีใหม่
อันที่จริงตำหนักอวี้จ้าวในปีก่อนหน้าไม่ได้มีบรรยากาศปีใหม่เช่นกัน ทว่าไม่รู้ด้วยเพราะเหตุใด หมู่นี้ตำหนักอวี้จ้าวกลับเงียบสงัดเป็นพิเศษ แม้แต่ชาววังยังเดินเหินแผ่วเบา เอ่ยวาจากระซิบกระซาบ เสียงเล็กน้อยดังขึ้นเพียงเสี้ยวยังรู้สึกว่าก้องสะท้อนอยู่กลางระยะห่างอันกว้างระหว่างเสาระเบียงของพระราชวัง
การมาถึงของคนผู้หนึ่งเคยนำมาซึ่งความคึกคัก ทุกผู้คนคุ้นเคยกับความคึกคักเช่นนั้นแล้ว ยามที่นางจากไป ความเงียบสงบเฉียบพลันจึงแปรเปลี่ยนจนทำให้ผู้คนยากจะอดทนได้ถึงเพียงนี้
แสงไฟในตำหนักอวี้จ้าวริบหรี่และเลือนราง แสงไฟในจิ้งถิงส่องสว่างรำไร
คนสองคนกำลังร่ำสุราด้วยกันภายใต้แสงไฟ
คนสวมอาภรณ์ขาวราวหิมะคือกงอิ้น อีกคนหนึ่งมัดผมไว้ไม่ค่อยเรียบร้อย หนวดเคราหร็อมแหร็ม คิ้วทั้งดกดำทั้งเรียวยาวยิ่งนัก ดวงตาหรี่ลงบ่อยครั้ง ทว่ายามยิ้มแย้มวาดโค้งขึ้นเล็กน้อย แลดูมีเสน่ห์อันสง่างามผิดแผกจากผู้อื่น
อิงไป๋ สมุหราชองครักษ์อวี้จ้าวหลงฉี
ขุนนางต้องโทษที่โลกภายนอกเล่าลือกันว่าถูกจองจำ ถูกช่วงชิงตำแหน่ง ถูกขับไล่ออกจากนครหลวง ยามนี้กำลังร่วมดื่มสุรากับราชครูอยู่ในสถานที่ตรงกลางจิ้งถิง
แสงไฟเหลืองอ่อน แสงเงาสั่นไหว บางคนไอโขลกแผ่วเบา เคียงคู่ด้วยหยาดหิมะโปรยปรายดังซ่าๆ จากภายนอก
“เจ้าดื่มน้อยหน่อย” อิงไป๋รินสุราให้ตนเองไปพลาง รินสุราทั้งถ้วยของกงอิ้นใส่กาสุราของตนเองตามใจชอบไปพลาง แล้วเอ่ยสืบต่อว่า “จนยามนี้ยังฝืนทน ข้าคงไม่ชมเชยว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษหรอกนะ” เขาดื่มสุราทั้งถ้วยจนสิ้นในอึกเดียว เขย่าถ้วยสุรา แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจอีกครั้งว่า “จะขับไล่ข้าไปแล้ว เจ้ายังไม่ยอมนำสุราเลิศรสกว่านี้ออกมาอีก ข้าได้ยินว่าที่เจ้านี้มีสุราน้ำแข็งหลงซานร้อยปี เจ้าว่าพวกเราสองคนนำออกมาดื่มจนแห้งเหือดดีหรือไม่? ข้าต้องร่อนเร่พเนจรจากต้าฮวงแล้ว หากไม่นำของดีออกมาชดเชยบ้าง ข้ากลัวว่าข้าจะกลับมาไม่ได้นะราชครู”
กงอิ้นหยิบถ้วยสุราของตนเองคืนมา ใช้ผ้าเช็ดปากถ้วยที่นิ้วมือของเขาเคยสัมผัส เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “สุราน้ำแข็งหลงซานหมดแล้ว”
“หมดแล้ว? หมดแล้วหรือ!” อิงไป๋เบิกตากว้าง จ้องมองกงอิ้นอยู่เนิ่นนาน พอแน่ใจว่าเขาไม่ได้โกหก สีหน้าก็พลันกลัดกลุ้มโศกเศร้า ร้องว่า “เจ้ารับปากเป็นมั่นเหมาะว่าภายภาคหน้าจะเก็บไว้ให้ข้าดื่ม!”
“อีกสามปี กาที่สองจะครบร้อยปี” กงอิ้นเหม่อมองหิมะนอกหน้าต่าง เอ่ยว่า “ภายภาคหน้าเจ้ากลับมาให้ได้ มันย่อมเป็นของเจ้า”
“ยังต้องทำให้เจ้าพอใจถึงจะได้ลิ้มรสกระมัง?” อิงไป๋เลิกคิ้ว เอ่ยว่า “เช่นนี้เจ้าเรียกว่าดื่มสุราได้หรือ เพียงสร้างเหยื่อล่อให้ข้าไล่ตามเท่านั้น เฉกเช่นหยอกเย้าสุนัขกระนั้น! เจ้าหลอกลวงกันเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”
กงอิ้นเพียงยิ้มบางครั้งหนึ่ง รินสุราให้เขาด้วยตนเอง เอ่ยว่า “เช่นนั้น ถ้วยนี้นับเป็นการขออภัยแล้ว”
“อย่าเลยๆ ข้ารับไม่ไหว วาจาขออภัยของเจ้านี้ไม่ใช่ขออภัยเสียเปล่า พอเจ้าขออภัยข้า ข้าจะโชคร้ายครั้งใหญ่” อิงไป๋โบกมือ สีหน้าแค้นเคืองท่วมท้น เอ่ยว่า “หนึ่งเดือนก่อนเจ้ารินสุราขออภัยข้า ข้ายังดีอกดีใจนึกว่าเจ้ารู้ตัวจนได้ว่ากระทำผิดต่อข้า ซ้ำยังคิดจะทวงคืนเงินบริสุทธิ์สามตำลึงที่เจ้าเป็นหนี้ข้ายามนั้นจากเจ้า ผู้ใดจะรู้ว่ายามนี้เจ้าเล่นงานข้าเช่นนี้เสียได้ แท้จริงแล้วเจ้าตระเตรียมขออภัยล่วงหน้าเพื่อขับไล่ข้าออกจากนครหลวง เช่นนั้นการขออภัยครั้งนี้ของเจ้าด้วยเพราะเหตุใดอีกเล่า? ประเดี๋ยวข้ายังต้องโชคร้ายเรื่องใดอีก?”
“ออกนอกตี้เกออันตรายรอบด้าน หกแคว้นแปดชนเผ่าเกิดคลื่นใต้น้ำพวยพุ่ง” กงอิ้นชูถ้วย เอ่ยสืบต่อว่า “เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
เขายกแขนเสื้อบดบังถ้วย ดื่มรวดเดียวจนหมด แขนเสื้อหยุดนิ่งเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง บนใบหน้าแดงระเรื่อดุจแสงสายัณห์สาดส่องบนหยกขาว แดงซ่านล่มนคร
ทว่าสีหน้าของอิงไป๋ไม่น่าชม มองเขาปราดเดียวแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว ข้าคงไม่คิดจะตรวจดูสภาพของเจ้าเฉกเช่นพวกสตรีหรอก”
กงอิ้นเพียงกระหวัดมุมปากครั้งหนึ่ง
“เจ้าเองร้อนรนเร่งรีบเกินไปแล้ว รอหน่อยไม่ได้หรือ?” อิงไป๋ดื่มสุราอึกใหญ่ เอ่ยว่า “ต่อไปจะเป็นผู้ใด?”
กงอิ้นจิบสุราอย่างเชื่องช้า ไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ เอ่ยว่า “เผ่าหวงจินน่าจะวุ่นวายอยู่บ้าง ผู้บัญชาการเฉิงว่างงานนานเกินไป หรืออาจควรกุมดาบวิเศษออกมา ควบอาชาสู่ภูเขาทางเหนืออีกครั้ง”
มือของอิงไป๋ชะงัก งงงวยอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยเสียงดังว่า “สมควร!”
กงอิ้นไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เอ่ยว่า “คนที่เจ้าฝึกฝนหลายปีมานี้ ไม่อนุญาตให้เจ้าพาไปด้วยแม้เพียงผู้เดียว”
อิงไป๋แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง เอ่ยอย่างหดหู่ว่า “ฆ่าล้างบางสินะเจ้า”
กงอิ้นไม่เอ่ยวาจา คีบถ้วยมองหิมะเหน็บหนาวท้องฟ้ามืดมนนอกหน้าต่าง หยาดหิมะปะทะบนกระดาษหน้าต่างดังซ่า ดุจเสียงนิ้วมือของเทพเคาะลงบนโชคชะตา
“ถูกขับไล่ออกจากนครหลวงแล้ว ข้ายังไม่ได้ดื่มสุราน้ำแข็งหลงซานสักถ้วย” อิงไป๋รู้สึกไม่พอใจ ยังคงบ่นอุบอิบว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าสิ ผู้ใดดื่มสุราของข้าไป?”
มือของกงอิ้นชะงักเล็กน้อย ยกมือไปคว้ากาสุราอีกครั้ง มือของอิงไป๋ยกขึ้นเพียงครั้งหยุดยั้งข้อมือของเขาไว้ ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “พอแล้ว! ไม่ต้องดื่มคารวะเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาแล้ว! ข้ารู้แล้ว!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง กงอิ้นทำท่าทางเสมือนไม่ได้ยิน
“เรื่องที่ข้าขอร้องให้เจ้ากระทำ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
อิงไป๋กลอกตาขาว ปรบมือเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง ม่านประตูก็เลิกออก คนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้