เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 19 - 3 ทารุณหมิงเฉิงไม่บอกเจ้า
ภายในตำหนัก
กงอิ้นที่เปรอะเปื้อนโลหิตทั่วใบหน้าเชิดขึ้นสองนิ้วอย่างเชื่องช้า คีบตราหยกน้อยที่เปรอะเปื้อนโลหิตอันหนึ่งไว้
พระราชลัญจกรของราชินี
กล่าวกันว่าพระราชลัญจกรของราชินีใหญ่เท่าฝ่ามือ มีเพียงเขารู้ว่าสิ่งนี้ใหญ่เพียงขนมอบเท่านั้น
การซ่อนไว้ตรงช่วงท้องเป็นวิธีที่เลิศล้ำเหลือเกิน ทำให้เขาจำเป็นต้องสนทนากับสตรีนางนี้ ซ้ำยังทำให้มือสกปรกด้วย
ม้านั่งพลิกคว่ำ หมิงเฉิงหมอบอยู่บนพื้น ชักเกร็งหลายครั้งหลายคราว โลหิตแดงฉานไหลซึมใต้ร่างกายอย่างเชื่องช้า
นางครวญครางเสียงแหบพร่าในลำคอ
เขามองดูพระราชลัญจกรนั้น และเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “น้อยครั้งนักที่เจ้าไม่ได้โกหก พระราชลัญจกรอยู่บนร่างกายของเจ้าจริงๆ ด้วย”
นางชักเกร็ง เพียงเกลียดชังว่าเหตุใดชาตินี้ตนเองต้องพบเจอบุรุษผู้นี้
เกรียงไกรจนทำให้นางสิ้นหวัง ยามอ่อนแอที่สุดยังเป็นเทพบนสวรรค์
เขาไม่มองนางสักปราดเดียวด้วยซ้ำ โยนพระราชลัญจกรลงไปในอ่างน้ำอย่างรังเกียจ ครู่ต่อมาจึงหยิบพระราชลัญจกรที่สะอาดสะอ้านออกมา มองดูอ่างน้ำนั้นแล้วเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ใช้กลอุบายชั้นต่ำขนาดนี้มามอมเมาข้า เจ้ายิ่งมีชีวิตยิ่งถดถอยจริงแท้”
จากนั้นเขาก็ฉวยมือหยิบกระดาษที่นางเขียนพระราชโองการมาเช็ดพระราชลัญจกรจนแห้ง ขยำพระราชโองการเปลี่ยนเขตปกครองตนเองให้จิ่งเหิงปัวที่เพิ่งจะเขียนเสร็จแผ่นนั้นจนเป็นก้อนกลมๆ ก่อนจะโยนลงไปในอ่างน้ำ
รอยหมึกค่อยๆ ซึมออกมากลายเป็นก้อนหนึ่ง จากนั้นเขาจึงสาดน้ำในอ่างน้ำทิ้ง ทำลายหมึกนั้นทิ้งเสีย เก็บพระราชลัญจกรไว้แล้วเดินจากไป
ประตูตำหนักเปิดออก สายลมหิมะสาดซัดเข้ามา
เขายืนอยู่ปากประตู รู้สึกเพียงว่าหิมะของคืนนี้หนาวเย็นเช่นเดียวกับคืนนั้น
สายลมหิมะในคืนหนึ่งนั้น ข้าเคยมอบบาดแผลสาหัสให้เจ้าครั้งหนึ่ง
สายลมหิมะในคืนหนึ่งนี้ ข้ามอบบาดแผลสุดขั้วให้นางครั้งหนึ่งเช่นกัน
เจ้ารู้หรือไม่?
เขาเชิดหน้าขึ้น หิมะหนาวนัก หนาวจนคล้ายจะพัดพาชีวิตและความร้อนที่มีอยู่จำกัดภายในร่างกายหายไป
ข้างหลังมีเสียงครวญครางและเสียงร้องไห้ลอยมาแผ่วเบา
เขาก้าวข้ามธรณีประตู แขนเสื้อสีขาวราวหิมะไม่มีคราบโลหิตสักเสี้ยว
“ตามหมอหลวง ถวายการดูแลราชินีให้ดี” เงาคนจากไกลๆ เสียงไม่มีอารมณ์เจืออยู่แม้เพียงน้อย เอ่ยว่า “ก่อนพระนางทรงมีพระอาการดีขึ้น ไม่อนุญาตให้เสด็จออกจากตำหนักบรรทมแม้เพียงก้าวเดียว ไม่อนุญาตให้ผู้ใดก็ตามเข้ามารบกวน จะได้ไม่เสียงดังจนรบกวนการทรงพักผ่อนของราชินี ข้ารับใช้ภายในตำหนักลดเหลือสองคน”
ภายในตำหนักพลันเงียบสงัด จากนั้นก็มีเสียงร้องไห้โฮดังขึ้น
ทว่าเขาจากไปไกลแล้ว
ค่ำคืนสายลมหิมะ ไม่พบเจอผู้หวนคืน
…
เสียงฟิ้วเสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา เงาคนสองสายทอดลงกลางลานน้อยเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง
พอร่วงลงพื้นเหยียลี่ว์ฉีก็พลันโซเซ จิ่งเหิงปัวรีบเข้าประคองไว้
“ที่นี่คล้ายเป็นที่พักของของคุณชายสาม ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาถูกข้าสังหารแล้ว พวกเขาแบกเขามาทิศทางนี้” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ย
จิ่งเหิงปัวแสดงความยกย่องเขาที่แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางการล้อมสังหารรุนแรงขนาดนั้น แต่ก็ยังรู้จักสังเกตทิศทางที่คนตายถูกหามไปออกมาจากใจจริง ซ้ำยังตัดสินใจว่าต้องเรียนรู้ให้ได้
“พี่สาวเจ้าเอ่ยว่าที่นี่หนีได้”
เหยียลี่ว์ฉีที่เดิมทีมีสีหน้าไม่เห็นด้วยเดินตามนางไปโดยไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว
ลานน้อยเงียบสงบเหลือเกิน เงียบสงบเป็นพิเศษ ซ้ำยังหนาวเย็นอย่างยิ่ง แม้ตอนนี้เดิมทีหนาวเย็นอยู่แล้วด้วยเพราะค่ำคืนสายลมหิมะ แต่นางยังรู้สึกว่าอุณหภูมิของที่นี่คล้ายต่ำกว่าข้างนอก
ลานน้อยมีชั้นในชั้นนอกรวมสองชั้น ชั้นข้างนอกนั่นมีคนรับใช้อยู่ด้วย เหยียลี่ว์ฉีเพียงสะบัดแขนเสื้อ คนเหล่านี้พลันสิ้นชีพแล้ว
จิ่งเหิงปัวไม่ได้ขัดขวาง นางรู้ว่าคนเหล่านี้อาจเป็นประชาชนคนบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ฆ่าไม่ได้
เรื่องหลายเรื่องไม่มีเส้นแบ่งเขตระหว่างความถูกต้องกับความมืดมิด จำเป็นต้องทอดทิ้งหลักการเพื่อสถานการณ์ส่วนรวม
พอก้าวเข้าลานน้อย นางก็ร้อง “เอ๊ะ” ออกมา
สายลมหิมะหายไปแล้ว กลางลานน้อยคล้ายเป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง ขวางกั้นสายลมหิมะไว้ข้างนอก เหลือเพียงขอบเขตความว่างเปล่า
ความรู้สึกเหมือนเขตอาคมในนิยายแฟนตาซี
ไม่รู้ด้วยว่าในเมื่อเจ้าของลานบ้านนี้ตายไปแล้ว เขตอาคมแบบนี้ยังอยู่ได้อย่างไร
จิ่งเหิงปัวซึมซับบรรยากาศแบบนี้ ในใจมีความรู้สึกประหลาดคล้ายว่าเคยรู้จัก คล้ายว่าตำหนักบรรทมของกงอิ้นตอนนั้นก็เคยให้ความรู้สึกแบบนี้กับนางเช่นกัน
ไม่ใช่ แตกต่างกัน
ตำหนักบรรทมของกงอิ้นมีกำแพงล่องหนขวางไว้ ไม่มีใครผ่านเข้าไปได้
ที่นี่ขวางไว้แค่สายลมหิมะ คนเข้าออกได้ตามใจชอบ
ภายในลานบ้านไม่มีหิมะแต่ยังคงหนาวเย็นเช่นเดิม นางประคองเหยียลี่ว์ฉีเข้าไป ตามหาห้องหนังสือที่เล่ากันว่ามีประตูลับตามการชี้แนะของเหยียลี่ว์สวินหรูจนเจอ
พอเปิดประตูห้องหนังสือออก นางพลันถอยหลังก้าวหนึ่ง
หนาวจัง
วุ่นวายจัง
ภายในห้องตรงหน้ามีหิมะเหินว่อนลอยวนเวียน เกล็ดหิมะพัดพลิ้ว
แท้จริงแล้วหิมะข้างนอกไม่ใช่ถูกขวางกั้น แต่ถูกดูดเข้าไปภายในห้องทั้งหมด
แม้เกล็ดหิมะปลิวว่อนแต่ไม่มีเสียงเลย เฉกเช่นสวินหรูเอ่ยไว้ เงียบสงัดเหลือเกิน ความรู้สึกประหนึ่งความว่างเปล่า
นางมองอยู่สักพัก เพิ่งมองเห็นว่าตรงกลางเกล็ดหิมะมีโลงน้ำแข็ง
นึกไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีโลงศพตั้งอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่นอนอยู่คงเป็นคุณชายสามแน่นอน เรื่องที่แปลกก็คือเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้ล่วงหน้าว่าตนเองจะถูกฆ่า ซ้ำยังพกโลงศพติดตัวมาด้วย
ห้องหนังสือไม่กว้างใหญ่ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประตูลับอยู่ฝั่งตรงข้าม โลงศพวางขวางอยู่ตรงกลาง หากอยากไปถึงประตูลับจำเป็นต้องผ่านหน้าโลงศพ
แม้เป็นคนตาย แต่จิ่งเหิงปัวก็ไม่ลืมคำเตือนของสวินหรู บางทีศัตรูมากขนาดนั้นก่อนหน้านี้ไม่แน่ว่าจะเป็นศัตรู คนนี้ถึงเป็นตัวอันตรายที่สุด
แต่จะอ้อมผ่านที่นี่ไปไม่ได้ ข้างนอกมีเสียงดังขึ้นแล้ว ฝีเท้าสับสนปนเปกัน กองทหารประจำการพุ่งเข้ามาภายในจวนแล้ว
ส่วนลมหายใจของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างกายค่อยๆ อ่อนลงเล็กน้อย จิ่งเหิงปัวฟังเสียงลมหายใจยุ่งเหยิงของเขา รู้ว่าสภาพของเขาต้องแย่กว่าสภาพที่เขาแสดงออกมาแน่นอน
ก่อนหน้านี้เขาดึงดูดความสนใจของคนมากขนาดนั้นเพื่อช่วยนางฝ่าวงล้อม บาดแผลคงไม่ได้มีแค่ที่นางมองเห็นแน่นอน
กลิ่นคาวโลหิตค่อยๆ เข้มข้นแต่มองไม่เห็นบาดแผล ตอนนี้นางเพิ่งรู้สาเหตุที่เหยียลี่ว์ฉีถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมเพียงชุดดำ
“ไป” นางประคองเหยียลี่ว์ฉีก้าวเดิน เฟยเฟยสำรวจเส้นทางอยู่ข้างหน้า
การสำรวจเส้นทางของเฟยเฟยเท่ากับไม่ได้สำรวจ มันลื่นไถลดัง ฟึ่บ ผ่านพ้นไปแล้ว คล้ายหวาดกลัวโลงศพนั่นยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวเดินไปข้างโลงศพด้วยตนเอง หวังให้เหยียลี่ว์ฉีเดินอยู่ข้างนอก แต่เหยียลี่ว์ฉีขยับแขนครั้งหนึ่ง หันนางมายังข้างนอกเฉกเช่นหันนางหลบหลีกกระบี่มรณะก่อนหน้านี้
“ข้าจะดูว่าเจ้าผู้นี้ตายสนิทแล้วหรือยัง” เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
ฝาโลงศพเปิดอยู่ ภายในมีเกล็ดหิมะลอยวนเวียน หิมะน้ำแข็งเยือกแข็ง จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้า มองเห็นเด็กหนุ่มผอมแห้งได้รำไร ริมฝีปากบางขาวซีด แม้หลับตาอยู่ยังคงมองเห็นสีหน้าหยิ่งผยอง
“เจ้าทำร้ายเขาที่ใด?” นางกระซิบถาม รู้สึกว่าทำไมคนคนนี้มองแล้วตายสนิท การเอ่ยวาจาของสวินหรูพิลึกพิลั่นเกินไปหน่อย
“ทะลุหัวใจ” เหยียลี่ว์ฉีตอบ
เสียงฝีเท้าข้างนอกใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้น ทั้งสองคนไม่มีกะจิตกะใจจะมองมากมาย เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ปรากฏศพกระตุก
จิ่งเหิงปัวแทบจะถอนหายใจยืดยาว หันหน้าหากำแพงค้นหาประตูลับตามการชี้แนะของเหยียลี่ว์สวินหรู แต่ผ่านไปสักพักยังหาไม่เจอ สวินหรูเอ่ยว่าหลังจากสาดน้ำบนกำแพงแล้วจะปรากฏเครื่องหมาย แต่หลังจากนางคว้าน้ำในอ่างน้ำสาดบนกำแพงแล้ว กำแพงยังคงเป็นกำแพง
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้น บางคนกำลังร้องว่า “ที่นี่ดูผิดปกติ ค้นหาด้วย!”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกร้อนใจ…ตอนนี้ข้างนอกไม่มีสิ่งของอะไรขวางไว้ได้ ข้างหลังมีพลไล่ล่าข้างหน้ามีกำแพง ข้างกายยังมีผีดิบ คราวนี้ถ้าถูกขังอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่าตายเพราะสวินหรูโดยแท้
นิ้วมือนางคลำหาบนกำแพงทีละนิ้ว เครื่องหมายอยู่ไหนกันนะ? สาดน้ำลงไปไม่ได้ผลแล้วของเหลวอย่างอื่นใช้ได้ไหม? ให้เหยียลี่ว์ฉีปัสสาวะใส่ได้ไหมนะ?
“คนรับใช้ของที่นี่ถูกสังหารด้วย! ข้างในอาจจะมีคน!” เสียงข้างนอกใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้น
เกล็ดหิมะเกล็ดหนึ่งปะทะใบหน้านาง พาให้นางเหน็บหนาวสั่นระริก ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบกะทันหัน
เกล็ดหิมะ!
ขณะเดียวกันเหยียลี่ว์ฉีเอ่ยด้วยว่า “เกล็ดหิมะที่นี่มากมายยิ่งนัก”
สองคนมองหน้ากัน มองเห็นแสงสว่างแห่งสติปัญญากลางดวงตาของอีกฝ่าย
จิ่งเหิงปัวเข้าใจในพริบตา
อุณหภูมิ!
สวินหรูเอ่ยว่าใช้น้ำสาดให้เครื่องหมายบนกำแพงโผล่ออกมาได้คือภายใต้อุณหภูมิปกติ แต่ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ซึ่งคุณชายสามรักษาบาดแผลปกป้องวิญญาณ ซึมซับสายลมหิมะ อุณหภูมิลดลง น้ำน่าจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว
ในเมื่อน้ำสาดให้เครื่องหมายโผล่ออกมาได้ มันคือการใช้ประโยชน์จากอุณหภูมินั่นเอง เป็นอุณหภูมิที่ต่ำกว่าอุณหภูมิปกติ
สิ่งที่เย็นกว่าน้ำคืออะไร?
น้ำแข็ง
จิ่งเหิงปัวพุ่งไปข้างหน้าต่างหวังกอบน้ำแข็ง แต่สายลมหิมะของคืนนี้ถูกขวางไว้นอกลานน้อย รอบด้านไม่มีน้ำแข็งด้วยซ้ำ
เหยียลี่ว์ฉีไอโขลกออกมาครั้งหนึ่ง แววตาหันเห จิ่งเหิงปัวก็มองเห็นเช่นกัน น้ำแข็งยังพอมีอยู่บ้าง
อยู่ภายในโลงศพที่มีไอควันลอยวนเวียนนั่น
เอื้อมมือเข้าไปควานน้ำแข็งจากโลงศพอันตรายโลงนี้เหรอ?
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าระดับความยากครั้งนี้น่าจะไม่น้อยกว่าเอื้อมมือไปล้วงวัตถุในปากผีดิบอย่างไร้เดียงสาแล้ว