เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 20 - 1 คนที่เจ้าคลำคือข้า
หนามน้ำแข็งแทงทะลุฝ่ามือเขาดังฉึก โลหิตสาดกระเซ็น ทว่ายังไม่หยุดยั้ง พุ่งคำรามตรงไปยังหน้าอกเหยียลี่ว์ฉี!
จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง
คุณชายสามไอโขลกอย่างอ่อนเพลียพลางค่อยๆ นั่งลง เขาหลับตาลงเลยด้วยซ้ำ คล้ายพอปล่อยกระบวนท่านี้แล้วเหนื่อยล้าอ่อนแรง ซ้ำยังคล้ายรู้สึกว่าพอปล่อยกระบวนท่านี้แล้วคงหมดเรื่องหมดราว
ด้วยเพราะกลุ่มก้อนเกล็ดหิมะผลึกน้ำแข็งที่ปลิวว่อนหลงเหลืออยู่กำลังเยือกแข็งเป็นหนามอย่างต่อเนื่อง แทงครั้งเดียวไม่เข้ายังแทงต่อไป ล้อมศัตรูทุกทิศทาง หมุนเวียนไร้สิ้นสุด ตราบจนแทงทะลุศัตรูเป็นรูพรุน
ทว่าหนามน้ำแข็งพลันหยุดนิ่ง
หยุดลงห่างจากหน้าอกเหยียลี่ว์ฉีเพียงหนึ่งนิ้วมือ
จากนั้นร่วงหล่น
สิ่งที่ร่วงหล่นไม่เพียงหนามน้ำแข็ง หิมะน้ำแข็งที่กำลังเยือกแข็งเป็นหนามอย่างต่อเนื่องพร้อมกันรอบด้านพลันหยุดเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ทยอยหวนคืนสู่เกล็ดหิมะและผลึกน้ำแข็ง แหลกละเอียดร่วงหล่นเกรียวกราว
แหลกละเอียดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ซ้ำยังสะเปะสะปะยิ่งนัก ความรู้สึกนั้นประหนึ่งการดำรงอยู่ชั้นต่ำพบเจอการดำรงอยู่ชั้นสูง พ่ายแพ้ราบคาบโดยพลัน
คุณชายสามลืมตาชะงักงัน แม้แต่จิ่งเหิงปัวกับเหยียลี่ว์ฉียังตะลึงลานชั่วขณะ
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
จิ่งเหิงปัวมองดูสีหน้าเฉยชากลางสายลมหิมะของคุณชายสาม เขาคนนี้ยังเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อย แม้กลางหน้าผากจะเย็นชา แต่สายตายังคงแจ่มกระจ่าง บริสุทธิ์เหลือเกินคล้ายไม่แปดเปื้อนด้วยเรื่องทางโลกสักเรื่อง ทว่ากระด้างเหลือเกินคล้ายไม่สนใจของนอกกายสักอย่าง
จานกลมตรงหน้าเหลือช่องว่างเพียงเล็กน้อย
ใกล้จะมองไม่เห็นเงาร่างเหยียลี่ว์ฉี
สมองนางพลันเกิดความคิดกะพริบวูบ
จากนั้นนางเปล่งเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง
“สวินหรู!” นางตะโกนว่า “เจ้าจะพุ่งออกไปเช่นนี้ไม่ได้! เจ้าจะถูกหนีบตายนะ!”
บุรุษสองคนในห้องตื่นตกใจ เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
เหยียลี่ว์ฉีหันกายพุ่งมาโดยพลัน
คุณชายสามไม่ได้ไล่ตามเขา ทว่าประคองร่างเฉียดมายังข้างกำแพง แขนเสื้อตบลงบนกำแพงครั้งหนึ่ง
จานกลมเริ่มหมุนสู่ภายนอก เปิดออก!
จิ่งเหิงปัวดีใจยกใหญ่ สองมือออกเรี่ยวแรงสะบัดเพียงครั้ง!
เหยียลี่ว์ฉีที่กำลังพุ่งเข้ามาทางจานกลมถูกนางลากเข้ามาทั้งอย่างนั้น ข้ามผ่านปากอุโมงค์ดังฟิ้ว!
คุณชายสามที่พุ่งเข้ามาคว้าได้เพียงชายผ้าผืนหนึ่งของเขา จากนั้นจานกลมก็เริ่มปิดสนิทอีกครั้ง ใบหน้างดงามเจือรอยยิ้มกะพริบวูบผ่านปากอุโมงค์มืดมิด เสียงของจิ่งเหิงปัวฟังแล้วอวดเก่งหยิ่งทระนงขนาดนั้นเสมอ กล่าวว่า “ขอบคุณที่เปิดประตู บ๊ายบาย จุ๊บๆ!”
คุณชายสามจ้องมองจานกลมที่ค่อยๆ ปิดสนิท คล้ายนึกไม่ถึงว่ายังมีสตรีเจ้าเล่ห์ขนาดนี้อยู่บนโลกนี้ด้วย
พริบตาสุดท้ายขณะจานกลมใกล้ปิดสนิท ใบหน้าของจิ่งเหิงปัวกะพริบเข้ามาอีกครั้ง เคาะจานกลมด้วยความหวังดีอย่างยิ่ง ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “โอ้ เกือบลืมบอกเจ้าเลย สวินหรูไม่อยู่ที่นี่จ้า!”
จานกลมปิดสนิท
คุณชายสามไม่ได้คิดจะเปิดออกอีก ยามเปิดออกอีกครั้ง สองคนนี้น่าจะหนีไปแล้ว
เขาจ้องมองจานกลมนั้นด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ พอพลันก้มหน้ามองบนพื้น เห็นหิมะน้ำแข็งที่แหลกสลายร่วงหล่น ซ้ำยังมีโลหิตแดงฉานที่กระเซ็นจากร่างเหยียลี่ว์ฉี
บนใบหน้าของเขาค่อยๆ ปรากฏสีหน้าประหลาด เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เหตุใดจึง…”
พลั่ก! ประตูถูกผลักออก ทหารกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา
เมื่อครู่คุณชายสามต่อสู้กับเหยียลี่ว์ฉี ไร้เรี่ยวแรงจะจัดการสกัดกั้นปากประตู
“คนเล่า! คนเล่า!” คนกลุ่มนั้นตะโกนเสียงลั่นว่า “พวกเราคือทหารจินหลิน เข้ามาปกป้องพวกเจ้า รีบเร่ง…”
เสียง พลั่ก ดังขึ้น สายลมเจือหิมะหอบหนึ่งคำรามผันผ่าน เงาคนกลุ่มนั้นถูกม้วนออกไปดังฟิ้ว กระแทกลงกลางลานกว้างดังตึกตักๆ ร่วงพื้นแข็งกร้าวดังก้องดุจมนุษย์น้ำแข็งแตกร้าว พอมองอีกครั้งเห็นทุกคนมีสีหน้าเขียวคล้ำ ถูกเยือกแข็งจนสิ้นลมแล้ว
ภายในห้อง คุณชายสามกำลังใช้หิมะน้ำแข็งเช็ดมือ สบถออกมาอย่างเย็นชา
“สกปรก”
เขาเช็ดมือจนสะอาด มองดูกำแพงที่ฟื้นคืนสภาพเดิมแล้ว พลันส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “พวกโง่เขลา สิ้นชีพคนเดียวด้วยเพราะหวังดีต่อพวกเจ้า ภายหลังจะมีคนสิ้นชีพมากกว่านี้”
ทว่าเขาคล้ายไม่ค่อยใส่ใจต่อให้มีคนสิ้นชีพมากกว่านี้ เขาค่อยๆ นั่งลงข้างโลงศพที่พังทลาย คว้าเอกสารบนโต๊ะมาลูบคลำรอยหมึกหนาข้นบนเอกสารนั้น
จุ่มหมึกเข้มเหลือเกิน จนทำให้ทุกอักษรนูนขึ้นเล็กน้อย ไม่ต้องมอง แม้ลูบคลำยังอ่านข้อความได้
เขามองเอกสารนั้นอย่างเหม่อลอย จากนั้นเอียงเอกสารขึ้นส่องแสง อักษรหมึกหนาเหล่านั้นจึงผุดเผยร่องรอยถูกนิ้วมือลูบคลำ
เขายื่นอักษรหมึกนั้นเข้าใกล้ข้างริมฝีปาก เลียอย่างแผ่วเบา
…
จิ่งเหิงปัวประคองเหยียลี่ว์ฉีเดินผ่านกลางทางลับ
ทางลับคับแคบอย่างยิ่งจนสองคนได้แต่หันข้างเดิน ซ้ำยังไม่ใช่อุโมงค์สู่ข้างล่าง รู้สึกว่ายังอยู่บนพื้นดิน จิ่งเหิงปัวเดาว่าที่นี่อาจจะเป็นซอกกำแพง เป็นซอกกำแพงยาวเป็นพิเศษอะไรแบบนั้น ทะลุผ่านกลางบ้านเรือนผืนใหญ่จวบจนออกจากคฤหาสน์
จวนพักอาศัย ณ เผ่าหวงจินของตระกูลเหยียลี่ว์ที่ใช้สอยน้อยครั้งหลังหนึ่งยังออกแบบประหลาดเช่นนี้ เห็นได้ว่ารายละเอียดเหนือชั้น
จิ่งเหิงปัวเหนื่อยมากแล้ว นางหายใจหอบฮืดฮาด กระเพาะยังเปล่งเสียงโครกครากอยู่บ่อยครั้ง ฟังแล้วดังกังวานท่ามกลางความมืดมิดเงียบสงัด
เหยียลี่ว์ฉีควานค้นในอ้อมแขน ครู่ต่อมาล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจะยื่นให้นาง จากนั้นชักมือกลับไปอีกครั้ง ได้ยินเสียงเศร้าสร้อยเล็กน้อย เอ่ยว่า “สกปรกแล้ว…”
จิ่งเหิงปัวได้กลิ่นหอมมันเทศ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยสอดมันเทศที่แย่งมาไว้ในอ้อมแขน เขาสอดอาหารไว้ตรงหน้าอกเพื่อเก็บไว้ให้นางเหรอ?
ท่ามกลางความมืดมิดมีทั้งกลิ่นหอมมันเทศและกลิ่นคาวเลือด ในใจของนางตึงเครียดเล็กน้อย ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เพิ่งจะพันแผลอย่างลวกๆ ให้เขา แม้เขากำลังพยายามโคจรลมปราณแต่ลมหายใจยังคงไม่สงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บไม่น้อย
เสียงเหยียลี่ว์ฉียังพูดด้วยเสียงเกียจคร้านดูสบายใจปานนั้น เอ่ยว่า “ไม่เลว มีกำลังวังชา”
จิ่งเหิงปัวกลอกตาท่ามกลางความมืดมิด ในใจสงสัยไม่หาย อดจะถามไม่ได้ว่า “เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้น”
อีกเดี๋ยวทักษะสังหารแสนยอดเยี่ยมของคุณชายสามนั่นจะเกิดผลแล้ว แต่ดันสิ้นท่ากะทันหัน คิดอย่างไรก็รู้สึกว่าแปลกประหลาด
เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้เอ่ยวาจา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย เอ่ยว่า “ความโชคดีในความโชคร้ายกระมัง?”
“หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าอยากฟัง?” เขาตอบอย่างแปลกประหลาด
ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบอีกครั้ง จากนั้นกล่าวว่า “เหตุใดจึงไม่อยากฟัง?”
“ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าไม่สบายใจเท่านั้น” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้ายังจำยามแรกที่ต้าเยียน ที่เจ้ากับกงอิ้นร่วงหน้าผาถูกข้าจับไว้คราวนั้นได้หรือไม่? ยามนั้นข้าตกหลุมพรางของกงอิ้นจนได้รับบาดเจ็บ”
จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงหนึ่งในจมูก ในใจเกิดปวดร้าวอยู่เล็กน้อย…โชคชะตาในโลกมนุษย์ผลักดันมิตรกับศัตรูพลิกผัน บางครั้งก็มหัศจรรย์เหลือเกินเสียจริง
คนแค้นกันสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ คนรักกันใช้กระบี่ตัดไมตรี
นางหลับตาลงไม่อยากคิดอีก นางต้องการสภาพจิตใจอันมั่นคงมารับมือภัยอันตราย ไม่ใช่เวลาจะมาคิดนู่นคิดนี่
“ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บด้วยเพราะเขา” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าจึงไม่ค่อยเหมาะกับสภาพแวดล้อมหนาวเหน็บเกินควร โดยเฉพาะไม่อาจหลั่งโลหิตได้รับบาดเจ็บท่ามกลางสภาพแวดล้อมหนาวเหน็บ บาดแผลโลหิตจะเยือกแข็งดุจน้ำแข็ง จำเป็นต้องเคลื่อนวรยุทธ์ขับไล่ความเย็น”
จิ่งเหิงปัวคิดว่าเมื่อครู่เขาได้รับบาดเจ็บในค่ำคืนหนาวเย็นไม่ใช่เหรอ? แล้วเลือด…
“โลหิตที่เปลี่ยนไปหลังจากที่เจ้าได้รับบาดเจ็บคล้ายจะทำให้ทักษะสังหารของนิกายสวรรค์จิ่วฉงสิ้นท่า…”
สองคนไม่เอ่ยวาจาแล้ว จิ่งเหิงปัวเชิดสายตามองดูความมืดมิดทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดข้างหน้า รู้สึกแค่ว่าคล้ายใกล้จะเหยียบย่ำเข้าสู่ความลับเรื่องหนึ่ง
“อย่าคิดมากเกินไป” ทว่าเหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “กงอิ้นไม่คล้ายคนของนิกายสวรรค์จิ่วฉง”
“ด้วยเพราะเหตุใด?”
“สำนักแห่งนี้สันโดษลึกลับยิ่งนัก ไม่ค่อยมีคนนอกรู้จัก หากมิใช่ด้วยเพราะลูกหลานตระกูลเหยียลี่ว์เป็นผู้ถูกเลือก ข้าคงไม่รู้” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “สำนักแห่งนี้เลือกลูกศิษย์ด้วยเงื่อนไขเข้มงวดนัก นอกจากนี้ยังต้องมาจากตระกูลเก่าแก่ร้อยปี ไม่ข้องเกี่ยวกับโลกมนุษย์ ไม่ออกจากนิกายสวรรค์และปรนนิบัติเจ้านิกายสวรรค์จิ่วฉงชั่วชีวิต เล่ากันว่าวิธีจัดการผู้ทรยศน่ากลัวนัก นับแต่ก่อตั้งนิกายไม่มีผู้ใดออกจากนิกายสวรรค์ ซ้ำยังเล่ากันว่าตัววรยุทธ์เองมีข้อจำกัด แท้จริงแล้วออกจากนิกายสวรรค์ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉะนั้น หากกงอิ้นเป็นคนของนิกายสวรรค์จิ่วฉง เขาเรืองนามเกรียงไกรเช่นนี้ คนของนิกายสวรรค์จะไม่รู้ได้อย่างไร? จะไม่ตามมาแก้แค้นเขาได้อย่างไร? ส่วนเขาข้องเกี่ยวโลกมนุษย์ จะไม่ถูกวรยุทธ์ลอบทำร้ายได้อย่างไร?”
“ไม่ได้หรือ…” จิ่งเหิงปัวพึมพำว่า “ปัญญาหิมะของเขาท่าทางผิดปกติยิ่งนัก…”
“แต่ไหนแต่ไรนิกายสวรรค์เลิศล้ำทั่วหล้า หากวรยุทธ์เกิดปัญหาจะเป็นปัญหาใหญ่ อยู่รอดนานหลายปีขนาดนี้ไม่ได้เป็นแน่”
ในใจจิ่งเหิงปัวไม่รู้ว่าผิดหวังหรือยินดี ถอนหายใจยืดยาวครู่ใหญ่
“วรยุทธ์สายหิมะน้ำแข็งในลุ่มน้ำต้าฮวงมีมากมายนัก ด้วยเพราะวรยุทธ์หนาวเย็นเป็นประโยชน์ต่อบึงโคลนที่สุด ฉะนั้นอาจเป็นความบังเอิญด้วย”
จิ่งเหิงปัวได้แต่คิดแบบนี้เช่นกัน เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างกายส่งเสียงแผ่วเบา ลมหายใจถี่กระชั้น นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจสืบเสาะ นางเอื้อมมือหวังวัดอุณหภูมิร่างกายเขา ทว่ายามนี้เขากำลังอมยิ้มเอียงศีรษะคล้ายอยากเอ่ยกระไร ปลายนิ้วของนางกดบนที่ซึ่งอ่อนนุ่มละมุนแห่งหนึ่งอย่างแผ่วเบา
นางชะงัก เขาคล้ายแข็งทื่อเช่นกัน จากนั้นนางรู้สึกขึ้นมาว่าใต้นิ้วคือริมฝีปากของเขา คิดรีบหลีกถอย ทว่าเขาเชิดนิ้วมือหยุดยั้งนิ้วมือของนางไว้ปานอสนีบาต