เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 21 - 3 ปลิดวิญญาณ
ตกลงเรื่องนี้กันได้แล้ว เซวียนหยวนเหว่ยอารมณ์ดียิ่งนัก มองสาวงามที่นั่งตัวตรงจัดอาภรณ์นางนั้นข้างกายจินจ้าวหลงปราดหนึ่ง ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ปัวจีปรนนิบัติให้ท่านพอใจได้หรือไม่”
“พอใจนัก!” จินจ้าวหลงหัวเราะลั่น โอบเอวของปัวจีไว้ เอ่ยว่า “เพริศพรายทว่าไม่ธรรมดา เพริศแพร้วทว่าไม่ยั่วยวน เจ้าคงหาสาวงามเลิศล้ำเพียงนี้มาได้ยากนัก!”
“ผู้นำเผ่าไม่รู้หรือว่าสาวงามเช่นนี้เป็นลักษณะสาวงามที่ได้รับความนิยมล่าสุดของตี้เกอ…” เซวียนหยวนเหว่ยอมยิ้มเข้าใกล้จินจ้าวหลง เอ่ยว่า “ท่านรู้สินะ…ราชินีองค์ก่อนนางนั้น…อืม จิ่งเหิงปัว…ได้ยินว่านางเป็นสาวงามที่มีท่วงท่าเหนือสามัญ…ยามนี้ขุนนางชั้นสูงของตี้เกอชื่นชอบตามหาหญิงสาวคล้ายนางเป็นการส่วนตัว…ปัวจีนางนี้ถูกเลือกสรรตามรูปโฉมท่วงท่าของราชินีจิ่งนั่นเอง เรียนรู้ท่วงท่าและความสูงศักดิ์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของนางโดยเฉพาะ…ท่านครอบครองปัวจี ก็ดูดั่งคล้ายโถมทับราชินีไว้ใต้ร่างเลยล่ะ ฮ่าๆ…”
น้ำเสียงลามกกับสีหน้าคลุมเครือกระตุ้นความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ได้ อย่างดีที่สุด แววตาของจินจ้าวหลงเปล่งประกาย เอ่ยว่า “โอ้? มีเรื่องนี้ด้วยหรือ? มิน่าล่ะรู้สึกว่าท่วงท่าของปัวจีแตกต่างจากผู้อื่น แลดูมีความสูงส่งที่สตรีธรรมดาไม่อาจมีได้หลายส่วน…”
“ข้าน้อยใช้เงินทองไหว้วานมามาที่เชี่ยวชาญการอบรมสาวงามที่สุดในตี้เกอให้ฝึกฝนปัวจีตั้งหลายเดือนเชียวล่ะ จะต้องสอนให้นางท่วงท่าไม่เป็นรอง งดงามไม่ธรรมดา” เซวียนหยวนเหว่ยเอ่ยอย่างลำพองใจว่า “มามานางนั้นเคยเห็นราชินีจิ่ง ทว่าตามวาจาของนางแล้ว สิ่งที่ปัวจีเรียนรู้เพียงแสดงท่วงท่าของราชินีจิ่งได้สองสามส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น ส่วนท่านพ่อเคยเห็นปัวจี เอ่ยด้วยว่าเมื่อเทียบกับราชินีตัวจริงแล้วดุจหิ่งห้อยเทียบจันทร์กระจ่าง…ข้าไม่เชื่อหรอก ปัวจีมีท่วงท่าเหนือชั้นเพียงนี้ บนโลกนี้ยังมีสตรีนางใดจะงดงามกว่านางหลายเท่าได้?”
“ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน” จินจ้าวหลงหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “ปัวจีงดงามเพียงนี้ ข้าเองก็ได้เห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต! เพียงแต่…” แววตาของเขาฝันใฝ่ ปากเปล่งเสียงจิ๊จ๊ะ เอ่ยว่า “ชื่อเสียงงดงามของราชินีจิ่งนางนี้เล่าสืบต่อกันมานานแล้ว ไม่รู้ว่างดงามเพียงใดกันแน่ ได้ยินว่าราชครูกับนาง…” เขาหัวเราะอย่างลามก
“เรื่องนี้ไม่ยาก” เซวียนหยวนเหว่ยยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “รอให้พวกเราร่วมมือยึดครองหุบเขาเทียนฮุย ซุกซ่อนกองทัพแข็งแกร่งเกรียงไกรไว้ในหุบเขา ยึดครองแว่นแคว้นงดงามแห่งนี้ สู้รบจนถึงเฮยสุ่ย จับจิ่งเหิงปัวมามอบให้ท่านย่อมได้ สตรีสิ้นอำนาจนางหนึ่ง มิใช่อยากทำอย่างไรย่อมได้ทำอย่างนั้นหรือ…” เขากระทบไหล่ของจินจ้าวหลงอย่างเข้าใจชัดแจ้ง เอ่ยว่า “ท่านจะได้ลิ้มลองสตรีที่กงอิ้นชื่นชอบว่ารสชาติเป็น อย่างไรด้วย…”
สองคนหัวเราะเสียงดังลั่นให้แก่กัน จินจ้าวหลงยิ้มแย้มหน้าบาน คล้ายได้โถมทับสตรีที่ทั้งเรืองนามทั้งสูงส่งนางนั้นไว้ใต้ร่างแล้ว…
“สุราเลิศล้ำอาหารเลิศรส เอ่ยวาจาถูกอัธยาศัย ควรได้ระบำงดงามเพิ่มอรรถรส ระบำของปัวจียอดเยี่ยมเช่นกัน วันนี้จงให้นางได้แสดงระบำสักเพลง” จินจ้าวหลงโบกมือด้วยความสนุกสนานยิ่งนัก ปัวจียิ้มแย้มอย่างหยิ่งผยอง ลุกขึ้นอย่างอ่อนช้อย
“นางร่ายระบำผิดเพี้ยนใดได้? ระบำลานกว้าง? ระบำหญิงชรา? ระบำชักเกร็ง?” เสียงตะโกนออดอ้อนเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยพลัน ประตูถูกผลักออกดังพลั่กเสียงหนึ่ง
จินจ้าวหลงกับเซวียนหยวนเหว่ยชะงักงัน พอเชิดสายตามองก็เห็นเงาร่างที่อ่อนหวานแช่มช้อยยืนอยู่ปากประตูห้องโถงตั้งแต่ยามใดไม่รู้ จินจ้าวหลงกำลังจะตะโกนเรียกองครักษ์เข้ามาลากสตรีบ้าคลั่งที่กล้าคำรามเบื้องหน้าตนเองนางนี้ออกไป พอมองเรือนร่างนั้นจนชัดเจนเพียงปราดเดียว ก็อดที่จะชะงักไม่ได้
ประตูถูกผลักออก ทิวทัศน์สายลมหิมะดุจภาพสลักนูน ผุดเผยเรือนร่างสตรี ตั้งแต่ไหล่จนถึงเอว ตั้งแต่เอวจนถึงขา ทุกส่วนคือทรวดทรงวิจิตรที่วาจายากจะพรรณนาได้ ส่วนล้นทะลักโอ้อวดเพียงนี้ ทว่าส่วนเพรียวบางกระชับเพียงนี้ จิตรกรเอกยังยากจะใช้เพียงพู่กันพรรณนาความโค้งเว้าพอเหมาะพอควรเช่นนั้น
เพียงเค้าโครงหนึ่งเท่านั้น นางทำให้เหยาจีที่ประคองถาดรองอยู่ข้างหลังกับปัวจีที่อยู่ข้างกายจินจ้าวหลงหม่นหมองไร้สีสัน
ความอัศจรรย์ของเรือนร่างกะพริบวูบดั่งแสงดารา เพียงพริบตาเสียดแทงเข้าสู่นัยน์ตาของสองบุรุษ ไม่รอให้พวกเขารู้สึกตัวขึ้นมา จิ่งเหิงปัวกางแขนสองข้างแล้ว
สองแขนเพรียวบางกางออกแช่มช้อยดุจหงส์สะบัดขน
หันกายร่ายเวียนวนรวดเร็วดุจแสงอสนีบาตเฉียดผ่าน นางก็ร่ายรำสู่กลางห้องโถงแล้ว!
กระโปรงเต้นรำผ้าดิ้นทองแดงเข้มปักหงส์พลิ้วสยายชั่วครู่นั้น ประดุจวิหคสวรรค์เฉิดฉาย ร่อนร่ายโชติช่วง ท่วมท้นด้วยแสงสายัณห์แสงรุ้งเจ็ดสีสัน!
สำแดงฤทธิ์ข่มขวัญ สว่างไสวจนดวงเนตรของบุรุษพร่าเลือน
“บรรเลงดนตรี!” ฮูหยินเหยาฉวยโอกาสตะโกนออดอ้อนเสียงหนึ่ง นักดนตรีที่เตรียมพร้อมแล้วรีบร้อนบรรเลง “หงส์ร่ายเก้าหวน”
ระบำนี้เป็นหนึ่งในระบำที่มีชื่อเสียงที่สุดของต้าฮวง ดนตรีส่วนใหญ่เป็นจังหวะร้อนแรง นางระบำสวมอาภรณ์ฉูดฉาดลายหงส์ เหาะเหินเวียนวนอย่างรวดเร็ว ดุจหงส์ร่อนร่ายล้อมทิวากร เจิดจ้าลานตาไร้สิ้นสุด
ตอนแรกจิ่งเหิงปัวไม่สนใจระบำของต้าฮวง แต่การเต้นรำบางอย่างของเมื่อก่อนสะเทือนจิตใจเกินไป ซ้ำยังแปลกแยกแตกต่างเกินไป นางเคยเต้นรำสะท้านจิตใจ แต่ตอนนี้เต้นรำซุกซ่อนความคิดสังหาร นางไม่อยากเต้นระบำพลิกโลกนั่นอีกแล้ว ปล่อยให้ระบำของต้าฮวงจัดการชาวต้าฮวงเถอะ
จิ่งเหิงปัวเป็นนักเต้นโดยกำเนิด เรียนระบำอะไรก็ง่ายดายไม่เปลืองแรง ตอนนั้นนางเคยเห็นระบำนี้ที่ตี้เกอสองครั้งแล้วเต้นได้เลย พอตนเองเต้นบ้างยังเพิ่มท่าเต้นพิเศษบางอย่างจากสมัยใหม่ ยั่วยวนอัศจรรย์มากยิ่งขึ้น ชั่วครู่นั้นทั้งห้องโถงคือเงาร่างนางเวียนว่ายร่ายรำ เหาะเหินฉวัดเฉวียน ลวดลายเรืองรอง อีกทั้งดวงเนตรดำขลับวูบไหวของนาง สายสร้อยห้อยสยายบนหน้าผาก ริมฝีปากงดงามดุจบุปผาเจิดจรัส ดวงพักตร์ประหนึ่งหยกหิมะ เรียวแขนแผ่ขยาย เอวบางวิจิตร กระโปรงเวียนวนอย่างรวดเร็ว…ปรากฏกายท่ามกลางหงส์ร่ายสายรุ้งบ่อยครั้ง ทุกชั่วพริบตาพาให้ตะลึงพรึงเพริด ทุกครั้งยามทัดผมเงยหน้าเชิดเท้ากางแขนส่ายเอวได้แสดงความยืดหยุ่นและความงดงามของรูปร่างให้เห็นจนถึงอกถึงใจ นางร่อนร่ายจนคล้ายหงส์ตัวหนึ่ง ร่วงหล่นแห่งใดแสงอาทิตย์ส่องแสงแห่งนั้น งดงามจนคล้ายเพลิงกลุ่มหนึ่ง จุดขึ้นแห่งใดลุกไหม้แห่งนั้น
ทุกผู้คนอ้าปากค้าง ไม่มีผู้ใดนึกถึงความปลอดภัยและการขับไล่อีกแล้ว แม้แต่สตรีสองนางยังจ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างตื่นตะลึงแลอิจฉา หวังจะจดจำท่าร่ายรำของนางไว้ จินจ้าวหลงสูดลมหายใจเหน็บหนาว พึมพำว่า “เช่นนี้ถึงเป็นหงส์ร่ายเก้าหวนที่แท้จริง…เคยได้ชมหลายครั้งขนาดนั้น เพียงครั้งหนึ่งนี้ ข้าเพิ่งรู้สึกว่านั่นคือหงส์…หงส์ที่แท้จริง…”
“ใช่แล้ว” เซวียนหยวนที่เหว่ยเย่อหยิ่งทระนงตน แม้ผ่านประสบการณ์โชกโชนยังอดจะเห็นด้วยไม่ได้ เอ่ยว่า “ข้าอยู่ตี้เกอมานาน เคยได้ชมระบำนี้มากมายหลายร้อยพันครั้ง ยามนี้จึงรู้ว่าแต่ก่อนที่ได้เห็นเป็นเพียงความฝัน วันนี้เพิ่งได้เห็นหงส์ร่ายที่แท้จริงเป็นครั้งแรก”
“ฝ่าบาทเชิญเสวยเกี๊ยวเบญจรส เหยาจีห่อเกี๊ยวนี้เพื่อพระองค์ด้วยมือของตนเองเชียว…” ฮูหยินเหยาฉวยโอกาสนั่งลงข้างกายจินจ้าวหลงที่กำลังตกตะลึง ยิ้มพราวถวายเกี๊ยวเบญจรส คีบตัวหนึ่งขึ้นมากินให้เขาเห็นก่อน
จินจ้าวหลงเอ่ยว่า “เจ้านั่งห่างหน่อย อย่าบังสายตาของข้า” พลางฉวยมือคีบเกี๊ยวตัวหนึ่งขึ้นมากินแล้ว สายตาแนบแน่นบนร่างจิ่งเหิงปัว ถามนางอย่างไม่สนใจใยดีว่า “สตรีนางนี้มาจากที่ใด เจ้าพานางมาหรือ”
“เป็นนางระบำที่หม่อมฉันเพียรพยายามตามหามาเพื่อฝ่าบาทเลยนะ ผู้เชี่ยวชาญการร่ายรำที่แท้จริง” ฮูหยินเหยาหัวเราะคิกคิก ชำเลืองมองปัวจีที่มีสีหน้าเขียวคล้ำอย่างลำพองใจปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “พระองค์ทอดพระเนตรสิ ดีหรือไม่?”
“ดี! ดี!” จินจ้าวหลงตบโต๊ะอย่างแรงครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ยากนักที่เจ้าไม่อิจฉา กตัญญูรู้คุณ!” กินเกี๊ยวไปหลายคำเพิ่งรู้สึกถึงความพิเศษของเกี๊ยว เอ่ยชมว่า “เกี๊ยวนี้ไม่เลว!” คีบตัวหนึ่งให้เซวียนหยวนเหว่ย เอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ลองชิมด้วยสิ”
เซวียนหยวนเหว่ยฉวยมือรับไว้ และไม่ทันได้เกรงใจ จ้องมองจิ่งเหิงปัวพลางคีบเกี๊ยวเข้าปากอย่างเซ่อซ่า
จินจ้าวหลงไม่สนใจเช่นกัน ยามนี้เหล่าบุรุษเข้าใจกันและกัน…โฉมสะคราญอยู่เบื้องหน้าน่ะ เย้ายวนปลิดวิญญาณดุจระบำของนางมารเยี่ยงนี้ พลาดเพียงชั่วพริบตายังนับว่าน่าเสียดาย
“สาวงามเพียงนี้…” เซวียนหยวนเหว่ยทอดถอนใจ ไม่รู้สึกถึงรสชาติของเกี๊ยวด้วยซ้ำ เอ่ยว่า “ปัวจีพ่ายแพ้สิ้นท่าเช่นนั้นแล้ว ฝ่าบาทวาสนารักท่วมท้น…”
“ใช่แล้วๆ…” จินจ้าวหลงหัวเราะเหอะๆ ดังลั่น สีหน้าร้อนรนแทบทนไม่ไหว
เซวียนหยวนเหว่ยกินเกี๊ยว จ้องมองจิ่งเหิงปัวครู่ใหญ่ ก่อนหน้านี้นางร่ายรำรวดเร็วตลอดเวลา ขณะนี้ทำนองเพลงท่อนหนึ่งเชื่องช้า ฝีเท้านางเริ่มช้าลง คราวนี้บุรุษสองคนเพิ่งเห็นรูปร่างหน้าตาของนางชัดเจน ดวงตาสว่างวูบอีกครั้งโดยพลัน จ้องมองตาเขม็ง
เซวียนหยวนเหว่ยจ้องมองครั้งแล้วครั้งเล่า ขยี้ตาโดยพลัน หันหน้าไปมองปัวจี
สีหน้าของปัวจีแปลกประหลาดเล็กน้อยเช่นกัน…นางรู้สึกว่าสตรีที่ร่ายรำนางนี้ดูท่าทางคุ้นตาพิกล
เซวียนหยวนเหว่ยมองดูปัวจีแล้วมองดูจิ่งเหิงปัว พอมองดูปัวจีอีกรอบ อดจะพึมพำไม่ได้ว่า “เหตุใดจึงคลับคล้ายคลับคลาพิกล…”
ชั่วขณะนี้เอง ลมหอมหลายระลอก พวงหยกกรุ๊งกริ๊ง จิ่งเหิงปัวเต้นรำถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว
ระบำเร็วเริ่มขึ้นอีกครั้ง
นางกางแขนสองข้าง เงยหน้ามองข้างบน หมุนร่างกะทันหัน กระโปรงเต้นรำปักหงส์หมุนวนดังฟึ่บอีกครั้ง นางระบำธรรมดายากจะมีเอวแข็งแรงแบบนางได้…ชายกระโปรงเต้นรำประดับด้วยเลื่อมทองดิ้นทองมากมาย หนักหน่วงยิ่งนัก สะบัดออกเป็นท่วงท่าผลิบานแต่ละพับแต่ละผืน ชั่วครู่นั้นคล้ายหงส์ฝูงหนึ่งรวบขนหางขึ้นโบยบิน
กระโปรงเต้นรำหนักหน่วงบดบังสายตาของจินจ้าวหลงและผู้อื่น ทว่ายามนี้เซวียนหยวนเหว่ยมองเห็นขายาวเรียวตรงแน่วใต้กระโปรงเต้นรำสตรี เขาอดจะโน้มกายเล็กน้อยไม่ได้
ขณะโน้มกายเพียงครั้ง เขายังรู้สึกว่าคล้ายพลันมองเห็นดั่งมีแสงสว่างกะพริบวูบบนขาท่อนล่างของสตรี
ครู่ต่อมาเป็นท่วงท่าโค้งกายครั้งหนึ่ง เขามองเห็นนางระบำที่งดงามล้ำเลิศนางนั้นก้มลงเพียงครั้ง นิ้วมือแตะต้องส้นเท้า ลูบไล้เลียบขึ้นมาตามขาท่อนล่าง
นี่คือท่วงท่าสุดท้ายที่เขามองเห็นในชีวิตนี้
หลังชั่วพริบตาหนึ่ง แสงอสนีบาตกะพริบวูบพุ่งสู่ม่านตา
เขาได้ยินเสียงหนึ่งดังก้อง เจือด้วยเสียงหัวเราะบ้าคลั่งดังอยู่ข้างหูว่า “ถูกลอกเลียนตลอดเลย ไม่เคยเหนือกว่าสักครั้ง!”
ในใจไม่ทันได้เกิดอารมณ์ใด เขาพยายามเอนไปข้างหลังโดยสำนึก ทว่ายามนี้หน้าอกเจ็บปวด ทั่วร่างอ่อนยวบ
ฉึก!
หน้าอกเย็นเยียบคล้ายไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดด้วยซ้ำ เขามองดูรุ้งโลหิตสายหนึ่งทะลุผ่านตรงหน้าอย่างงงงัน สอดประสานกับกระโปรงเต้นรำแดงเข้มปักหงส์เหินสวยสดงดงามนั้น
แสงโชติช่วงน่าสะพรึงกลัวโปรยปรายทั่วท้องฟ้า ไม่รู้ว่าเป็นชายกระโปรงของโฉมสะคราญหรือโลหิตของตนเอง
เขาหอบหายใจเสียงหนึ่ง ร่วงหล่นสู่ข้างหลัง ล้มลงในอ้อมแขนของจินจ้าวหลง จินจ้าวหลงยังไม่ทันรู้สึกตัวขึ้นมา มองเห็นเพียงนางระบำกะพริบวูบ ตรงหน้าคล้ายมีแสงอสนีบาตสว่างไสว เขาสังหรณ์ว่าแย่แล้วหวังหลบหนีหวังลงมือ ทว่าหน้าอกพลันเจ็บปวดทั่วร่างพลันอ่อนยวบ พอกะพริบตาอีกครั้ง เซวียนหยวนเหว่ยล้มลงตรงหน้าเขาแล้ว
เขาประคองไว้โดยสำนึก นิ้วมือสัมผัสของเหลวเหนียวหนับที่พวยพุ่งออกมา รู้สึกตื่นตระหนก
จิ่งเหิงปัวหอบหายใจเล็กน้อย ขณะกำลังหายตัว ได้ยินเสียงตะโกนสิ้นหวังคลุ้มคลั่งเสียงหนึ่งตรงปากห้องโถงกะทันหัน
“เหว่ยเอ๋อร์!”
ได้ยินเสียงนี้ จิ่งเหิงปัวก็ไม่คิดจะจากไปทันทีอีกแล้ว นางยิ้มแย้มหันหน้ากลับมา
ปากห้องโถง เซวียนหยวนจิ้งที่มีสีหน้าร้อนรนยืนอยู่ตรงนั้น ไหล่สองข้างปกคลุมด้วยหิมะ
เขาจ้องมองเซวียนหยวนเหว่ยที่จมอยู่กลางทะเลสาบโลหิตอย่างไม่เชื่อสายตา…เขาไม่วางใจให้บุตรชายทั้งสองช่วงชิงอำนาจ รีบร้อนตามมาในคืนก่อนปีใหม่ นึกไม่ถึงว่าพอก้าวเข้าปากประตู มองเห็นบุตรชายคนโตที่ฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ถูกสังหารด้วยตาตนเอง!
จากนั้นพอเขาเชิดสายตา มองเห็นสตรีที่ยืนตระหง่านเหลียวหลังกลางห้องโถง
นางเลิกคิ้วยิ้มแย้ม ริมฝีปากแดงดุจมวลผกา
ครู่นั้นเขาชะงักงัน สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง!
เป็นไปได้อย่างไร…
สตรีที่งดงามล้ำเลิศนางนั้นยืนอยู่กลางห้องโถง ชี้ไปยังศพของเซวียนหยวนเหว่ย ใช้ริมฝีปากเอ่ยวาจากับเขา จากนั้นกะพริบวูบ
ประดุจหงส์ร่อนร่ายสู่สรวงสวรรค์ สูญสลายโดยพลัน
จินจ้าวหลงลุกขึ้นยืนอย่างตกตะลึง จ้องมองกลางห้องโถงที่ว่างเปล่า ขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสายตา ตะโกนเรียกองครักษ์เข้ามาอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังเรียกหมอให้เข้ามาอย่างรวดเร็วด้วย เหล่านักดนตรีหมอบอยู่บนพื้นอย่างตื่นตระหนก สตรีสองนางสั่นเทิ้มไม่หยุดหย่อน หน้าห้องโถงสับสนวุ่นวาย
ท่ามกลางผู้คนวิ่งไปวิ่งมา เสียงร้องตะโกนโหวกเหวก เซวียนหยวนจิ้งยืนนิ่งงงงัน หลงลืมมองดูแม้แต่สภาพของบุตรชาย
เขาเหน็บหนาวทั่วร่าง รู้สึกเพียงว่าสายลมหิมะคำรามอยู่ข้างหลัง พุ่งสู่สันหลัง เย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
หนึ่งเดือนก่อนเขาขับไล่สตรีนางนั้นท่ามกลางหิมะเหินว่อน
หนึ่งเดือนต่อมาเขามองเห็นนางสังหารบุตรชายของตนเองด้วยตาตนเองท่ามกลางหิมะเหินว่อน
การสวนกลับที่รวดเร็วรุนแรงเพียงนี้!
ไม่ ยังไม่จบสิ้น
เขายืนอยู่ด้วยทั่วร่างเหน็บหนาว สมองย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ศัตรูตัวฉกาจชั่วชีวิตคนนั้น สตรีแปลกประหลาดมหัศจรรย์นางนั้น กิริยาท่าทางสุดท้ายกับวาจาสุดท้าย
นางชี้ศพของเซวียนหยวนเหว่ย
เอ่ยว่า
“คนแรก”