เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 22 - 2 เจ้าต้องปลอดภัย
ค่ำคืนก่อนออกเดินทาง ผู้กำกับดูแลมาเพื่อกระตุ้นความฮึกเหิม ยามนี้ผู้นำเผ่าหวงจินไม่ได้อารมณ์ดีกระไรเช่นกัน ฝืนใจเอ่ยวาจาเล็กน้อย ซ้ำยังเอ่ยว่าตระกูลเหยียลี่ว์ถอนกำลังกะทันหันด้วยเพราะติดธุระ นายน้อยใหญ่ตระกูลเซวียนหยวนมาไม่ได้ชั่วคราวด้วยเพราะติดธุระ ผู้ควบคุมสัตว์ที่แต่เดิมรับหน้าที่ควบคุมสัตว์ล่วงหน้าไปหุบเขาเทียนฮุยรอคอยกองทัพใหญ่ ยามนี้โยกย้ายทหารระดับหัวกะทิร้อยนายจากกองทัพองครักษ์เมืองเป่ยซินมาเสริมกำลังพลเช่นนี้แล้ว
ผู้นำเผ่าหวงจินไม่ได้เอ่ยว่าเฟยหลัวมาไม่ได้เพื่อรักษาขวัญกำลังใจของทหาร ทว่าการผิดนัดของตระกูลเหยียลี่ว์กับนายน้อยใหญ่เซวียนหยวนทำให้ทุกคนผุดเผยสีหน้าไม่สบายใจแล้ว เหล่าฝูงชนแอบกระซิบกระซาบระลอกหนึ่ง
ผู้นำเผ่าหวงจินเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดมิด นึกถึงการวินาศสูญสิ้นอย่างแปลกประหลาดของตระกูลเหยียลี่ว์กับการสิ้นชีพอย่างพิลึกพิลั่นของนายน้อยใหญ่เซวียนหยวน ลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลเฉียดผ่านในใจรำไร…ติดขัดตั้งแต่เริ่มต้น แล้วจะหวังให้ทุกเรื่องหลังจากนี้ราบรื่นได้หรือไม่?
ทว่ายามนี้ลูกศรพาดสายธนูแล้ว จำเป็นต้องยิงออกไป
เขาถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา คิดว่าหากไม่ใช่ด้วยเพราะสถานการณ์ภายในชนเผ่าคับขัน ภายนอกยังถูกกงอิ้นยับยั้งอย่างแข็งกร้าว ตนเองจะถึงขนาดต้องบุ่มบ่ามผลีผลาม คิดแสวงหาของล้ำค่ากลางหุบเขาเทียนฮุยเพื่อชัยชนะได้อย่างไร?
ข้างกายเขา เซวียนหยวนจิ้งกำลังลากเซวียนหยวนฉี่ไว้พลางกำชับเจื้อยแจ้ว…เขาต้องอยู่คอยจัดการงานศพบุตรชายคนโต ซ้ำยังต้องรับมือกับการซักถามจากผู้อาวุโสของตระกูลที่ประเดี๋ยวจะตามมาเผ่าหวงจิน ได้แต่มอบหมายปฏิบัติการหุบเขาเทียนฮุยให้บุตรชายคนรองที่ไว้ใจไม่ได้ผู้นี้ เช่นนี้จะทำให้เขาวางใจได้อย่างไร ได้แต่เอ่ยข้อควรระวังครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งวาจาว่า “ปลอดภัยไว้ก่อน หากเกิดความผิดพลาด ยินยอมไม่ได้สิ่งใดเลยสักอย่าง แลต้องถอยออกมาอย่างปลอดภัย” ยังเอ่ยออกมาได้
“ท่านพ่ออย่าได้เสริมอำนาจของผู้อื่นจนหมิ่นแคลนความสามารถของตนเอง! ครั้งนี้ลูกจะขนข้าวขนของกลับมาเพื่อตระกูลเซวียนหยวนของเราแน่แท้!” เซวียนหยวนฉี่ไม่คิดเช่นนั้น รับปากโดยไร้กังวล ทุบหน้าอกรุนแรง
เซวียนหยวนจิ้งมองดูท่าทางไม่รู้หนักเบา ภูมิใจในตนเองจนคล้ายจะเหาะเหินของบุตรชาย รู้สึกเพียงว่ารสชาติขมฝาดในปากคล้ายจะซึมเข้าไปในใจ
บุตรชายคนโตที่เหน็ดเหนื่อยอบรมสั่งสอนสิ้นชีพลงกะทันหัน บุตรชายคนรองมากปณิธานขาดความสามารถ อีกไม่นานบรรดาบุตรชายจะต้องเริ่มช่วงชิงทรัพย์สิน หากควบคุมรถม้าตระกูลเซวียนหยวนคันนี้ไว้ไม่ได้ เหล่าญาติสายแขนงที่จ้องรอตะครุบดั่งพยัคฆ์เหล่านั้นจักต้องลุกฮือยื้อแย่งอำนาจเป็นแน่ พอถึงยามนั้นรถม้าคันนี้สูญเสียการควบคุมแล้วจะพุ่งชนที่ใด? ต้อนรับจุดจบอย่างไร?
ตรงหน้าพลันมีเหตุการณ์ที่จัตุรัสหวงเฉิงวันนั้นเฉียดผ่าน เป็นฉากยามที่รถม้าเพลิงของซังต้งกระจุยกระจายหน้ากำแพงตำหนักอวี้จ้าวฉากนั้น
เขาเหน็บหนาวสั่นสะท้านทั่วทั้งร่าง
“เจ้าต้องตรวจสอบทหารข้างกายให้ดี อย่าให้คนนอกลอบเข้ามาได้เด็ดขาด องครักษ์ประจำตระกูลที่ข้าเลือกให้เจ้า ทุกนายเป็นคนเก่าคนแก่ที่จงรักภักดีแน่แท้ นอกเหนือจากนี้ พันธมิตรที่เหลืออยู่เชื่อใจไม่ได้ทั้งนั้น!” เขากำชับเซวียนหยวนฉี่อีกครั้ง
วาจาสุดท้ายที่จิ่งเหิงปัวเอ่ยไว้ก่อนหายไปทำให้เขานึกถึงแล้วเหน็บหนาวในใจจนถึงบัดนี้ กลัวว่าพอกะพริบตา บุตรชายคนรองจะตกหลุมพรางด้วย
ความสามารถลึกลับและความกล้าหาญก้าวร้าวยามกระทำเรื่องราวของราชินีจิ่ง ทำให้เขาหวาดกลัวลึกซึ้งมาโดยตลอด
บนโลกนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง แม้ร่างกายของนางจะอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แต่นางดำรงอยู่ ยิ้มแย้ม พอยกมือพาให้ผู้คนรู้ว่าสถานการณ์ภายภาคหน้าคงจะเริ่มต้นในมือนางเป็นแน่
เขาไม่กล้าใช้ชีวิตบุตรชายมาทดสอบอีกแล้ว ไม่กล้าจริงๆ
“จะมีคนนอกได้อย่างไร!” เซวียนหยวนฉี่กลอกตา ผลักท่านพ่อของเขาหันหลัง แล้วเอ่ยว่า “ลูกสาบานว่าจะเชื่อเพียงคนที่ท่านเลือก! ท่านรีบกลับไปก่อน งานศพของพี่ใหญ่ยังรอให้ท่านไปจัดการนะ…” เอ่ยพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นสองเสียง ไม่มีน้ำตาด้วยซ้ำ
เซวียนหยวนจิ้งทนเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาไม่ได้โดยแท้ ได้แต่ถอยหลัง มองเห็นกองทัพเคลื่อนพลอย่างเชื่องช้า ไปทางนอกเมืองอย่างเงียบเชียบท่ามกลางสายลมหิมะ
เขากับผู้นำเผ่าหวงจินยืนอยู่กลางหิมะ มองเงาด้านหลังของฝูงชนถูกสายลมหิมะกลบกลืนรำไร รู้สึกเพียงว่าในใจคล้ายเคลือบด้วยโคลนหิมะเลือนรางมัวสลัวหนึ่งชั้น ทยอยเย็นเยียบทีละชุ่น สัมผัสความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องของโลกมนุษย์ใบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
…
หุบเขาเทียนฮุยอยู่กลางภูเขาลูกหนึ่งนอกเมืองเป่ยซินสามสิบลี้ ตลอดเส้นทางพบเห็นผู้คนน้อยครั้ง คนจากกองทัพองครักษ์ของเจ้าเมืองนำสัตว์หาทองจำนวนมากมาด้วย ประเดี๋ยวจะใช้สำหรับบุกเบิกเส้นทาง
จิ่งเหิงปัวทิ้งเครื่องหมายไว้ให้พวกเจ็ดสังหารตลอดการเดินทาง อย่างไรเสียนางไม่มีวรยุทธ์ เหยียลี่ว์ฉียังบาดเจ็บสาหัส การเข้าหุบเขาเทียนฮุยเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย แผลพิษจากบึงโคลนของเหยียลี่ว์ฉีมีระยะพักตัวเพียงสามวัน ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว จำเป็นต้องรีบไปหุบเขาเทียนฮุยหายาด้วยตัวเอง นางส่งสัญญาณเรียกเจ็ดสังหารไม่ได้ ได้แต่ฝากความหวังให้พวกเขานึกได้ว่าต้องมาตามหาที่เมืองเป่ยซินแห่งนี้
จิ่งเหิงปัวไม่ค่อยหวังเรื่องนี้มากเท่าไร พวกเฮฮาเจ็ดคนไม่ก่อเรื่องนับว่าโชคดีแล้ว
แม้ปฏิบัติการคืนพายุหิมะอำพรางเรือนร่างได้ แต่สภาพอากาศแบบนี้ง่ายต่อการฉวยโอกาสขณะชุลมุนเช่นกัน ผู้คนมากมาย หิมะตกหนัก สายตาเลือนรางยากจำแนก ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ นางมั่นใจว่าขอแค่ตั้งใจ นางสามารถทำให้พวกเขามาได้ไปไม่ได้
เหยียลี่ว์ฉีกำลังเอ่ยวาจาสนุกสนานกับหัวหน้ากลุ่มคนนั้น เพิ่งผ่านไปไม่นาน เขาคล้ายได้รับความเชื่อใจจากอีกฝ่ายแล้ว แขนเสื้อของเขาพลิ้วสยายกลางสายลมหิมะ แม้สวมเสื้อผ้าแสนธรรมดาเหมือนทุกคน แต่ทำลายบุคลิกทรงเสน่ห์โดยกำเนิดไม่ได้ จิ่งเหิงปัวมองเห็นสายตาของนายน้อยรองเซวียนหยวนนั่นแลดูแปลกประหลาด น่าจะคิดว่าเหยียลี่ว์ฉีเป็นหนึ่งในแขกหลังม่านของฮูหยินเหยาอีกคนแล้ว
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเหยียลี่ว์ฉีไม่เหมือนลูกบุญธรรมของตระกูลใหญ่โต บุคลิกลักษณะของเขาเหนือกว่าลูกหลานตระกูลใหญ่โตที่นางเคยพบเห็นมากนัก เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่าเขาถูกพ่อแม่บุญธรรมรับเลี้ยงตอนอายุสามขวบ จำความได้นิดหน่อยแล้ว จำได้แค่ว่าบ้านหลังก่อนเป็นหอสูงซุ้มประตูใหญ่ ห้องหับทอดยาวเหยียด น่าจะเป็นลูกหลานชนชั้นสูงเช่นกัน แต่ทำไมถึงตกต่ำจนถูกคนอื่นรับเลี้ยง ทำไมเรื่องก่อนหน้านี้ถึงเลือนรางไม่ชัดเจน ตัวเขาเองค้นหาความจริงเป็นเวลาหลายปียังคงไม่มีคำตอบ โครงสร้างต้าฮวงซับซ้อน อำนาจเนืองแน่น ตระกูลใหญ่โตที่เปิดเผยและซ่อนเร้นไม่รู้ว่ามีมากเท่าไร ถ้าถูกบางคนกำจัดเบาะแสด้วย คงยากจะได้สัมผัสความจริง
เมื่อกลับมาแล้ว เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยกับนางว่าครั้งนี้กองทัพต้องการค้นหาเหมืองทองลับที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาเทียนฮุยเป็นหลัก เหมืองทองของเผ่าหวงจินแทบหมดสิ้นแล้วเพราะขุดเหมืองมากเกินไป เหลือแค่หุบเขาเทียนฮุยที่มีสินแร่อุดมสมบูรณ์ตามตำนาน ซ้ำยังเป็นที่ดินรกร้างแห่งหนึ่งซึ่งไร้คนบุกเบิก นอกจากนี้ ภายในหุบเขาอาจยังมีสิ่งล้ำค่า เช่น เหล็กอ่อน ตะโก เหล็กดำและโลหะดำในตำนานซ่อนอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการสร้างอาวุธที่แม่นยำและรุนแรง เหล็กอ่อนเป็นวัสดุสำคัญในการสร้างกระบี่อ่อนและเกราะเบาข้างกาย ซ้ำยังเป็นอุปกรณ์สำคัญในการสอดแนมขั้นสูงของมือสังหารและกองทัพขนาดใหญ่ รวมทั้งสมาชิกหน่วยลับทุกหน่วย การผสมผสานของเหล็กอ่อนกับตะโกเป็นการผสมผสานดั้งเดิมที่สร้าง ‘หน้าไม้เจ็ดมุกดา’ แสนสำคัญในสงครามยุคนี้ ทุกคนคงรู้ว่าท่ามกลางสงคราม ถ้ามีกลุ่มเล็กติดอาวุธลอบสังหารและกลุ่มสอดแนมขั้นสูงสักกลุ่ม แทบจะได้โอกาสชี้ขาดครึ่งหนึ่ง หน่วย ‘จูหว่าง’ กับ ‘เฟิงชื่อ’ ที่เดิมทีเป็นของทหารคั่งหลง แท้จริงแล้วเป็นอิสระจากคั่งหลงโดยสิ้นเชิง หน่วยนี้ควบคุมอยู่ในมือราชครูกงอิ้น เล่ากันว่าใช้การผสมผสานแบบนี้ด้วย แม้กุมอำนาจล่มนคร กงอิ้นยังไม่อาจเพิ่มจำนวนสมาชิก ‘จูหว่าง’ และ ‘เฟิงชื่อ’ อีกขั้นหนึ่งได้เพราะวัสดุมีจำกัด เห็นได้ถึงความล้ำค่าของสิ่งเหล่านี้
สิ่งของจำพวกเหล็กดำกับโลหะดำเป็นวัสดุล้ำค่าในการสร้างอาวุธหนัก หัวลูกศรของหน้าไม้ขนาดใหญ่ หัวกระทุ้งของรถกระทุ้งประตู ซ้ำยังเป็นของรักของทหารจอมพลังศัตรูของคนนับหมื่นและทหารม้าเกราะหนักของกองทัพ รถกระทุ้งประตูที่สร้างจากโลหะดำกระแทกประตูหนาสามฟุตย่อยยับเหมือนฉีกกระดาษ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสมุนไพรหายากจำนวนมากในหุบเขา สกัดพิษได้สกัดยาได้ช่วยชีวิตได้สร้างความผิดปกติทางชีวเคมีได้ ปกติแล้วหุบเขาปิดสนิทแบบนี้จะกลายเป็นระบบนิเวศอิสระขนาดเล็ก จะเกิดพืชประหลาดที่มนุษย์ไม่เคยเห็น คุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่และความล้ำค่าของพวกมันประเมินค่าไม่ได้
จิ่งเหิงปัวฟังเรื่องเหล่านี้แล้ว ในใจมีแค่ความคิดเดียว…จะก่อสงครามแล้วเหรอ?
เผ่าหวงจินที่กระด้างกระเดื่องโดยกำเนิดเป็นเผ่าหนึ่งซึ่งตี้เกอคอยเฝ้าระวังตลอดเวลา ตี้เกอตรวจตราชายแดนด้วยอวี้จ้าวหลงฉี เข้าไปถึงชายแดนเผ่าหวงจินบ่อยครั้ง ซ้ำยังมีอวี้จ้าวหลงฉีกองทัพหนึ่งตั้งมั่นที่ด่านเยี่ยนจู่ซึ่งเป็นด่านสำคัญของเผ่าหวงจินโดยตรงตามข้อตกลงหลังเผ่าหวงจินก่อกบฏพ่ายแพ้ครั้งก่อน หลายปีที่ผ่านมาเผ่าหวงจินถูกยับยั้งจนไม่กล้ากระทำการรุนแรง สุดท้ายคราวนี้คิดจะกลับมาต่อสู้แล้วเหรอ?
ไอ้หยา สิ่งของนั่นต้องแย่งด้วยไหมนะ?
แย่ง อาจสู้รบไม่ได้เลย น่าผิดหวัง
ไม่แย่ง ของดีมากขนาดนั้น ไม่สบอารมณ์เลย
เหยียลี่ว์ฉีมองนางกลอกตาไปมา ก็พลันเดาว่านางกำลังวางแผนในใจ ยิ้มแย้มพลางกระซิบว่า “อย่าโลภเกินไปนัก ยอดฝีมือในกองทัพนี้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่มนั้นของทหารคั่งหลงค่อนข้างเก่งกาจ เจ้าระวังหน่อยดีกว่า”
จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองทางนั้นแวบหนึ่ง แอบคิดว่าเฉิงกูมั่วส่งทหารระดับหัวกะทิในกองทัพกลุ่มนี้มาตายหรือ? น้ำเข้าสมองหรืออย่างไร?
เวลาเที่ยงคืน สายลมหิมะค่อยๆ แผ่วเบา จิ่งเหิงปัวเชยสายตาขึ้นมองท้องฟ้า พลันหันหน้ายิ้มให้เหยียลี่ว์ฉี เอ่ยว่า “ สวัสดีปีใหม่ ขอให้เจ้ากับข้าแก่ขึ้นอีกปีหนึ่ง”
ยามจื่อผันผ่านกลายเป็นปีใหม่อีกปีหนึ่ง ค่ำคืนปีใหม่ปีนี้ฟันฝ่าผ่านพ้นกลางสายลมหิมะ
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “ขอให้เจ้ากับข้าใช้ชีวิตผ่านพ้นปีนี้ไปอย่างราบรื่นอีกปีหนึ่ง เข้าใจเรื่องราวโลกมนุษย์มากยิ่งขึ้น เรียนรู้ความรู้สึกทั่วโลกหล้ามากยิ่งขึ้น เส้นทางข้างหน้าไร้สิ้นสุด อนาคตยังอีกยาวไกล”