เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 23 - 3 ลวงฆ่า
“แม่งเอ๊ย!” นายกองบรรดาศักดิ์นายหนึ่งสะบัดหน้ากากด้ายทองที่ปิดหน้าไว้อย่างรุนแรง เอ่ยว่า “นักต้มตุ๋น! นักต้มตุ๋นทั้งนั้น! พวกเราเสียสติหรืออย่างไรกันถึงถูกหลอกมาทิ้งชีวิต!”
“ถูกหลอกแล้ว! พวกเราไม่ควรมาในหุบเขา!”
“ผู้บัญชาการหลอกพวกเรา! ทั้งที่เป็นสหายร่วมทัพเหตุใดเขาจึงทำกันได้ลงคอ! อาเฉิงเจ้าเคยช่วยชีวิตเขาไว้จากเงื้อมมือของเผยซูด้วย!”
ความสิ้นหวังกับความโกรธแค้นแผ่คลุมเหล่ายอดฝีมือกลุ่มนี้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง ประหนึ่งความสงสัยกับความหวาดกลัวก่อนหน้านี้
“ไม่ต้องเอ่ยแล้ว!” ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นเปล่งเสียงเช่นเคย เสียงเยือกเย็นเอ่ยว่า “หากยังมีเวลามาไม่พอใจเช่นนี้ ก็ไม่สู้รีบหายาถอนพิษ! ในเมื่อมีคนรอดชีวิต ในหุบเขานี้ย่อมต้องมีสมุนไพรที่ถอนพิษได้เป็นแน่ ค้นหาโดยละเอียด!”
ทุกคนแยกย้ายกันค้นหายา บางคนเริ่มบ่นอุบอิบว่า “เด็กหนุ่มที่คล้ายรู้ทุกเรื่องก่อนหน้านี้ไปไหนแล้ว?”
เสียงนั้นยังไม่สิ้น พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น
เสียงร้องโหยหวนแหลมคมน่าสยองขวัญเช่นเดียวกัน เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสิ้นหวัง ไม่คล้ายเสียงมนุษย์
ทุกคนอดที่จะสั่นสะท้านไปทั่วร่างไม่ได้ มองหน้าสบตากันอย่างตกตะลึง…สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวไม่ใช่เสียงร้องโหยหวนน่ากลัวนี้ ทว่าหวาดกลัวด้วยเพราะเจ้าของเสียงร้องโหยหวนเป็นผู้ที่ควบคุมสัตว์ที่เปล่งเสียงหัวเราะเมื่อครู่!
เสียงของเจ้าผู้นั้นไม่ไพเราะ จำแนกได้ง่ายยิ่งนัก ทุกคนฟังแล้วจำได้
เกิดเรื่องใดขึ้น?
เมื่อครู่ยังยินดีปรีดาว่าหาเหมืองทองเจอแล้ว ร่ำรวยแล้วอยู่เลย เหตุใดผ่านไปชั่วพริบตาพลันเปล่งเสียงใกล้สิ้นลมนี้?
ทุกผู้คนระมัดระวังโดยพลัน…เงาประหลาดเหล่านั้นปรากฏกายอีกแล้วใช่หรือไม่? จึงพากันรีบคว้าอาวุธ จ้องมองหมอกหนาข้างหน้าโดยไม่กะพริบตาสักครั้ง
เงาคนเงาหนึ่งพุ่งออกมาจากหมอกหนาข้างหน้า สองมือกางขึ้นฟ้า บนมือมีโลหิตชุ่มโชก ครึ่งร่างเปรอะเปื้อนโลหิต รูปร่างหน้าตาโหดเ**้ยมเย็นชา!
เป็นผู้ควบคุมสัตว์คนนั้นจริงๆ ด้วย
เขาพุ่งออกมาเพียงไม่กี่ก้าว เท้าข้างหนึ่งเหยียบย่ำบึงโคลนแห่งหนึ่งตรงหน้าด้วยเพราะลุกลี้ลุกลน ล้มลงบนบึงโคลน บนหลังมีหลุมโลหิตแห่งหนึ่ง โลหิตพวยพุ่งพรวดพราดสู่ข้างนอก ย้อมบึงโคลนรอบกายให้แดงฉานในพริบตา
ทุกคนมองเขาหมดแรงดิ้นรนบนบึงโคลนอย่างเคร่งขรึม ประดุจหนอนแมลงวันขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง เปรอะเปื้อนโคลนเจือโลหิตทั่วร่าง สุดท้ายยิ่งดิ้นยิ่งอ่อนเพลีย ยิ่งดิ้นยิ่งหนักหน่วง จมดิ่งสู่ก้นบึงโคลน
พริบตาสุดท้าย สายตาของผู้ควบคุมสัตว์คนนั้นทอดมาทางฝูงชนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงข้าม นัยน์ตาที่ว่างเปล่าท่วมท้นด้วยความตกตะลึงสิ้นหวังเสียใจและไม่เข้าใจ…
สุดท้ายแล้ว สายตาดุจหลุมดำถูกโคลนเลนท่วมท้นอย่างเชื่องช้า
ทุกคนยืนนิ่ง สายตาที่สิ้นหวังดุจหลุมดำตรงหน้านั้นกับเสียงหัวเราะลั่นดีใจเป็นล้นพ้นของเขาก่อนหน้านี้ผสมผสานจู่โจมอย่างต่อเนื่อง กระแทกจนในใจทุกคนเหน็บหนาว
ทุกผู้คนทอดแววตามาทางหมอกเทามัวสลัว
หลังหมอกเทาทางนั้นคล้ายไร้ซึ่งจุดสิ้นสุดดุจประตูนรก ซุกซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่? เกิดเรื่องใดขึ้น?
หลังหมอกเทา ทิศทางที่ผู้ควบคุมสัตว์พุ่งออกมา จิ่งเหิงปัวกำลังเช็ดมืออย่างเชื่องช้า
บนมือเปื้อนเลือด บนกริชก็เปื้อนเลือดเช่นเดียวกัน นางใช้ใบหญ้าเช็ดออกอย่างเชื่องช้า
เลือดเป็นของผู้ควบคุมสัตว์คนนั้น
ความดีใจเป็นล้นพ้นเมื่อประสบความสำเร็จของมนุษย์ พอจะทำให้ความระมัดระวังลดลงได้ นางหายตัวลงจากกำแพงภูเขาตอนนั้น กริชเดียวแทงเข้าสันหลังของคนนั้น
อย่างไรเสียเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว ใกล้หมดเวลายาถอนพิษออกฤทธิ์แล้ว
เลือดพุ่งออกมาย้อมชนวนดอกไม้ไฟบนพื้นจนเปียกชื้น ผู้ควบคุมสัตว์เตรียมใช้สิ่งนี้แจ้งให้คนข้างนอกมาสนับสนุน
จิ่งเหิงปัวเตะดอกไม้ไฟลงในบึงโคลน
ไม่ต้องบอกพวกปีศาจน้อยแล้ว ทั้งหุบเขา บึงโคลน สมุนไพรและแหล่งแร่ของที่นี่ ผู้อำนวยการจิ่งเหมาไว้หมดแล้ว
สัตว์หาทองขนาดใหญ่กับสัตว์น้อยที่ใช้เพื่อสำรวจเส้นทางกลุ่มนั้นตกใจจนวิ่งหนีกระจัดกระจาย แต่สัตว์หาทองมีสัญชาตญาณตามธรรมชาติ สถานที่ที่พวกมันไปจะต้องมีแหล่งแร่แน่นอน จิ่งเหิงปัวไม่ได้ไล่ตาม แค่จดจำทิศทางอย่างเงียบเชียบ
จากนั้นนางทำเครื่องหมายตรงสถานที่ที่ดูท่าทางไม่มีอะไรพิเศษแห่งนี้
เพิ่งจะทำเครื่องหมายเสร็จ นางก็ได้ยินเสียงลมดังขึ้นที่ด้านหลังกะทันหัน ความรู้สึกที่ปั่นป่วนกระแสอากาศชนิดนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นางไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เรือนร่างกะพริบวูบพุ่งขึ้นกำแพงภูเขาไป
นางยืนมั่นคงบนกำแพงภูเขา พอก้มหน้าลงมอง เงากลุ่มนั้นปรากฏตัวอีกแล้วจริงด้วย
ก่อนหน้านี้เป็นการลอบทำร้าย คราวนี้เป็นการสังหาร ครั้งนี้จะมาแบ่งปันสิ่งของจากเชลยศึกแล้ว
ขณะเงากลุ่มนั้นลื่นไถลผ่านกำแพงภูเขาใต้ร่างนาง คนแรกคนนั้นเงยหน้ามองนางปราดเดียว นางยังคงมองเห็นดวงตาดำขาวตัดกันของอีกฝ่ายผ่านหมอกเทา
นางแอบประหลาดใจเล็กน้อย…ดวงตาสวยจัง!
เมื่อข้ามผ่านความสับสนวุ่นวายประหนึ่งหมอกเทาและกองโคลน นางยังคงมองเห็นความบริสุทธิ์หมดจดของดวงตาคู่นั้นได้ สายตาชั่วครู่เดียวยังแผ่กลิ่นอายพิสุทธิ์เพียงนี้ ประดุจแสงจันทร์หยุดนิ่ง
สายตานั้นระเริงแล้วผ่านไป ชั่วครู่ต่อมาเงาเหินว่อนมั่วซั่ว เขาพาคนพุ่งสู่เหล่านายกองบรรดาศักดิ์โชคร้ายฝูงนั้น
จิ่งเหิงปัวเคี้ยวต้นหญ้า คิดว่าคนพวกนี้อาจจะมีความแค้นยาวนานหรือเปล่า? แผ่กลิ่นอายไม่ตายไม่ยอมเลิกราหลายส่วนจริงแท้
ไอควันข้างล่างสาดซัด ฉากเมื่อครู่ฉายซ้ำอีกรอบ แม้ได้เตรียมพร้อมแล้ว แต่นายกองบรรดาศักดิ์ที่อ่อนล้าถึงขีดสุดยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าเงาที่อาศัยโอกาสดีทำเลดีทุกคนสามัคคีเหล่านี้
พวกเขาบางคนเริ่มชาญฉลาด รู้จักใช้หญ้าหน้าผีนั้นโปรยออกไปคิดจะขับไล่ศัตรู ทว่าคราวนี้ไม่ได้ผลแล้ว บนร่างอีกฝ่ายทาด้วยโคลนเลนสีเขียวอ่อนมันวาว ไม่สนใจไยดีหญ้านี้อีกต่อไป
โลหิตแดงฉานพวยพุ่งทั่วทุกสารทิศดุจเส้นด้ายอีกครั้ง อาวุธที่เหล่าเงาใช้คล้ายเป็นอาวุธที่ทำขึ้นเองจากหนามพืชแสนแข็งแกร่ง สร้างบาดแผลละเอียดยิ่งนัก โลหิตพุ่งออกมาเป็นสายยาว
ลมทวนกระเพื่อม เงาปีศาจปลิวว่อนรวดเร็ว เสียงตะโกนร้องกับโลหิตแดงฉานกระเซ็นบนโขดหินหลายระลอก สะเทือนจนส่วนกลางของทั้งหุบเขาคล้ายกำลังโคลงเคลง
จิ่งเหิงปัวห้อยสองขาไว้ข้างโขดหิน แกว่งแล้วแกว่งเล่า
นางยังรอคอยอยู่ เสียงตะโกนร้องข้างล่างยังคงเต็มเรี่ยวเต็มแรง
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์สิ้นหวังแล้ว
ร่างกายถูกพิษหมอก ไร้ความหวังหายาถอนพิษ ไร้กำลังพลสนับสนุน พลกล้าตายสำรวจเส้นทาง ศัตรูดุจปีศาจ ผู้บัญชาการหลอกลวง…อุปสรรคทั้งหมดนี้ประหนึ่งรอยแผลที่ทยอยซ้ำเติมบนร่างนี้ทีละแผล แต่ละแผลเป็นบาดแผลสาหัสที่พอจะทำลายความมุ่งมั่นต่อสู้
พวกเขาไม่ได้ต่างคนต่างสู้รบอีกต่อไป กลับรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันแล้วหันหลังชนกัน ตระเตรียมสู้รบจนตัวตายเป็นครั้งสุดท้ายกับเงาบ้าบอฝูงนี้
บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นฟาดกระบี่เพียงครั้ง สะบั้นเงาตรงหน้าลอยออกไปสามจั้ง สายลมกระบี่แบ่งแยกบึงโคลนน้อยเบื้องหน้ากลายเป็นรอยลึกเกือบฉื่อ ร่องรอยมุ่งสู่จุดสิ้นสุดบึงโคลนปานอสนีบาต หินใหญ่ขนาดสองคนโอบข้างบึงโคลนแหลกละเอียดดัง ตู้ม!
จิ่งเหิงปัวที่อยู่บนหน้าผานั่งตัวตรงทันที ดวงตาสว่างวูบ
ยอดฝีมือ!
ฝีมือที่แสดงออกมาเวลาตกอับใกล้ตายแตกต่างจากปกติ!
เสียงตะโกนร้องดังก้องหุบเขา
“ขุนพลยอมต่อสู้ร้อยสงครามสิ้นชีพ ไม่ยอมจมโคลนเลนเคียงคู่ปีศาจ! เหล่าพี่น้อง! พิทักษ์กิตติศัพท์ของเรา! ด้วยความตาย! ด้วยโลหิต!”
“พิทักษ์กิตติศัพท์ของเรา! ด้วยความตาย! ด้วยโลหิต!”
เสียงคำรามสะเทือนจนบึงโคลนคล้ายสั่นเทิ้มเล็กน้อย แตกเป็นรอยร้าวละเอียดนับไม่ถ้วน
กลางหุบเขาเงียบสงัด จากนั้นมีเสียงคนหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ…กิตติศัพท์! กิตติศัพท์ของคั่งหลง! ไม่ได้ยินคำนี้มานานหลายปีแล้ว! เป็นพวกเจ้าจริงด้วย!”
ไม่นึกว่าเสียงนี้จะมาจากตรงกลางเงาฝูงนั้น ยามแรกเริ่มเสียงเฉื่อยชาแข็งกระด้างคล้ายไม่ได้เอ่ยปากนานมากแล้ว ทว่าเอ่ยไปเอ่ยมาแล้วคล่องแคล่ว โดยเฉพาะยามเอ่ยถึงคั่งหลงสองคำนี้ เสียงโหดเ**้ยมดุดัน เต็มไปด้วยไอสังหาร
พอจำแนกเสียงนี้โดยละเอียดนับว่ากังวานไพเราะยิ่งนัก คนเอ่ยวาจาคล้ายอายุไม่มากด้วยซ้ำ
พอเขาเปล่งเสียง เงาเหล่านั้นพลันหยุดชะงัก ผุดเผยเค้าโครงทีละน้อยกลางหมอกเทาเลือนรางพร่ามัว
จิ่งเหิงปัวกลับสูดหายใจ
ตอนนี้เพิ่งจะมองเห็นคนพวกนี้อย่างชัดเจน ไม่ค่อยเหมือนมนุษย์แล้ว ทุกคนซูบผอมเพรียวบางเหมือนแผ่นกระดาษ ผิวพรรณทั่วร่างออกสีเทา เหลือเพียงดวงตายังมีสีดำสีขาว มือยาวเท้ายาว เรียวยาวเหลือเกิน พอเห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นโครงร่างที่เกิดขึ้นจากการอาศัยอยู่ในบึงโคลนเป็นเวลานาน
“ท่าทางพวกเจ้าคล้ายทหารคั่งหลง ซ้ำยังเป็นนายกองบรรดาศักดิ์ด้วย? ฮ่าๆ ไม่นึกว่าจะมีนายกองบรรดาศักดิ์เข้ามารนหาที่ตาย ทำให้ข้ารอคอยแทบแย่!” ผู้เอ่ยวาจายังเป็นผู้นำคนนั้น ท่ามกลางทุกผู้คนเขาคล้ายอ่อนวัยที่สุด การออกเสียงชัดเจนที่สุด สมองโต้ตอบรวดเร็วที่สุด เขาหัวเราะคิกๆ พลางลื่นไถลออกมาจากฝูงเงา ลอยแผ่วเบามาถึงตรงหน้าเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ ยกมือชี้เพียงครั้ง เอ่ยว่า “อืม ลูกน้องเฉิงกูมั่วหรือ?”
แม้คนผู้นี้ตกต่ำถึงเพียงนี้ แต่บุคลิกลักษณะโดยกำเนิดยังคงเหนือกว่าผู้อื่น การชี้ครั้งนั้นโอหังและหยิ่งทระนง คล้ายเป็นท่าทางเคยชินที่ซึมสู่ไขกระดูกตั้งนานแล้ว เหล่านายกองบรรดาศักดิ์เป็นบุคคลที่บัญชาทหารนับพันเช่นกัน พวกเขาถอยหลังก้าวหนึ่งโดยสำนึกภายใต้การชี้ครั้งนี้ของเขา
คนที่ไม่ได้ถอยหลังมีเพียงบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้น ผ้าคลุมหน้าด้ายทองไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงเศษเสี้ยว มือกุมอยู่บนด้ามมีด เสียงฟังแล้วอู้อี้ไม่ชัดเจน เอ่ยว่า “ท่านคือผู้ใด? คล้ายมีความบาดหมางกับคั่งหลงเรา? ไม่ว่าเรื่องเก่าเป็นอย่างไร ลงมือมาเลยดีกว่า!”
“ความบาดหมาง?” คนผู้นั้นทวนวาจาหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “ความบาดหมางหรือ? ฮ่าๆๆ”
เขาพลันเริ่มหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง เสียงหัวเราะไม่พบเจอความโศกเศร้า ทว่าพบเจอความเย็นยะเยือก หมอกหนารอบด้านพลันหมุนวนอย่างรวดเร็ว ฉีกกระชากมั่วซั่วหลายระลอกใหญ่ คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นกำลังฉีกกระชากฟ้าดินอย่างเ**้ยมหาญ เศษหญ้านับมิถ้วนหอบม้วนโคลนเลนพุ่งกลับหัวกลับหางดังซ่า กระแทกบนโขดหินรอบด้าน เฉียดผ่านข้างแก้มของเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ หลงเหลือรอยโลหิตสายหนึ่ง
ยามเขาเดือดดาลคล้ายมีอำนาจแห่งฟ้าดิน เหล่านายกองบรรดาศักดิ์ถอยหลังอีกก้าวหนึ่งอย่างตกตะลึง
“ความบาดหมางหรือ? ไม่ ไม่ ทหารคั่งหลงเช่นพวกเจ้ายังไม่คู่ควรมีความบาดหมางกับข้า” เขาลื่นไถลอย่างถี่กระชั้นหลายก้าว คล้ายผู้ยิ่งใหญ่ก้าวเดินกลางห้องโถงโออ่า แหงนหน้าพลางเอ่ยว่า “เฉิงกูมั่วพอจะนับได้คนหนึ่ง หมิงเฉิงหญิงแพศยานางนั้นนับหรือไม่? อืม ในเมื่อเป็นหญิงแพศยาย่อมไม่นับ กงอิ้นนับได้คนหนึ่ง…อืม กงอิ้นนั่นเอง!”
จิ่งเหิงปัวตกตะลึง
ผ่านมานานขนาดนี้ นางเพิ่งเคยได้ยินคนใช้น้ำเสียงที่หลงระเริงดูหมิ่นขนาดนี้กล่าวถึงกงอิ้นเป็นครั้งแรก
กงอิ้นเป็นเทพเจ้าของต้าฮวง ได้รับการเคารพบูชาจากทุกผู้คน เหยียลี่ว์ฉีมีฐานะทัดเทียมกับเขายังไม่เคยลดคุณค่าของเขาเลย ศัตรูของเขาเกลียดชังหรือริษยาเขา แต่ไม่กล้าเหยียดหยามดูถูกเช่นกัน ด้วยเพราะการดูถูกคู่ต่อสู้แบบนั้นจะพิสูจน์ได้แค่ความโง่เขลาของตนเอง
หนุ่มน้อยคนนี้อายุน้อยด้อยความรู้หรือว่ามีความมั่นใจจริง?
“เจ้าคือผู้ใด” เหล่านายกองบรรดาศักดิ์คล้ายตกตะลึงกับความหยิ่งผยองของคนผู้นี้เช่นกัน ตะโกนถามเสียงดังลั่น
“ไม่รู้จักเหล่าสหายเก่าแล้วหรือ?” เขาหัวเราะฮ่าๆ หันหน้าเอ่ยกับเหล่าเงาข้างหลังว่า “ดูสิ พวกเขาไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”
เหล่าเงานิ่งเงียบไร้เสียง ทว่ามีกลิ่นอายโศกเศร้าหนักหน่วงตลบอบอวลอย่างเงียบเชียบ
“พวกเขาไม่รู้จักพวกเราเสียแล้ว!” เขายังหัวเราะอยู่เช่นเดิม เสียงหัวเราะแหลมสูงมากยิ่งขึ้น เอ่ยว่า “นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปี คนเก่าคนแก่ที่ต่อสู้กันแทบเป็นแทบตาย ไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”
“ศัตรูเก่าที่ต่อสู้กันแทบเป็นแทบตาย ไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”
“เผ่าหวงจินที่เกรียงไกรร่ำรวยทรงเกียรติเผ่านี้ ไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”
“ทั่วทั้งต้าฮวงแห่งนี้ ไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”
“รอให้พวกเราหาคันฉ่องมาส่องสักหน่อย ตัวพวกเราเองอาจไม่รู้จักตนเองแล้ว!”
แหลมสูงมากยิ่งขึ้น เปล่าเปลี่ยวมากยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะแหลมคมสะท้อนทั่วทั้งกลางหุบเขา ประหนึ่งกระบี่แทงทะลุความแค้นเคืองกับความเกลียดชังที่ทับถมมานานหลายปี โขดหินกำลังร่วงกราวดังซ่า หิมะเหินว่อนจากทั่วท้องฟ้าถูกโจมตีแหลกละเอียดอย่างเ**้ยมหาญเหนือหุบเขา
จิ่งเหิงปัวรู้สึกแค่ว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียด ในใจพลอยเกร็งแน่นตามไปด้วย ความไม่พอใจกับความเกลียดชังภายในเสียงนั้นมากมายเหลือเกิน หนักหน่วงดุจโคลนเลนหมื่นจั้งข้างล่างนี้ พาให้คนแบกรับไว้ไม่ไหว
“ยามนั้นหอกของข้า เก็บเกี่ยวชีวิตของพวกเจ้าไปมากเพียงใด พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?” เขากางแขนสองข้างพลางหัวเราะ
“ยามนั้นจูหว่างของพวกเจ้า เคยคิดจะสืบสวนความลับเกี่ยวกับข้านับครั้งไม่ถ้วน พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?” เขาหัวเราะลั่น
“ยามนั้นเฟิงชื่อของพวกเจ้า เคยรวมกลุ่มลอบสังหารข้าสิบสามครั้ง พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?” เขาหัวเราะแสบแก้วหู
“ยามนั้นตุ่นของพวกเจ้า เคยขุดอุโมงค์มาใต้กระโจมขุนพลของข้า พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?”
“ยามนั้นพวกเจ้าพ่ายแพ้ติดต่อกันสามครั้งด้วยเงื้อมมือของข้า พ่ายแพ้จนอกสั่นขวัญแขวน เห็นข้าศึกพลันวิ่งหนี หากมิใช่ด้วยเพราะกงอิ้นพลีชีพขึ้นกำแพงเมืองบัญชาการรบด้วยตนเอง พวกเจ้าคงต้องพ่ายแพ้เป็นครั้งที่สี่ พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?”
“ยามนั้นข้าคว้ากระบี่เหยียบย่ำค่ายใหญ่ของเฉิงกูมั่วยามราตรี นายกองบรรดาศักดิ์สามสิบหกนายจัดกระบวนทัพขัดขวาง สิ้นชีพสิบเอ็ดนาย สุดท้ายข้ายังใช้กระบี่แทงทะลุหน้าอกแต่ละคน ซ้ำยังแทงกระบี่เข้าหน้าอกข้างซ้ายของเฉิงกูมั่ว หากไม่ใช่ด้วยเพราะมีคนทรยศในกองทัพ กงอิ้นใช้กลยุทธ์ไส้ศึกทำให้ข้าล้มเหลวยามสุดท้าย ข้าคงไม่ถูกคนของตนเองทรยศ ถูกจับกุม ถูกทำลายวรยุทธ ถูกยัดเข้าคุกมรณะ ถูกเดินประจานกลางนคร ถูกราษฎรที่ไม่รู้ความจริงด่าสาดเสียเทเสีย ถูกขังในหุบเขาเทียนฮุย…เรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าจำกันไม่ได้แล้ว?!”