เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 25 - 1 เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วหรือ?
จิ่งเหิงปัวมองดูคนตรงหน้าที่มีสีหน้าตกตะลึงแล้วยิ้มอย่างพอใจ
ทหารคั่งหลงไม่ประทับใจนางมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าตอนนี้นายกองบรรดาศักดิ์กลุ่มนี้จะรู้สึกอย่างไร?
โชคดีที่คนเหล่านี้เพียงตกตะลึงเท่านั้น ครู่ต่อมาจึงฟื้นคืนสู่สภาพปกติ อย่างไรเสียไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์บังคับสละอำนาจยามนั้นด้วย นายกองบรรดาศักดิ์ที่ค่อนข้างห่างเหินเพียงอัศจรรย์ใจกับราชินีซึ่งเป็นบุคคลในตำนาน
เฉวียนหนิงเหายังเกิดความปลาบปลื้มหลายส่วน เอ่ยว่า “ข้าน้อยยังจำได้ว่าวันนั้นราชินีเดือดดาลสะบั้นธงข้างล่างกำแพงตี้เกอ จนถึงบัดนี้ตี้เกอเล่าขานไม่หยุดหย่อน คราวนี้พวกข้าน้อยติดตามองค์ราชินี ภายภาคหน้า จะได้สะบั้นธงตี้เกออีกครั้งหนึ่งเป็นแน่แท้!”
“ภายภาคหน้า ข้าอนุญาตให้เจ้าสะบั้นธงขุนพลของเฉิงกูมั่ว วาดอุจจาระบนธงของเขา” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ ก้มหน้ามองข้างล่างหุบเขา จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า “เฉวียนหนิงเหา ติดตามข้าไม่ใช่ไปเสวยสุข ข้าจะเดินบนเส้นทางที่ยากลำบากที่สุดบนโลกใบนี้ บนเส้นทางสายนี้มีการพลีชีพมีความตาย พวกเจ้าอาจติดตามข้าตลอดรอดฝั่งไม่ได้ เจ้ากลัวหรือไม่?”
“ขุนพลยากหลีกเลี่ยงการสิ้นชีพบนสนามรบ” เฉวียนหนิงเหาเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้เพียงน้อยว่า “เรื่องความเป็นความตาย ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว!”
“ยามนี้ข้าจะมอบเรื่องสะใจยิ่งนักให้เจ้ากระทำเรื่องหนึ่ง ทว่าต่อมาจะเป็นเรื่องลำบากใจเรื่องหนึ่ง เสร็จสิ้นสองเรื่องแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะติดตามข้าหรือไม่” จิ่งเหิงปัวหยิบใบหญ้าสีดำนั่นในกระเป๋าสะพายหลังให้ทุกคนดู กล่าวว่า “ให้เวลาพวกเจ้าครึ่งชั่วยาม จงไปเด็ดยอดหญ้าชนิดนี้ให้ข้าจนสิ้น ขอเพียงพวกเจ้ามองเห็น อย่าให้เหลือแม้แต่เพียงต้นเดียว ระหว่างทางหากพบเจอเผยซูกับลูกน้องเขาขัดขวาง พวกเจ้าจำไว้ พยายามเข้าใกล้สถานที่ที่มีตะไคร่น้ำสีฟ้าอ่อนก็พอ พวกเขาย่อมหลบหลีกเอง”
“ข้าน้อยถามได้หรือไม่ว่าด้วยเพราะเหตุใด”
“พวกเผยซูอยู่รอดในหุบเขานานหลายปี น่าจะอาศัยยาถอนพิษในหุบเขานี้ดำรงชีวิต ทว่าอย่างไรเสียที่นี่เป็นหุบเขาพิษ สรรพสิ่งร่วมเกิดร่วมข่ม จนกระทั่งภายหลังพวกเขาขาดสมุนไพรในหุบเขาไม่ได้อีกแล้ว ออกจากหุบเขาเทียนฮุยไม่ได้อีกแล้ว พวกเขาอยู่ในหุบเขาแลคล้ายอิสระ แท้จริงแล้วถูกจำกัดมากกว่าพวกเจ้าคนที่เพิ่งเข้าหุบเขาเหล่านี้มากหลาย เช่น ตะไคร่น้ำสีฟ้าอ่อนนั้น พวกเจ้ายังไม่ถึงขนาดได้รับผลกระทบมากเกินไป ทว่าพวกเขาไม่อาจเข้าใกล้ด้วยซ้ำด้วยเพราะกินหญ้าสีดำนั้นเข้าไปมาก ฉะนั้นขอเพียงกุมจุดอ่อนของพวกเขาไว้ เอาชนะได้ง่ายดายนัก ยามนี้ ข้าให้พวกเจ้าไปจัดการพวกเขารอบหนึ่ง!”
“รับบัญชา!”
เสียงนี้ตอบได้เริงร่าสาแก่ใจ จิ่งเหิงปัวหัวเราะ คิดว่านายกองบรรดาศักดิ์โชคร้ายฝูงนี้ถูกเผยซูทำร้ายมามากพอแล้ว ควรแก้แค้นเจ้าคนเย่อหยิ่งทะนงตนคนนั้นบ้าง
ผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งหุบเขามีเสียงร้องตะโกนโกรธแค้นแว่วมาอย่างที่คิดไว้ เผยซูกับลูกน้องของเขารู้ตัวแล้วว่าเหล่านายกองบรรดาศักดิ์กำลังถอนหญ้าช่วยชีวิตของพวกเขา
“ข้าปล่อยพวกเจ้าไป พวกเจ้ายังกล้ายั่วโทสะข้า!” เสียงตวาดของเผยซูดังก้องหุบเขา จิ่งเหิงปัวยกขาไขว่ห้างนั่งฟัง ในใจคิดว่าเรี่ยวแรงแกร่งกล้าเหลือเกิน วรยุทธ์เก่งกาจ เสียงดังฟังชัด ควรจัดให้เขาเป็นอะไรดีล่ะ? ขันทีสนองพระโอษฐ์?
หมอกหนาถูกปราณแท้ที่ไหลเวียนก่อกวน เสียงลมอาวุธสาดซัดดุจลมเมฆพลิ้วไหว พอครบกำหนดครึ่งชั่วยาม เหล่านายกองบรรดาศักดิ์กลับมาได้ตรงเวลา ทุกคนต่างแบกกระเป๋าใหญ่ใบหนึ่ง ข้างในเป็นยอดหญ้าชนิดนั้นทั้งสิ้น ดูจากปริมาณนั้น ยามนี้หญ้าชนิดนั้นทั่วทั้งหุบเขาคงอยู่ในกระเป๋าสะพายหลังของพวกเขาหมดแล้ว
จิ่งเหิงปัวพอใจอย่างยิ่ง กล่าวเสียงดังว่า “จัดการได้สะใจหรือไม่!”
“สะใจ!”
จิ่งเหิงปัวสะบัดมือเพียงครั้ง ร้องว่า “ไป!”
ทหารแตกต่างจากคนธรรมดาโดยแท้ ไม่มีคนซักถามสงสัย เพียงแต่สะพายกระเป๋าตามนางลงข้างล่าง
ข้างหลังมีเงาผีสีเทาไล่ตามไม่ลดละ เสียงก่นด่าของเผยซูเริ่มจากตัวเหล่านายกองบรรดาศักดิ์เองลามไปยันอาม่าของพวกเขาแล้ว เหล่านายกองบรรดาศักดิ์ทำตนเสมือนไม่ได้ยิน
เสียงด่าพลันหายไปแล้ว ลมหายใจหนาวเย็นประชิดใกล้หลังคอจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวไม่หันหลังด้วยซ้ำ นางหยิบสมุนไพรนั้นออกมาจากในกระเป๋าสะพายหลังกำหนึ่ง ก่อนคว้าไว้ในฝ่ามือ แล้วหัวเราะคิกๆ กล่าวว่า “เผยซู หากเจ้ากล้าลงมือทำร้ายข้า ข้าจะสั่งให้ทุกคนทำลายสมุนไพรช่วยชีวิตนี้ของพวกเจ้าโดยพลัน ของสิ่งนี้คงไม่เติบโตง่ายขนาดนั้นกระมัง? รอให้งอกออกมาใหม่สักต้น พวกเจ้าคงตายสนิทกันหมดแล้ว?”
ลมหายใจเย็นเยียบสูญสลายโดยพลัน เสียงก่นด่าของเผยซูพลันดังขึ้นเหนือศีรษะ
“ไอ้สารเลว! เจ้าต้องการอะไรกันแน่!”
“ข้าต้องการเจ้า!”
พอเปล่งเสียงหนึ่งทุกคนตกตะลึง พวกเผยซูยังไม่เป็นไร เพียงแต่ประหลาดใจเท่านั้น แต่พวกเฉวียนหนิงเหาถึงกับโซเซครั้งหนึ่ง
เล่ากันว่าราชินีกล้าหาญ ไม่มีกล้าหาญที่สุด มีเพียงกล้าหาญยิ่งกว่า
“ต้องการข้า?” เผยซูชะงักงัน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะนั้นคล้ายเจือด้วยเสียงโลหะ สะเทือนจนโขดหินคล้ายกำลังสั่นเทิ้มเล็กน้อย
“เจ้าต้องการไหวหรือ?” เขาเอ่ยด้วยเสียงถากถางว่า “อาศัยสิ่งใด?”
“อาศัยว่าข้าถอนสมุนไพรช่วยชีวิตของพวกเจ้าจนเกลี้ยง อาศัยว่าเจ้าไล่ตามข้าไม่ทันทั้งชาติ!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวว่า “เผยซู นับแต่นี้ไปเจ้าคงได้แต่ตามเก็บสมุนไพรข้างหลังข้าแล้ว!”
“สามหาว!” เสียงของเผยซูดังก้องทั่วหุบเขาว่า “เหล่าชายฉกรรจ์ สังหารนายกองสวะฝูงนั้นให้สิ้น! หากวันนี้หนีรอดไปได้แม้เพียงคนเดียว ทุกคนต้องตาย!”
“เฉวียนหนิงเหา!” จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงดังว่า “วันนี้ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าชนะ ไม่ต้องการให้พวกเจ้าเหยียบย่ำหุบเขาแห่งนี้จนราบคาบ ข้าเพียงต้องการให้พวกเจ้านำสมุนไพรเหล่านี้พุ่งสู่ปากหุบเขา ส่วนเรื่องราวต่อจากนี้ข้าจัดการเอง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ พวกเจ้าทำได้หรือไม่!”
“แม้ตายต้องทำให้ได้!”
“เช่นนั้นจงเริ่มเถิด! ข้าขวางเผยซูไว้เอง พวกเจ้าคิดเพียงหลบหนี!”
“ไอ้สารเลว! ไอ้สารเลว! วันนี้หากข้าสังหารเจ้าไม่ได้ข้ายอมไม่ใช้แซ่เผย!”
“เจ้าใช้แซ่จิ่งได้นะ ให้นามว่าเซ่อ!”
เสียงหัวเราะลั่นตามมาด้วยเงาคนทะยาน จิ่งเหิงปัวกะพริบวูบปรากฏตัวห่างออกไปหลายจั้งแล้ว ข้างหลังนาง เผยซูตามติดแนบแน่นดุจหนอนแมลงวันตรงกระดูกข้อเท้า
การวิ่งตะบึงในหุบเขาได้เริ่มต้นขึ้น
ฝั่งหนึ่งคือการประชันท่าร่างลึกลับคาดเดาไม่ได้ของจิ่งเหิงปัวกับเผยซู อีกฝั่งหนึ่งคือการประลองอีกครั้งหลังห่างเหินสนามรบมานานหลายปีของเหล่านายกองบรรดาศักดิ์กับเหล่าลูกน้องของเผยซู
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์โยนของหนักทั้งหมดบนร่างทิ้งเป็นอย่างแรก รวมทั้งสมุนไพรหายากล้ำค่าที่รวบรวมมาก่อนหน้านี้ด้วย พวกเขาประกอบเป็นกระบวนทัพยามเหินผ่าน บางคนยอมสกัดกั้นท้ายขบวน บางคนรั้งท้ายพลันหันกายขวางศัตรู ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้ตนเองกลายเป็นภาระของกองทัพ
นี่เป็นการทดสอบครั้งแรกหลังสวามิภักดิ์เจ้านายใหม่ ต้องทำให้ได้!
แตกต่างจากฝ่ายหลังที่ไล่ล่าจนโคลนเลนกระเซ็นดินเหนียวใบหญ้าเหินว่อนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน การไล่ตามของจิ่งเหิงปัวกับเผยซูดูท่าทางคล้ายเงียบสงบ พอกะพริบตาก็อยู่ตรงนี้ พอกะพริบตาก็ไปอยู่ตรงนั้น ด้วยเพราะนัยน์ตาจับภาพวงโคจรการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้แล้ว จับภาพได้เพียงยามที่พวกเขาเคลื่อนไหว จนทำให้เงาสองเงานั้นคล้ายหมากสำคัญสองตัวที่สร้างความอัศจรรย์บนกระดานหมากรุก มักวางบนตำแหน่งที่ไม่อาจคาดเดา
จิ่งเหิงปัวจำเป็นต้องชื่นชมท่าร่างของเผยซู เก่งกว่าเทียนชี่ตั้งหลายขั้น การหายตัวของนางค่อนข้างเหนือกว่าวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในต้าฮวงแห่งนี้ แต่ยังสลัดเผยซูไม่ได้โดยสิ้นเชิง อาจเป็นเพราะลางสังหรณ์น่ากลัวที่ฝึกฝนจากสภาพแวดล้อมเลวร้าย ทั้งที่เวลาหายตัวไม่อาจแน่ใจได้ว่าก้าวต่อไปนางจะอยู่ที่ไหน แต่เขาสังเกตเห็นได้อยู่ดี ไล่ตามห่างกันแค่ก้าวเดียว
จิ่งเหิงปัวแทบจะนึกว่าเขาหายตัวได้เหมือนกันแล้ว
นางใช้เวลาอยู่ในหุบเขานานแล้ว แม้เวลาส่วนใหญ่จะเดินบนไหล่เขาที่หมอกพิษเบาบาง ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย แต่ถึงตอนนี้น่าจะพอได้แล้ว จะจัดการต้องเร่งมือหน่อย
นางกำลังหายตัว หายตัวไปพลางหัวเราะฮ่าๆ ไปพลาง
“เผยซู เจ้าไม่อยากออกจากหุบเขาจริงหรือ น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วหรือ?”
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? ศัตรูเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าผู้อื่นใช้ชีวิตกันอย่างไร? ไม่อยากรู้หรือว่าพอขาดเจ้าแล้ว บนโลกนี้ยังเป็นเฉกเช่นแต่ก่อนหรือไม่?”
“เจ้าไม่อยากหวนคืนยามก่อน ใช้ชีวิตสุขสันต์ที่ทุกคนศรัทธาทั่วหล้าติดตามเสพสุขเกียรติศักดิ์เช่นนั้นหรือ? ไม่อยากให้ผู้คนเรียกเจ้าว่าขุนพลน้อยอีกครั้งหนึ่งหรือ? ไม่อยากนำทัพนับพันนับหมื่น ใช้ชั่วชีวิตทำสงครามบนหลังม้าที่เจ้าโปรดปรานที่สุดต่อไปหรือ?”
“หุบปาก!” เสียงตะโกนบ้าคลั่งดังอยู่หลังศีรษะ เสียงของเผยซูฟังคล้ายอยากเขมือบนางแล้ว เอ่ยว่า “ไม่อยากๆๆ! เจ้าหุบปากประเดี๋ยวนี้!”
คนถูกแทงใจดำก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น จิ่งเหิงปัวยักไหล่ ปากกับฝ่าเท้าไม่หยุดนิ่ง
“เผยซู โลกภายนอกหุบเขาคึกคักมากขึ้นแล้ว”
“หุบปาก!”
“เผยซู ผู้คนนอกหุบเขาไม่ได้รู้สึกผิดปกติด้วยเพราะขาดเจ้าเลย พวกเขาอยู่ดีกินดี ร้องเล่นเต้นรํา ยามนี้ทุกครอบครัวคงล้อมเตาไฟกินมื้อค่ำก่อนปีใหม่ พวกเขาคงไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ได้แต่มองท้องฟ้าสีเทา กินวัชพืช กินเนื้อดิบ ห่มโคลนเลนในหุบเขาเทียนฮุยเป็นอย่างไร พวกเขาคงจำไม่ได้ว่าเผยซูที่เคยปกป้องพวกเขาคือผู้ใด บางครั้งเมื่อถูกผู้อื่นทักขึ้นมา ก็ยังคิดอยู่เนิ่นนาน แล้วคงร้องโอ้ แล้วเอ่ยว่าโอ้ ไอ้โง่นั่นอย่างไร”
“หุบปาก!”
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์กัดฟันกรอด…เหตุใดตี้เกอไม่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความปากร้ายของราชินี? นี่มันชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
“เผยซู เหล่าศัตรูของเจ้าใช้ชีวิตสุขสบายยิ่งนัก กงอิ้นใกล้จะเป็นจักรพรรดิ หมิงเฉิงกลับมาเป็นราชินีอีกครั้ง เฉิงกูมั่วตบแต่งอนุภรรยาคนที่เจ็ดกำลังสืบต่อวงศ์ตระกูล จินจ้าวหลงมีสนมโปรดคนใหม่ เมื่อวานยังโอบเอวนางชมระบำงดงามอยู่เลย อิงไป๋หล่อมากยิ่งขึ้น แต่ไหนแต่ไรนอนกับสตรีที่ตี้เกอไม่ต้องจ่ายเงินซ้ำยังได้เงินด้วย ไม่ได้เอาแต่นอนกลางโคลนเลนหันหน้าหาพระจันทร์ลูบคลำตนเอง เห่าหอนแสร้งเป็นมนุษย์หมาป่าทุกคืนเฉกเช่นเจ้า แม้แต่ขุนพลของคั่งหลงยังใช้ชีวิตสุขสบายกว่าเจ้า เจ้าดูสิเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ก็อ้วนกว่าเจ้าอีก”
“หุบปาก!”
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์กุมหน้าไว้…ติดตามเจ้านายเช่นนี้ก็ดีจริงหรือ!
เหล่าลูกน้องของเผยซูชะงักงัน ฝีเท้าหยุดนิ่ง มีบางคนเริ่มร้องไห้ออกมา
“เผยซู ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่แค้น ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่อยากออกไป เจ้าคือขุนพลน้อยหลงเฉิง เจ้าคือหยกขาวแกนทองคำ เล่ากันว่าเจ้าควบอาชาด้วยอิสระ ยิ้มเยาะต้าฮวง คนเช่นเจ้านี้จะซ่อนอยู่ในหุบเขาเทียนฮุยไม่กล้าออกไปแม้เพียงก้าวเดียว มองท้องฟ้าสีเทาทั้งชาติ กินหญ้าสีดำ นอนกับโคลนเลนเน่าเหม็น หลังสิ้นชีพแล้วไม่ต้องขุดหลุมด้วยซ้ำ โยนลงโคลนเลนกลายเป็นปุ๋ยบึงโคลนเพียงด้วยเพราะกลัวตายได้อย่างไร? อาๆๆ เผยซู เจ้าก็หน้าไม่อายเสียจริง เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเช่นนี้? เจ้าอยากให้กงอิ้นขำแทบตายหรือ? อยากให้หมิงเฉิงขำแทบตายหรือ? อยากให้อิงไป๋ขำแทบตายหรือ? อยากให้จินจ้าวหลงขำแทบตายหรือ? หากพวกเขารู้ว่าเจ้าเป็นเช่นนี้คงขำแทบตายเป็นแน่แท้ กงอิ้นคงรู้สึกว่าถูกหยาม คนเช่นเจ้านี้คู่ควรให้เขาเคยใช้ความคิดได้อย่างไร? หมิงเฉิงคงรู้สึกว่าถูกหยาม คนเช่นเจ้านี้เหตุใดนางถึงเคยรู้สึกว่าเจ้าหล่อ? อิงไป๋คงรู้สึกว่าถูกหยาม คนเช่นเจ้านี้คู่ควรเรืองนามเคียงคู่เขาได้อย่างไร? จินจ้าวหลงคงรู้สึกว่าถูกหยาม คนเช่นเจ้านี้ทำให้เขาใช้ความคิดมากมายใส่ร้ายได้อย่างไร…”
“หุบปาก!”
เสียงตะโกนร้องพอจะพลิกคว่ำหุบเขาแห่งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกกระทั่งว่ากระแสอากาศที่เผยซูตะโกนไล่หลังหอบม้วนผมของนาง
ถ้าตอนนี้มีเข็มสักเล่ม นางคาดว่าจิ้มแผ่วเบาครั้งหนึ่ง เผยซูคงระเบิดแล้ว