เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 25 - 3 เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วหรือ?
เงาร่างกะพริบวูบ เขาพุ่งสู่กลางคนสิบกว่าคนนั้นแล้ว เงาสีเทาเวียนวนสองรอบปานควันไฟไอน้ำ ทหารองครักษ์เหล่านั้นวิงเวียนแล้ว บางคนอยากขยี้ตา มือยังไม่ได้ยกขึ้นมาพลันเปล่งเสียงร้องโหยหวน…มือหายไปโดยพลัน โลหิตกระเซ็นเหินสู่ท้องฟ้า
เหล่าลูกน้องของเผยซูพุ่งออกมาประหนึ่งภูตพราย คนเหล่านี้ยืนไถลบนพื้นราบครู่เดียว พอทะเลาะวิวาทพลันฟื้นคืนความสมดุล เงาสีเทาขวักไขว่ แสงโลหิตเหาะเหิน เสียงโหยหวนไม่หยุดยั้ง ไอสังหารทั่วสารทิศ ฉากสังหารกลางหุบเขาเทียนฮุยเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผู้โชคร้ายคือทหารองครักษ์ฝูงนี้ แทบเพียงชั่วลมหายใจไม่กี่เฮือก คนกลุ่มนั้นกลายเป็นซากศพสะเปะสะปะ จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้เดินออกจากปากหุบเขา ฝ่าเท้าสัมผัสโลหิตแดงฉานที่ไหลทะลักทั่วพื้น
นางกะพริบตา…โหดเ**้ยม โหดเ**้ยมเหลือเกิน ตัวคนกลุ่มนี้เองเป็นขุนพลเ**้ยมหาญมาก่อน ซ้ำยังถูกกลั่นแกล้งทุกข์ทรมาน พอลงมือจึงไม่เหลือทางหนีทีไล่ ไอสังหารสะเทือนฟ้า
นางเท้าคางอยู่ คิดว่ากองทัพแบบนี้นำทัพยากแฮะ ดื้อรั้นเกินไป ต้องทำลายความฮึกเหิมอย่างแรงเสียก่อนถึงใช้ได้
จากนั้นมองดูนายกองบรรดาศักดิ์ แต่ละคนแววตาสว่างไสว ท่าทางหวังลองด้วย รู้สึกทันทีว่าปวดศีรษะ
คนสองค่ายนี้คล้ายเป็นศัตรูกันด้วย…
สิบกว่าคนไม่พอให้เผยซูสังหาร หลังจากนั้นชั่วครู่เขาเดินไปเดินมากลางกองศพ เท้าซ้ายเตะครั้งหนึ่ง เท้าขวาเตะครั้งหนึ่ง คล้ายยังอยากเตะให้คืนชีพสักศพ ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกสามพันรอบ
จิ่งเหิงปัวก้าวมาข้างหน้า ตบไหล่เผยซู กล่าวว่า “ไปกับข้าเถิด ข้าจะพยายามทำให้พวกเจ้าออกจากหุบเขาเทียนฮุยแล้วอยู่รอดต่อไปได้ ข้าจะทำให้เจ้าฟื้นคืนสภาพเดิม ข้าจะทำให้เจ้ากลับมาเป็นหยกขาวแกนทองคำ ขุนพลน้อยหลงเฉิง ไม่ ไม่ใช่หยกขาวแกนทองคำ เป็นแกนทองคำหยกขาว!”
เผยซูสะบัดหัวไหล่ ปัดมือของนางออกไป
“ในเมื่อออกนอกหุบเขาแล้ว ข้าย่อมไม่กลับไปอีกครั้ง ทว่าอย่านึกว่าข้าจะยอมเป็นสุนัขรับใช้ให้เจ้า อย่านึกว่าข้ายังจะหลงกลเจ้า ข้าคิดออกแล้ว ไม่มียาถอนพิษไม่เป็นไร ข้าจะพาเหล่าพี่น้องใช้เวลาอิสระไม่กี่วันเป็นครั้งสุดท้าย และถือโอกาสสังหารเจ้าพวกที่ทำร้ายพวกเราเหล่านั้นจนสิ้นให้สมกับความลำบากหลายปีนี้ แม้สิ้นชีพต้องสิ้นชีพให้สบายใจ!” เขาพลันหันกาย คว้าอาภรณ์ตรงหน้าอกของจิ่งเหิงปัวไว้ ตะคอกอย่างรุนแรงว่า “ข้าต้องการค่าเดินทาง เอาเงินมา!”
“หยุดนะ!” เฉวียนหนิงเหาพุ่งมาข้างหน้า จิ่งเหิงปัวโบกมือ
“ไม่ยอมสินะ?” นางยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เช่นนั้นลาก่อนนะ เจ้าไม่ต้องคว้าข้าไว้แล้ว ข้ามอบยาถอนพิษให้เจ้า เจ้าปล่อยข้าไป พวกเราจากกันด้วยดี”
ทว่าเผยซูชะงัก หรี่ดวงตางดงามขึ้น
“เจ้าจะยอมมอบยาถอนพิษให้ข้าหรือ?”
“ซ้ำยังแถมผลผลิตล้ำค่าบางส่วนของหุบเขาเทียนฮุยให้เจ้านำไปแลกค่าเดินทางด้วย” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มและสะบัดมือของเขาออก กล่าวว่า “แน่ะ ศัตรูของเจ้าอยู่ไกลโพ้นทั้งนั้นเลย จะไม่ให้ค่าเดินทางได้อย่างไร? จินจ้าวหลงอยู่เป่ยซิน เหล่าขุนนางที่ใส่ร้ายเจ้ายามนั้นอยู่เทียนหลินเมืองหลวงเผ่าหวงจิน หมิงเฉิง เฉิงกูมั่วและกงอิ้นอยู่ตี้เกอ อย่าลืมไปตามหาทีละคนนะ จุ๊บๆ”
“เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วหรือ?” เผยซูถามอย่างไม่อยากเชื่อ
ท่ามกลางฝูงชนมีคนหลุดปากดังพรืด
จิ่งเหิงปัวเกาคาง…พวกเย่อหยิ่งหลงตัวเองน่ะ คนไหนตามใจเจ้าคนนั้นโคตรโง่
“แม้ว่าเจ้าจะไม่เลวนัก” นางตบไหล่เผยซู กล่าวว่า “ทว่าไม่ใช่ว่าข้าขาดเจ้าไม่ได้เช่นกัน เจ้าดูสิ นิสัยเจ้าควบคุมยากขนาดนี้ สันโดษเอาแต่ใจหุนหันพลันแล่นไม่เข้าพวก ซ้ำยังเป็นศัตรูเก่ากับเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ อีกทั้งความคิดกระด้างกระเดื่อง หากข้าต้องการเจ้า ทุ่มเทความคิดหายาถอนพิษเอยฟื้นคืนสภาพเดิมเอยเลี้ยงดูเอยเพื่อเจ้า ยามสุดท้ายพอเจ้าอารมณ์แปรปรวนขึ้นมาอาจสลัดข้าทิ้งไปเลย ความพยายามของข้าไม่ใช่ว่าเสียแรงเปล่าหรือ? ต่อให้เจ้าไม่ทิ้งข้า แต่หากทะเลาะวิวาทไม่เชื่อฟังทุกวันข้าคงปวดศีรษะ ยิ่งกว่านั้นทางข้านี้มีลูกน้องยอดฝีมือล้นหลาม กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ดูไม่คุ้มที่จะลงทุนหนักขนาดนี้เพื่อเจ้าคนเดียว ไม่ว่ากระทำเรื่องใด ผลประโยชน์ต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายถูกต้องหรือไม่? เจ้ามีประโยชน์ต่อข้าไม่มาก ทว่าข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจให้เจ้ามากกว่าผู้อื่น เห็นข้าโง่หรืออย่างไรกัน?”
“นี่เจ้ากำลังยั่วยุอยู่กระมัง?” เผยซูพลันไม่โกรธอีกแล้ว พินิจนางอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “สตรีเป็นพวกเข้าใจยาก วาจากองพะเนินของเจ้านี้เป็นวาจาตรงกันข้ามอย่างชัดเจน ทั้งที่เจ้าต้องการข้ายิ่งนัก อยากได้ข้ายิ่งนัก”
“เอ๊ะ เจ้ารู้ว่าข้าเป็นสตรีได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวมองเสื้อผ้ากับผ้าคลุมหน้ามิดชิดแน่นหนาของตัวเอง ก่อนจะมองเจ้าคนนี้ด้วยแววตาประหลาดใจอย่างยิ่ง
“คว้าอาภรณ์เจ้าไว้ย่อมรู้แล้ว หน้าอกถูกพันไว้” เผยซูเอ่ยอย่างไม่สนใจไยดีว่า “หากเรื่องแค่นี้ยังมองไม่ออก ข้าก็คงไม่คู่ควรนามว่าเผยซู!”
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์กำอาวุธแน่น รอให้ราชินีโมโหจนถึงขีดสุด พวกเขาย่อมควรลงมือด้วยความจงรักภักดีแล้ว
ลูกน้องของเผยซูเรียงแถวพร้อมรบ
“อ้อ เช่นนี้เอง” จิ่งเหิงปัวพยักหน้า กล่าวว่า “เจ้ารู้สึกว่าพันไว้เป็นอย่างไรล่ะ? รัดแน่นไม่พอ? ถูกพบได้ง่ายนักหรือ?”
นายกองบรรดาศักดิ์นิ่งเงียบ “…”
ลูกน้องของเผยซูนิ่งเงียบ “…”
“ไม่ใช่พันไว้ไม่แน่น” สายตาของเผยซูกลอกกลิ้ง เอ่ยว่า “เรือนร่างของเจ้างดงามเกินไป หน้าอกอิ่มเอิบเกินไป แม้พันไว้แล้วมองไม่ออก แต่สัมผัสเล็กน้อยย่อมชัดแจ้งแล้ว”
“แน่นอนอยู่แล้ว! ขนาดหน้าอกของพี่ยิ่งใหญ่ไม่อาจต้านทาน!” จิ่งเหิงปัวยืดอกอย่างภูมิใจ
“เป็นเช่นนั้น” เผยซูยากจะรู้สึกเห็นด้วยกับวาจาของนาง
“ทว่ายังมีวิธีใดปิดบังได้แม้แต่พิรุธนี้หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวรับฟังความคิดเห็น
“อาจมีอยู่วิธีหนึ่ง…” เผยซูลูบคาง
นายกองบรรดาศักดิ์นิ่งเงียบ “…”
ลูกน้องของเผยซูนิ่งเงียบ “…”
หลังจากนั้นชั่วครู่ เหล่าศัตรูคู่แค้นมองกันและกันปราดเดียว ก่อนจะลากอาวุธเดินไปฝั่งหนึ่งด้วยกันแล้ว
แท้จริงแล้วความไร้ยางอายมากพอถึงเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของผู้อยู่เบื้องบนผู้ยิ่งใหญ่…
เมื่อร่วมหารือเรื่องขนาดหน้าอกเสร็จแล้ว หัวข้อสนทนาก็กลับคืนสู่ปกติอีกครั้ง
“จริงนะ ข้าไม่ฝืนใจเจ้า” จิ่งเหิงปัวเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ข้าขอเพียงเจ้าอย่าเป็นศัตรูกับข้าก็พอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราบ๊ายบาย ขอให้โชคดี หวังว่าไม่กี่วันต่อมาจะได้ยินข่าวจินจ้าวหลงถูกสังหาร ลาก่อนนะ จุ๊บๆ”
“หยุดนะ” เผยซูคว้าแขนเสื้อของนางไว้ เอ่ยว่า “ทางเจ้านั้นมียอดฝีมือล้นหลามจริงหรือ?”
“เหลวไหล”
“ทุกคนแข็งแกร่งกว่าข้าหรือ?”
“โอ๊ย เจ้าจะแยกทางกับข้าแล้วจะถามมากขนาดนั้นด้วยเหตุใด”
“ข้าไม่เชื่อ นอกจากอิงไป๋ที่เป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ ข้าก็ไม่เชื่อว่ายังมียอดฝีมือกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่ง เจ้ากำลังหลอกข้าเป็นแน่”
“หากข้าหลอกเจ้าแล้วอย่างไร เจ้าจะกัดข้าหรือ? พวกเราจะแยกทางกันแล้ว อย่าจุกจิกขนาดนี้ได้หรือไม่?”
“ไม่ได้ ข้าจะพนันกับเจ้า”
“พนันสิ่งใด?”
“ข้าติดตามเจ้าไปก่อน เจ้าให้ยอดฝีมือเหล่านั้นประลองฝีมือกับข้า หากทำให้ข้าแพ้ได้จริง ไม่ เสมอกันพอแล้ว หากมียอดฝีมือห้าคนเสมอกันกับข้าได้ ข้าจะติดตามเจ้า!”
“ผู้ใดต้องการให้เจ้าติดตามข้า? มองปราดเดียวรู้เลยว่าเจ้าราศีกันย์! ปรนนิบัติไม่ไหว ลาก่อน!”
“ไม่ได้ ต้องพนัน”
“พี่ไม่ต้องการเจ้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้ ข้าราศีกันย์”
“แม่งเอ๊ย ราศีกันย์ไม่น่ายั่วยุจริงด้วย! โคตรน่ารำคาญเลย พนันก็ได้!”
“เช่นนั้นตกลงตามนี้ แพ้พนันแล้วเจ้าต้องแก้พิษรักษาหน้าให้ข้าข้ายังต้องกลับมาเป็นขุนพลน้อยสังหารคนที่สมควรตายให้สิ้นซาก”
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าข้าเสียเปรียบยิ่งนัก…ไม่ได้ แก้ไขกติกาหน่อย”
“อย่างไร?”
“ข้าส่งยอดฝีมือสิบคนพนันกับเจ้า สิบครั้ง ชนะทั้งสิบครั้งถึงนับว่าข้าชนะ ชนะแล้วภายหลังเจ้าต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง ข้าแพ้สักครั้งเจ้าจงไสหัวไปเองเถิด จุ๊บๆ”
“เจ้ากำลังเหยียดหยามข้า!”
“ข้าเพียงอยากแยกจากเจ้าน่ะที่รัก”
“พนันโว้ย!”
“ตกลง!”
…
หนึ่งเค่อต่อมา ฝูงชนปรากฏกายภายในขอบเขตสายตาของจิ่งเหิงปัว
แต่เดิมทหารองครักษ์ของจวนเจ้าเมืองกับทหารจินหลินของเผ่าหวงจินหลบหนีการทะเลาะเบาะแว้งของทางนายน้อยรองเซวียนหยวนนั้น เดินไปเดินมาบริเวณปากหุบเขา รอคอยเข้าหุบเขาตักตวงทุกเวลา ได้ยินปากหุบเขาเกิดความผิดปกติ พากันกรูเข้ามา
จำนวนคนมากมาย หลายร้อยคนคลาคล่ำล้อมเป็นกลุ่มหนึ่ง มองดูพวกจิ่งเหิงปัวที่ออกจากปากหุบเขา กระเป๋าสะพายหลังเต็มแน่น สายตาเขียวคล้ำแล้ว
“สถานการณ์ข้างในเป็นเช่นไรบ้าง สิ่งที่ควรหาเจอหาเจอหมดแล้วหรือ สิ่งที่ควรจัดการจัดการหมดแล้วหรือ” คนนำหน้าเป็นรองขุนพลทหารจินหลินนายหนึ่ง ถามนายกองบรรดาศักดิ์ด้วยเสียงกระด้างแหบห้าว
เฉวียนหนิงเหาหิ้วกระเป๋าสะพายหลังขึ้น หัวเราะ ไม่สนใจเขา
ขุนพลนายนั้นถูกปฏิเสธทางอ้อม รู้สึกเสียหน้าจนทนไม่ได้ เริ่มตะคอกด้วยความโมโหจนถึงขีดสุดโดยพลัน
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ! ไม่รู้จักตอบหรือ?”
ทหารจินหลินรอบด้านมีสีหน้าเย็นชาก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง
เดิมทีตำแหน่งของนายกองบรรดาศักดิ์เหนือกว่าราชองครักษ์ชนเผ่าเหล่านี้ ปกติแล้วคนเหล่านี้ย่อมไม่กล้าข้ามขั้น ทว่าปัญหาคือทุกผู้คนแต่งกายไม่แตกต่างกันมาก เครื่องหมายที่ผูกไว้บนแขนร่วงหล่นหรือเปรอะเปื้อนตั้งแต่ยามปีนป่ายต่อสู้ในโคลนเลนแล้ว ในใจทหารจินหลินกับองครักษ์จวนเจ้าเมืองเหล่านี้ นายกองบรรดาศักดิ์ที่สำรวจเส้นทางกลุ่มแรกคงสิ้นชีพหมดแล้วแน่แท้ นี่คือทหารคั่งหลงค่ายเจ็ดสีที่เข้าไปเป็นกลุ่มที่สอง พวกเขาย่อมวางท่าสั่งการได้
อีกทั้งทุกคนคิดดูแล้ว คนเหล่านี้อยู่ในหุบเขานานขนาดนี้เพิ่งได้ออกมา คราบโลหิตบนร่างลายพร้อย น่าจะผ่านการต่อสู้ดุเดือด ยามนี้กำลังอ่อนล้าถึงขีดสุด มองเห็นกระเป๋าสะพายหลังนั้นตุงนูน ไม่ฉวยโอกาสตักตวงยามนี้แล้วจะรอยามใด?
รองขุนพลนายนั้นรับหน้าที่นำทัพเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ได้ เขาย่อมไม่ใช่พวกบุ่มบ่าม เขาหรี่ตาพินิจสภาพการณ์ตรงหน้าเล็กน้อย ทางปากหุบเขานี้มีคนหลายสิบคนยืนอยู่โหรงเหรง นายกองบรรดาศักดิ์ทางเฉวียนหนิงเหานี้ย่ำแย่ทุกนาย ส่วนพวกเผยซู รองขุนพลนายนั้นคงนึกไม่ถึงเลยว่าในหุบเขาจะมีคนอยู่รอดได้ ซ้ำยังนึกว่าเป็นทหารคั่งหลงที่เปื้อนโคลนทั่วร่างยามอยู่ในหุบเขา ดูท่าทางน่าเวทนาเช่นนี้ น่าจะไม่มีแรงต่อสู้กระไรเช่นกัน
พอคิดเช่นนี้ ความกล้าหาญท่วมท้น เขายิ้มเยาะพลางก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง บอกใบ้ให้ทหารจัดกระบวนทัพโอบล้อม
เฉวียนหนิงเหายังมีท่าทางคล้ายมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น กระซิบถามจิ่งเหิงปัวว่า “ท่านว่าอย่างไร”
คราวนี้เขากำลังขอคำแนะนำจากจิ่งเหิงปัวว่าควรทำอย่างไร จิ่งเหิงปัวพอใจกับการรู้ก้าวรู้ถอยรู้เรื่องรู้ราวของเขาอย่างมาก
“คิดจะใช้กำลังบีบบังคับหรือ?” นางยิ้มตาหยีมองดูทหารเหล่านั้น กล่าวว่า “หุบเขาเทียนฮุยเป็นของข้า สิ่งของที่ข้าหาได้จะไม่แบ่งให้ผู้ใดก็ตามแม้เพียงเสี้ยว จะทำให้หลังจากนี้ไม่มีคนกล้าเข้าหุบเขานี้เช่นเดิมได้อย่างไร เจ้าหาทางเอาเถิด”
“ข้าชื่นชอบวาจานี้ของเจ้า” เผยซูเอียงศีรษะมาโดยพลัน เอ่ยว่า “อาศัยวาจานี้ ช่วยเจ้าทะเลาะวิวาท”
“ยามนี้ยังไม่ถึงตาเจ้า” จิ่งเหิงปัวกลอกตามอง
เฉวียนหนิงเหายืนตัวตรง โบกมือให้นายกองบรรดาศักดิ์ที่เหลืออยู่
เขาบรรดาศักดิ์ ‘ห้าวหาญเด็ดเดี่ยว’ เป็นระดับสูงสุดของนายกองบรรดาศักดิ์ บัดนี้กลายเป็นผู้นำของเหล่านายกองโดยปริยายแล้ว
ทุกคนหัวเราะฮิๆ พากันกระชากผ้าคลุมหน้าด้ายทองทิ้ง
“นายกองบรรดาศักดิ์!” รองขุนพลนายนั้นจำเฉวียนหนิงเหาได้แล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ถอยหลังก้าวหนึ่ง กล่าวว่า “พวกเจ้าควรสิ้นชีพกันหมดแล้วมิใช่…”
วาจายังเอ่ยไม่ทันสิ้น ตกใจว่าพลั้งปาก สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง ฝั่งตรงข้าม พวกเฉวียนหนิงเหาเริ่มยิ้มเยาะแล้ว
“ดี ดี แม้แต่พวกเจ้ายังรู้เลย พวกเราทุกคนเป็นผู้ควรถูกสังเวยสินะ!”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า?” รองขุนพลถูกเสียงหัวเราะน่าหวาดกลัวของพวกเขาทำให้ตกใจจนถอยหลังหลายก้าว รู้สึกเสียหน้าอีกครั้ง หยุดฝีเท้ายืนนิ่ง หันหลังมองดูฝ่ายตนจำนวนคนมากมาย ความกล้าหาญท่วมท้นอีกครั้ง เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ด้วยเพราะคนของพวกเจ้าทรยศกันเอง เกี่ยวกระไรกับพวกเราด้วย? เหอะๆ นายกองบรรดาศักดิ์ เรืองนามเกรียงไกร ยามนี้ยังมาหุบเขาเทียนฮุยสำรวจเส้นทางให้พวกเรา เกลือกกลิ้งโคลนเลนทั่วร่างประหนึ่งสุนัขไร้เจ้าของไม่ใช่หรือ? กล้าหาญทรงพลังทั่วร่างยังโผล่ศีรษะออกมาจากกองทัพไม่ได้ เจ้ายังมีหน้ามาอวดพลังอำนาจกับพวกเราอีก? เอ่ยแล้วพวกเจ้าช่างคล้ายขุนพลน้อยหลงเฉิงคนนั้นของพวกเรายามก่อน ตนเองนึกว่าวรยุทธผงาดฟ้าวีรกรรมล้ำเลิศ แท้จริงแล้วยามสุดท้ายคู่ควรเป็นเพียงไอ้โง่ในบึงโคลนเลน!”
เฉวียนหนิงเหาหยุดยั้งฝีเท้า จากนั้นหัวเราะอีกครั้ง
อีกฝั่งหนึ่งคล้ายมีเสียงข้อต่อกระดูกดังกร๊อบแกร๊บแว่วมา บางคนกำลังงัดข้อมือ คลายกระดูก
“ส่งของของพวกเจ้าออกมา ประเดี๋ยวพวกเราค่อยแบ่งสันตามสัญญาอีกครั้ง…” รองขุนพลนายนั้นถอยหลังสู่เขตปลอดภัยไปพลาง บอกใบ้ให้ทหารส่งสัญญาณดอกไม้ไฟไปพลาง เรียกกองทัพที่ตั้งมั่นรอคอยห่างออกไปสิบลี้เดินทัพมาสนับสนุน
เขาอาศัยว่าฝ่ายตนเองนี้มีคนมาก แลไม่หวาดหวั่นเพียงใด มองเฉวียนหนิงเหาปราดเดียวแล้วมองดูพวกจิ่งเหิงปัว หัวเราะเยาะออกมา นิ้วมือวาดวงกลมเอ่ยว่า “ทุกคนจงเชื่อฟังข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตไร้ค่าของพวกเจ้า มิฉะนั้น…”
กร๊อบ!