เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 29 - 3 จัดประลองจับชู้
นางจ้องมองคนชุดเทาบนเวที จำแนกไม่ได้ด้วยซ้ำ คนคนนี้ไม่มีลักษณะพิเศษอะไรเลย แม้แต่ร่างกายยังเป็นทรงสี่เหลี่ยม ไหล่กว้างเอวหนาแต่ขาค่อนข้างสั้น แค่ร่างกายนี้มองแล้วอัปลักษณ์โดยแท้
เสียง พลั่ก ดังลั่น ลมคลั่งโหมกระหน่ำ ทุกคนที่อยู่ใกล้เวทีประลองรู้สึกเพียงว่าหายใจไม่ออก อดจะหลับตาลงไม่ได้ ยามลืมตาอีกครั้งมองเห็นเผยซูกำลังทะยานถอยหลังออกจากหลังเวทีประลอง ผมยาวทั่วศีรษะตั้งสยาย ส้นรองเท้าหุ้มข้อเสียดสีพื้นเวทีกลายเป็นร่องลึกสายหนึ่งยาวตลอดทาง เศษไม้กระเด็นว่อน ดูท่าทางคล้ายจุดแสงไฟแดงเข้ม
เรือนร่างของคนชุดเทานั้นกระโจนทะยานตามเขาออกมา พลันเอื้อมมือกระชากอาภรณ์ช่วงอกเผยซูไว้ เผยซูกำลังออกแรงถอยหลัง เสียงแคว่กดังขึ้น เสื้อบนร่างเขาขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เผยให้เห็นผิวกายสีเทาที่ยังไม่ซีดจางไปผืนหนึ่ง
ทุกคนร้องอุทาน เบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่าเผยซูที่มีผิวหน้าขาวราวหิมะ ผิวกายจะน่าเกลียดเช่นนี้
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ สามี!” หญิงอัปลักษณ์นางนั้นแคะจมูกพลางร้องตะโกนว่า “หน้าตาอัปลักษณ์อย่าได้สวมรอยเป็นพ่อรูปงามเลย แม้เจ้าเรืองนามว่า ‘หนูขนเทาเหินฟ้าดำดิน’ ทว่าข้าน้อยไม่รังเกียจเจ้าหรอก!”
“อ้อ…” ทุกคนเปล่งเสียงอุทานแจ่มแจ้ง…ที่แท้เป็นเจ้าคนอัปลักษณ์ สวมหน้ากากพ่อรูปงาม!
“สามี เจ้าแพ้แล้ว” เสียงหญิงอัปลักษณ์ทั้งสูงทั้งแหลม ทำให้ผู้คนสงสัยว่าทั้งเมืองคงได้ยินกันหมดแล้ว เอ่ยว่า “พวกเรารักใคร่ชอบพอ คู่สร้างคู่สม อย่าได้มัวชักช้าอยู่ที่นี่เลย ค่ำคืนนี้เข้าเรือนหอกันเถิดฮ่าๆ”
“ไสหัวไป!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนก้อง เสียงกำปั้นดังสนั่น เวทีประลองถล่มดังครืนแล้ว
ทุกคนทยอยวิ่งหนี รอให้พวกเขาหนีไปหลายจั้งแล้วค่อยหันหน้ากลับมามอง เผยซูหายไปแล้ว หญิงอัปลักษณ์หายไปแล้ว คนชุดเทาที่ท้าประลองผู้นั้นหายไปแล้วเช่นกัน ท่ามกลางซากปรักหักพังเหลือเพียงสตรีที่ขึ้นเวทีท้าประลองคนเดียวก่อนหน้านี้ เดินไปเดินมาด้วยความผิดหวัง
บนศีรษะพลันแว่วเสียงพึ่บพั่บ ทุกคนเงยหน้า มองเห็นแผ่นป้ายผ้าต่วนพื้นแดงแสงทองเปล่งประกายผืนนั้นร่วงหล่นอย่างเชื่องช้าแล้วเช่นกัน
…
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ”
คืนนั้นในโรงเตี๊ยม เสียงหัวเราะประหลาดเช่นนี้ดังระลอกแล้วระลอกเล่า เป็นเสียงเจ็ดสังหาร เจือด้วยเสียงจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวหัวเราะเสียงดังเป็นพิเศษ นางรู้สึกโคตรสะใจ
เจ้าเผยซูคนนี้มีนิสัยเย่อหยิ่งมาแต่เดิม ซ้ำยังกล้ำกลืนความไม่ยุติธรรมผ่านวันเวลาไร้มนุษยธรรมในหุบเขานานหลายปี ตอนนี้นิสัยเริ่มไร้มนุษยธรรมแล้วด้วย ไม่เห็นคนเป็นคนด้วยซ้ำ สมควรถูกขัดเกลาเสียบ้าง ถ้าชายชุดเทาคนนั้นไม่ลงมือ นางคงจะลงมือเช่นกัน
ตอนนี้เผยซูไม่อยู่แน่นอน…ข้างกายเป็นเพื่อนเลวทั้งนั้น ใครก็ไม่ไว้หน้าเขา เพื่อป้องกันการถูกล้อเลียนอีกครั้ง เขาพาลูกน้องออกไปล่าสัตว์แล้ว จิ่งเหิงปัวกังวลว่าค่ำคืนนี้สัตว์ป่าบริเวณนี้คงต้องประสบหายนะ
หรือว่าเขากำลังค้นหาสาวขี้เหร่คนนั้นกับชายชุดเทาคนนั้นทั่วเมือง หวังว่าเขาจะหาเจอแล้วถูกกระทืบอีกรอบหนึ่ง
ยามนี้เผยซูไม่เจอคนชุดเทานั้น ทว่าถูกผู้อื่นพบเข้า ขวางไว้ตรงมุมตรอกแห่งหนึ่ง
แสงไฟจากหอสูงไกลออกไปส่องผ่าน กลายเป็นแสงสลัวรูปสามเหลี่ยมผืนหนึ่งตรงปากตรอก เผยซูยืนอยู่ในแสงสลัว สองมือกอดอกพิงกำแพง ปรายตามองเกี้ยวน้อยคันหนึ่งข้างหน้าด้วยสีหน้าเลวร้าย
“เจ้ากล้าขวางทางข้าหรือ? ไสหัวไป”
ภายในเกี้ยวไม่มีการเคลื่อนไหว ผ่านไปครู่ใหญ่ ม่านเลิกเพียงครั้ง ผุดเผยมือคู่หนึ่ง
มือดุจหยก นิ้วเรียวยาว ระหว่างสองนิ้วคีบดอกเหมยดอกหนึ่ง เกสรเหลืองกลีบแดง ขับให้ผิวกายคล้ายเรืองรอง
บนนิ้วสวมแหวนวงหนึ่ง ทรงวิหคเหิน น้ำเงินเขียวแวววาว
เผยซูจ้องตาเขม็ง ยืนตัวตรงแน่ว
“เป็นเจ้า”
“กาลก่อนเป็นแขกใต้ดอกเหมย บัดนี้เอื้อนเอ่ยเพลงในฝัน” เสียงในเกี้ยวเย็นชาเล็กน้อย ดุจลูกปัดหยกกระทบน้ำพุบริสุทธิ์ ปราศจากกลิ่นอายแดนมนุษย์ เอ่ยว่า “ไม่เจอกันนานหลายปี เดิมนึกว่าสวรรค์ขวางกั้นเสียแล้ว ไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะได้ยินข่าวคราวของท่านอีกครั้ง ขุนพลน้อย จากกันเนิ่นนาน ยามนี้สบายดีหรือไม่?”
…
‘ข้าถูกลักพาตัวไป ช่วยด้วย!’
ตอนเปิดเศษกระดาษแผ่นนี้ จิ่งเหิงปัวปากอ้าตาค้าง เกือบนึกว่าตัวเองตาพร่าแล้ว
นางเงยหน้ามองตรงหน้า ขอทานน้อยที่ส่งจดหมายให้เมื่อครู่หายเข้าสู่ฝูงชนแล้ว
ขณะกำลังกินมื้อเย็นอยู่ดีๆ ก็มีคนมาเอ่ยว่าต้องการพบนาง แต่พอออกมามองไม่เห็นใคร มีแค่ขอทานน้อยคนหนึ่งคล้ายหกล้ม ครวญครางอยู่ข้างเท้านาง นางประคองขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง แต่ขอทานน้อยคนนั้นฉวยโอกาสยัดจดหมายนี้ใส่มือนาง
วิธีส่งจดหมายไม่นับว่าน่าแปลก แต่เนื้อหานี้น่าหวาดผวาเกินไปหน่อย ใครถูกลักพาตัวไป?
เจ็ดสังหารหันหน้ามานับจำนวนกันด้วยความโง่เขลาแล้ว เอ่อร์ลู่นับอยู่เนิ่นนาน ตกใจร้องว่า “หนึ่งสองสามสี่ห้าหก แย่แล้ว! หายไปคนหนึ่งจริงด้วย! พี่น้องเราผู้ใดถูกลักพาตัวไปแล้ว?”
“ขาดตัวเจ้าเอง!” จิ่งเหิงปัวสะบัดกระดาษจดหมายนั้นอย่างอารมณ์เสีย กล่าวว่า “พอเถิด ขณะนี้มีเพียงเผยซูไม่อยู่ เขาถูกลักพาตัวไปได้หรือ? เขาไม่ไปลักพาตัวผู้อื่นก็ไม่เลวแล้ว! อีกทั้งเอ่ยว่าเขาถูกลักพาตัวไปแล้วจะขอความช่วยเหลือเช่นนี้หรือ? ตัวเขาเองต้องยอมสิ้นชีพแน่…”
“…แม่นาง! แม่นาง!” เสียงวาจานางยังไม่ทันสิ้น เจ้ามนุษย์เทาหม่นหมองกลุ่มใหญ่ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแล้ว ร้องว่า “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ขุนพลน้อยของข้าถูกลักพาตัวไปแล้ว!”
…
ผ่านไปครึ่งเค่อ ผู้คนทั้งนั่งทั้งยืนเต็มห้อง จ้องมองเจ้ามนุษย์เทาหม่นหมองฝูงนั้น
“เต๋อซิ่น” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเหลือเชื่อว่า “เจ้าเอ่ยว่าขุนพลน้อยของเจ้าอารมณ์ไม่ดี พาพวกเจ้าออกไปแก้เซ็ง เจอคนขวางทาง เจ้านายของเจ้าไปกระทืบเขา ทว่าสุดท้ายถูกเขาลักพาตัวไป?”
เรื่องราวข้างหน้าสอดคล้องตรรกะ แต่ตอบจบเละเทะไปหน่อยมั้ง?
“ใช่แล้วๆ” พยักหน้าหงึกๆ
“เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าไม่ไปช่วยเจ้านาย แต่ละคนพากันวิ่งแจ้นกลับมากันหมด?”
“เจ้านายให้พวกเรากลับมาขอความช่วยเหลือ พวกเราสู้เขาไม่ได้” เต๋อซิ่นเหลือบมอง “สหายสนิทของเจ้านาย” ฝูงนี้ตาปริบๆ
“ถุย” เจ็ดสังหารเดินออกไป
“เหลวไหล” ยงเสวี่ยเดินออกไป
“นายท่านควรล้างหน้าบ้วนปากแล้วเจ้าค่ะ” จื่อหรุ่ยยกน้ำเข้ามา
“ง่วงจัง เสียเวลาข้า” เทียนชี่อ้าปากหาวเดินไปนอน
“นอนๆ ลาก่อน จุ๊บๆ” จิ่งเหิงปัวเปลี่ยนรองเท้าแตะ
“ไม่รู้ว่าคิดล่อลวงผู้ใดออกไปให้เขากระทืบระบายอารมณ์สักรอบ” เจ็ดสังหารกับเทียนชี่หัวเราะดังสนั่น ต่างคนต่างกลับห้องไปนอนไม่หันหน้ามองด้วยซ้ำ
จิ่งเหิงปัวตะโกนไล่เจ้ามนุษย์เทาฝูงนั้นเช่นกันว่า “ไปแล้วๆ นอนๆ” รอให้ทุกคนเข้าห้องหมดแล้ว นางคว้าเต๋อซิ่นที่ถูกไล่ออกนอกห้องเป็นคนสุดท้ายไว้ในครั้งเดียว
“เอ่ยมาสิ เขาไปที่ใดกันแน่?”
เต๋อซิ่นหรี่ตายิ้มแย้ม เจ้าเล่ห์จนคล้ายหนูเทาเสียจริง
“ขุนพลน้อยเอ่ยว่าเขามีวิธีเอาพิมพ์เขียวเรือวิเศษมาได้ ทว่าต้องการให้ท่านช่วย”
“เช่นนั้นเหตุใดต้องแสร้งถูกลักพาตัวไป?”
“ด้วยเพราะท่านต้องไปช่วยคนเดียว หากไม่ก่อเรื่องเช่นนี้ พวกเจ็ดสังหารจะสงสัยการเคลื่อนไหวของขุนพลน้อย ย่อมจะไม่นอนหลับเช่นกัน จับตามองท่าน ทำให้ท่านออกไปคนเดียวไม่ได้”
“เหตุใดข้าต้องไปคนเดียว?” จิ่งเหิงปัวจ้องมองเต๋อซิ่นอย่างสงสัย นางไม่เชื่อใจเผยซูขนาดนั้น
“ท่านไม่เชื่อใจขุนพลน้อย พวกเราจะใช้ชีวิตรับรองให้ท่านโดยพลัน” เต๋อซิ่นชักมีดไม่บอกกล่าว
เอาจริงเหรอ?
“หยุดๆๆ!” จิ่งเหิงปัวปัดมีดของเขาทิ้งในครั้งเดียว ร้องว่า “ข้าไป!”
…
จิ่งเหิงปัวเดินอยู่ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน เต๋อซิ่นกับลูกน้องหลายคนของเผยซูนำทางนาง จิ่งเหิงปัวจ้องมองทิศทางเดิน มุ่งสู่พระราชวังของผู้นำเผ่าจั๋นอวี่นั่นเอง
เหมือนว่าเผยซูจะพบเจอคนรักเก่าของเขาแล้ว?
นั่นสินะ หลายวันมานี้เผยซูสร้างความเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ดูคล้ายตามจีบนาง แต่แท้จริงแล้วตั้งใจแจ้งข่าวคนรักเก่าด้วย คิดว่าต่อให้สตรีนั้นฐานะสูงศักดิ์ ห่างไกลในวังหลวง เรื่องแปลกใหม่แบบนี้คงได้ยินบ้าง
มุมหนึ่งของจัตุรัสพระราชวัง เกี้ยวน้อยคันหนึ่งจอดอยู่ มีคนนิ่งเงียบรอคอยอยู่หน้าเกี้ยว ประตูข้างวังข้างหลังเกี้ยวแง้มออกเล็กน้อย
เต๋อซิ่นชี้ไปยังเกี้ยวนั้น บอกใบ้ให้นางเข้าไป จิ่งเหิงปัวมองดูเกี้ยวนั้น เกี้ยวสักหลาดน้อยแสนธรรมดาใต้แสงจันทร์ ไม่รู้เพราะอะไร เกี้ยวนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาด คล้ายพอเข้าไปคงต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่ความรู้สึกนั้นไม่ใช่อันตราย ความรู้สึกประหลาดที่บอกไม่ได้ ไม่มีสาเหตุ
นางโคจรปราณ รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเปี่ยมกำลังวังชา พิษไม่กำเริบกะทันหันแน่นอน นางมั่นใจในตัวเอง ขอแค่พิษไม่กำเริบ ด้วยความเร็วในการหายตัวของนางตอนนี้ ไม่มีที่ไหนไม่มีใครจับนางไว้ได้
หลังพลิกตัวบนผาชันที่หุบเขาเทียนฮุยกับเผยซูหนึ่งรอบ การเคลื่อนไหวร่างกายขณะหายตัวของนางก้าวหน้าอีกขั้น ตอนนี้ขณะก้มลงยังหายตัวได้
ไม่เสี่ยงอันตราย เหตุใดจะได้เรือวิเศษ? นางยังต้องพิชิตบึงโคลนเฮยสุ่ยพิชิตต้าฮวง แค่เกี้ยวคันเดียว กลัวอะไรกัน?
นางเดินเข้าไป สองคนข้างเกี้ยวนั้นโค้งกายแผ่วเบา เลิกม่านให้นาง แวบแรกนางมองเห็นในเกี้ยวมีแค่ที่นั่งเดียว ไม่มีสิ่งของอะไร ซ้ำยังไม่มีโครงสร้างที่อาจซ่อนกับดักอะไรไว้ได้ วางใจก้าวเข้าเกี้ยว
ม่านเกี้ยวสยายลงมา ความมืดมิดตัดขาดโลกภายนอก
นางง่วงเล็กน้อย เพิ่งคิดจะหลับตาพักผ่อนร่างกาย ลืมตาขึ้นกะทันหัน
แวบแรกมองบนศีรษะ
หลังคาเกี้ยวเหนือศีรษะพลันเปิดออก เงาคนสายหนึ่งไถลเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
เป็นการไถลจริงๆ ยากจินตนาการเหลือเกินว่ามนุษย์จะมีท่วงท่ากับความยืดหยุ่นเช่นนั้น คล้ายควันจางผืนหนึ่งน้ำไหล ลื่นไถลลงมาตามริมหลังคาเกี้ยว นั่งลงข้างกายนางโดยพลัน
สองคนที่แบกเกี้ยวไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้สึกกระทั่งว่าน้ำหนักเปลี่ยนแปลงไป
จิ่งเหิงปัวตาเหลือก หันกายจะหายตัว!
แต่พริบตาหนึ่งขณะกำลังหายตัวนางรู้สึกว่าปลายจมูกได้กลิ่นรสชาติคุ้นเคย
จากนั้นนางได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะขึ้นแผ่วเบา ชูสิ่งของอะไรในมือ กระซิบว่า “จุ๊” พร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ข้าคืออิงไป๋