เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 32 - 2 ร่วมอาบน้ำ
ดวงตาหลายคู่จ้องไปโดยพร้อมเพรียง ท่าทางแปลกประหลาดทุกคน อาจเอ่ยได้ว่าแปลกประหลาดทุกสิ่ง
อิงไป๋มีท่าทางปกติยิ่งนัก สีหน้าอมยิ้มไม่ใส่ใจเช่นเดิมนั้น
อินอู๋ซินยังเยือกเย็นเช่นเคย บนใบหน้าไม่แม้แต่จะแดงซ่านด้วยซ้ำ
นางพลันเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้า…”
จิ่งเหิงปัวหูตั้ง
“…พลันรู้สึกว่า” อินอู๋ซินหยุดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าไม่ถนัดเล่นละครโดยแท้ หากส่งข้าไปล่อลวงจั้นซิน เกรงว่าจะเสียแผนของทุกคน”
จิ่งเหิงปัวชะงัก…หมายความว่าอะไร?
“โอ้ จริงสิ ประเดี๋ยวอาจเกิดการต่อสู้วุ่นวาย เจ้าปกป้องตนเองได้หรือไม่?” อินอู๋ซินพลันหันหน้าหานาง
ไม่รอให้นางตอบ บุรุษสามคนเปล่งเสียงโดยพลัน
“ข้าเอง” เผยซูยกมือโดยพลัน เอ่ยว่า “นางเป็นว่าที่ภรรยาของข้า ข้าไม่ปกป้องนางแล้วผู้ใดจะปกป้อง?”
“สหายเผยยังไม่หายจากพิษ ไม่ควรออกแรง ข้าจัดการเองดีกว่า” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม
“เจ้าทั้งสองยังบาดเจ็บ ไม่ควรฝืนร่างกาย” อิงไป๋เอ่ยอย่างสุขุมว่า “ข้าน้อยเจ้าชู้ชอบสุราชอบนารี หนุ่มเสเพลอันดับหนึ่งแห่งตี้เกอ ร่วมเล่นละครกับสตรีเป็นงานถนัด ย่อมควรเป็นข้าน้อย”
จิ่งเหิงปัวถลึงตาใส่ผู้ชายสามคน…สิบห้านาทีก่อนหน้านี้ ให้พวกเจ้าร่วมเล่นละครกับอินอู๋ซิน พวกเจ้ายังเลี่ยงให้กันและกันอยู่เลย!
ลำเอียงชัดเจนขนาดนี้ จะดีแน่เหรอ?
พอมองอินอู๋ซิน หลุบตาลง สีหน้าดุจหิมะ มัวสลัวจนใกล้จะหายไปแล้ว…
นางยังไม่ทันได้ปฏิเสธ ข้างนอกแว่วเสียงฝีเท้าถี่กระชั้นแล้ว แสงไฟคดเคี้ยววกวนรวดเร็ว สาดส่องลานบ้านน้อยแห่งนี้ให้สว่างไสว จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา มองเห็นจั้นซินที่มีคนกลุ่มใหญ่ติดตามมาด้วย
ข้างหลังจั้นซิน ผ่านประตูลานบ้านที่เปิดออก มองเห็นศีรษะมนุษย์คลาคล่ำ ซ้ำยังมีแสงเหล็กของอาวุธหนักสีดำทะมึน…
จั้นซินก้าวเท้าเดินเข้าลานบ้านค่อนข้างลำบาก สีหน้าเคร่งขรึม ผนึกแน่นด้วยเมฆดำนับมิถ้วนในค่ำคืนนี้
เขารู้สึกเพียงว่าเปลวไฟในใจคุกรุ่น ต้องการเรือนร่างนุ่มนวลกับผิวกายเย็นเยือกของสตรีมาดับเพลิงโทสะในใจ กระตุ้นเส้นโลหิตที่ใกล้จะสิ้นลมให้ฟื้นคืนอีกครั้ง
ตั้งแต่สูญเสียบุตรสุดท้องที่แสนรักใคร่ เขาได้รับการกระทบกระเทือนหนักหน่วง ชั่วข้ามคืนสูญเสียกำลังวังชามากหลาย ภายหลังนึกถึงอำนาจราชบัลลังก์ ต้องปลุกใจให้ฮึกเหิม พยายามหว่านเมล็ดบนร่างสตรีอีกครั้ง หวังอาศัยผืนดินอวบอิ่มเหล่านั้น เพาะปลูกทายาทเลิศล้ำของตนเองออกมาอีกคน
บุตรชายคนเล็กของภรรยาเอกหายไปคนเดียว ขอเพียงพยายาม ย่อมมีบุตรชายของภรรยาเอกมากยิ่งขึ้น
จากนั้นไม่นานเขาค้นพบด้วยความผิดหวัง การรวบรวมกำลังวังชาที่สูญเสียไปแล้วนั้นยากเย็นแสนเข็ญ เขาคล้ายแก่ชราเพียงชั่วข้ามคืน ปลุกพลังเพศชายยามก่อนให้ตื่นฟื้นต่อไปได้ยาก
สำหรับบุรุษแล้ว โดยเฉพาะบุรุษผู้เป็นกษัตริย์ เรื่องราวเช่นนี้ยอมรับได้ยากนัก ระหว่างแอบหายาหาหมอ เขารู้เรื่องหนทางเพิ่มพลังทางเพศเฉพาะตัวของอินอู๋ซิน
อินอู๋ซินเป็นมารดาบุญธรรมในนามของเขา ทว่าเขารู้ว่าอินอู๋ซินอาจยังเป็นสาวพรหมจรรย์ ยามกษัตริย์องค์ก่อนสมรสนางร่างกายไม่ไหวแล้ว ผ่านไปไม่นานประทับกระเรียนสู่สรวงสวรรค์ โฉมสะคราญชะลอวัยไม่แก่ชราเช่นนี้ เขาเป็นถึงกษัตริย์แห่งจั๋นอวี่ จะปล่อยไปด้วยเพราะฐานะตำแหน่งได้อย่างไร?
เดิมทีเขายังอยากแสดงท่าทางใจกว้าง ให้โอกาสอินอู๋ซินอิงแอบแนบชิดด้วยตนเอง ฉวยโอกาสดูว่าแท้จริงแล้วสตรีนี้มีชายชู้หรือไม่ บัดนี้เขาเจออุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า หมดสิ้นความอดทนแล้ว ไม่มีอารมณ์รอให้สตรีนางเดียวค่อยๆ เปลี่ยนใจอีกต่อไป
ได้ยินว่านางบุรุษสามคนไว้ในห้อง คราวนี้จะรวบรวมชายชู้ต่อต้านเขาหรือ?
เช่นนั้นคอยดูเถิด!
จั้นซินเข้าสู่ลานน้อยด้วยท่าทางวางมาดไม่หวาดกลัว เคียงข้างด้วยผู้ถวายงานยอดฝีมือสิบคน กองทัพพลันพุ่งเข้ามาปานธารหลาก ยืนทั่วทุกหนแห่งของลานน้อย
พอเขาเงยหน้า มองเห็นชายสามหญิงสองที่ยืนอยู่ปากประตูเรือน
บุรุษสามคนสวมหน้ากากไว้ ทว่าร่างกายเพรียวบางสูงโปร่ง ลักษณะท่าทางพิเศษ ในใจเขาระแวดระวัง
ทว่าสตรีข้างกายอินอู๋ซิน ทำให้สายตาเขาจ้องเขม็ง
โฉมงามจากที่ใดกัน! หน้าตาเหนือกว่านางอินตั้งสามส่วน!
การแต่งหน้าค่ำคืนนี้ของจิ่งเหิงปัว วาดคิ้วโก่งเล็กน้อย เรียบร้อยผ่อนคลาย แพรวพราวกลางแสงจันทร์แสงไฟ บริสุทธิ์ผ่องแผ้วประดุจน้ำพุสายหนึ่งบนยอดเขา
การแปลงโฉมตอนนี้ของนางไม่นับว่าประณีตมากนัก มองโดยละเอียดยังเห็นโครงหน้าของจิ่งเหิงปัว แต่ตอนนั้นจั้นซินเคยเห็นนางแค่ในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จราชินี ซ้ำยังระยะห่างไกลโพ้น อีกทั้งตอนนั้นมัวแต่ต่อสู้กับเหยียลี่ว์ฉี จำราชินีไม่ค่อยได้แล้ว
เขาจ้องจิ่งเหิงปัวเขม็ง หักใจละสายตาไม่ได้อีกแล้ว จากนั้นมองอินอู๋ซิน พลันรู้สึกว่ามัวสลัวไร้สีสัน
อินอู๋ซินเรียกฝ่าบาทติดต่อกันหลายครั้ง เขาถึงเริ่มได้สติ จั้นซินไอเสียงหนึ่ง แววตาอาลัยอาวรณ์ใบหน้าของจิ่งเหิงปัว ยิ้มเยาะมองทางอินอู๋ซิน
“ไท่เฟย[1]” เขาเรียกบรรดาศักดิ์ของอินอู๋ซิน น้ำเสียงไร้ความเคารพ เอ่ยว่า “เราให้เจ้าสงบใจไตร่ตรองข้อเสนอของเรา เจ้าพาชายหญิงเหล่านี้เข้าตำหนักตนเอง นอนด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ฝ่าฝืนจริยธรรม เห็นกฎเกณฑ์ราชวงศ์นี้เป็นสิ่งไร้ค่า เห็นเราเป็นสิ่งไร้ค่าหรือ?”
“ฝ่าบาทเข้าใจผิดแล้ว” อินอู๋ซินเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “สามท่านนี้คือศิษย์พี่ชายในสำนักข้า ได้ยินว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานข้า ตั้งใจมาอวยพร ซ้ำยังหวังถวายยาบำรุงกายใจแด่ฝ่าบาท”
“ศิษย์พี่เจ้า?” จั้นซินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เหล่ตามองสามคน เอ่ยอย่างริษยาว่า “สำนักเทียนหนี่ว์ชะลอวัยไม่แก่ชราจริงด้วย ศิษย์พี่เจ้าน่าจะอายุไม่น้อย ไม่นึกว่าผมดำทั่วศีรษะ เพียงแต่ยาที่พวกเขาถวาย ต้องให้หมอหลวงตรวจสอบก่อน”
“แน่นอน” อินอู๋ซินเอื้อมมือ หยิกเผยซูครั้งหนึ่ง
“อะไรเล่า?” เผยซูถลึงตาใส่นาง
“ยา หยิบมาสักเม็ด ยาพิษดีที่สุด” อินอู๋ซินกระซิบ
“เหอะๆๆ มาหาข้าถูกคนแล้ว” เผยซูหิ้วถุงออกมาจากหลังเอวดังฟิ้ว เอ่ยเสียงดังว่า “ยาชื่อดังในโลกนี้ อยู่ที่นี่หมดแล้ว เพียงแต่ฝ่าบาทโปรดทรงถนอมไว้ให้ดี อย่าได้ให้ผู้อื่นลิ้มลองมั่วซั่ว สิ้นเปลืองของดีของข้า”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว” จั้นซินผุดยิ้มเล็กน้อยจนได้ ให้คนรับถุงนั้นไว้ ใช้สายตากวาดผ่าน ย่อมมีคนนำไปจัดให้คนลองยา
เผยซูยิ้มแย้มเช่นกัน คล้ายจิ้งจอกตัวหนึ่งที่เพิ่งจะหนีออกไปจากโพรงที่สามของตนเอง
“ท่านนี้คือ…” จั้นซินไม่มีอารมณ์สืบเสาะพวกคล้ายเป็นศิษย์พี่หลายคนนั้นด้วยซ้ำ จ้องหน้าจิ่งเหิงปัวเอ่ยถามอย่างร้อนอกร้อนใจ
จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ตอบ อินอู๋ซินหัวเราะแผ่วเบาแล้ว
“ท่านนี้คือศิษย์พี่หญิงของข้า”
“โอ้เลื่อมใสๆ ขออภัยๆ…ประเดี๋ยวนะ ศิษย์พี่เจ้า?”
จั้นซินเบิกตากว้าง จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงเช่นกัน
ศิษย์พี่? เธอสี่สิบแปดแล้ว ฉันเป็นศิษย์พี่เธอ เธอกำลังแอบบอกว่าฉันหกสิบแปดเหรอ?
โอ้ ไม่ใช่บอกเป็นนัยแต่บอกชัดเจนต่างหาก อินอู๋ซินเอ่ยสืบต่อว่า “ศิษย์พี่คือผู้มีความสามารถในสำนักข้า แม้ครบวัยหกสิบ แต่ยังโฉมงามดุจบุปผา เหนือกว่าสาวแรกรุ่น ฝ่าบาททรงเห็นด้วยหรือไม่?”
จั้นซินดวงตาสว่างวูบโดยพลัน…จิ่งเหิงปัวท่าทางเด็กกว่าอินอู๋ซิน ทว่าอายุมากกว่านาง?
“ใช่…ใช่…” เขามองจิ่งเหิงปัวจนสติไม่อยู่กับตัว เล่ากันว่ายิ่งฝึกฝนศาสตร์ชะลอวัยของสำนักเทียนหนี่ว์จนเชี่ยวชาญลึกซึ้ง สรรพคุณต่อบุรุษยิ่งมาก ท่านนี้หกสิบดุจสิบหก ย่อมช่วยเขาย้อนวัยกลายเป็นหนุ่มได้ไม่ใช่หรือ?
จิ่งเหิงปัวทัดจอนผม ชำเลืองมองอินอู๋ซินแวบหนึ่ง นางรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้คิดอะไร
ว่ากันว่าผู้หญิงจิตใจคับแคบ คับแคบเช่นนั้นจริง อินอู๋ซินสะเทือนอารมณ์ แก้แค้นสักเล็กน้อย คราวนี้ผลักนางออกมาแล้ว
จิ่งเหิงปัวไม่ถือสาเช่นกัน นางไม่ค่อยไว้ใจอินอู๋ซิน ถ้าให้นางไปขโมยพิมพ์เขียวของจั้นซิน สำเร็จหรือไม่เป็นปัญหาทั้งนั้น ต่อให้สำเร็จแล้ว อินอู๋ซินจะฉวยโอกาสครั้งนี้เรียกร้องอะไรไหมยังกล่าวได้ยาก
ไม่สู้นางลงมือด้วยตัวเองดีกว่า
“ศิษย์พี่ท่านนี้ นามว่าอะไรหรือ?” ท่าทางของจั้นซินกระตือรือร้นยิ่งนัก เอ่ยว่า “มาจากแดนไกล ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ ควรให้เราต้อนรับให้ดีถึงถูกต้อง”
“ผู้ชรานามว่าปัวจีเสี่ยวซือ” จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างเมตตา พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นมองอินอู๋ซินอย่างเมตตา ยิ้มแย้มกล่าวว่า “แท้จริงแล้วผู้ชราไม่ใช่ศิษย์พี่ของอู๋ซิน ทว่าเป็นอาจารย์อาของนาง ปีนี้ผู้ชราไม่ได้อายุหกสิบด้วย ใกล้เจ็ดสิบแล้ว อู๋ซินไม่อยากทำให้ฝ่าบาทตกพระทัย ซ้ำยังไม่อยากเปิดเผยฐานะของผู้ชรา จึงจำใจต้องโกหก เพียงแต่ผู้ชราเห็นฝ่าบาททรงมีคุณธรรม องอาจห้าวหาญ หักใจหลอกลวงสุภาพบุรุษเช่นฝ่าบาทไม่ได้ จึงบอกกล่าวตามความจริง ฝ่าบาทโปรดทรงอภัย” กล่าวจบเสแสร้งแกล้งโค้งกาย
ใบหน้าขาวราวหิมะของอินอู๋ซินเขียวคล้ำทันใด
เผยซูกระแอมไอ กลั้นหัวเราะแทบย่ำแย่ ขนาดต้องหันหน้าไป เท้าถีบผิวกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายผิวกำแพงหาเรื่องเขากระนั้น
อิงไป๋ดื่มสุราเร็วกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยเพราะอยากซัดอารมณ์กับวาจาลงท้องไปใช่หรือไม่
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม จ้องใบหน้าเมตตาของจิ่งเหิงปัว แววตาเปล่งประกายระยิบระยับ
“อา! ไม่กล้าๆ! ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว!” จั้นซินยิ้มแย้มสนิทสนม ซ้ำยังยิ้มแย้มตวาดอินอู๋ซินว่า “ยังไม่รีบเชิญอาจารย์อานั่งลง ยกน้ำชาให้ท่านอีก?”
“ฝ่าบาททรงสุภาพอ่อนน้อมเช่นนี้ ทำให้ปัวจีซาบซึ้งโดยแท้ เพียงแต่หน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ที่ใดมีที่นั่งของพวกข้า?” จิ่งเหิงปัวโบกมืออย่างเมตตา ม้านั่งตัวหนึ่งในห้องมาถึงตรงหน้าจั้นซินทันที กล่าวว่า “เชิญฝ่าบาททรงประทับก่อน”
จั้นซินชะงักเล็กน้อย เขามองไม่ชัดด้วยซ้ำว่าม้านั่งโผล่มาได้อย่างไร ยอดฝีมือมากมายเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ทว่าเคลื่อนย้ายได้เมฆเหินน้ำไหลเร็วดุจสายฟ้าเช่นนี้เขาไม่เคยพบเคยเห็น ปัวจีท่านนี้เป็นยอดฝีมืออย่างไม่ต้องสงสัย
เดิมทีเขาไม่ค่อยเชื่อวาจาของอินอู๋ซิน ทว่ายามนี้ละทิ้งความคิดสงสัย อย่างไรเสียจิ่งเหิงปัวแลคล้ายสิบเจ็ดสิบแปดปี อายุเท่านี้ฝึกฝนความสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของระดับสูงเช่นนี้ไม่สำเร็จแน่แท้ ต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงสำเร็จวิชา ท่าทางเช่นนี้ เอ่ยว่านางหกสิบเจ็ดสิบปีถึงถูกต้อง
สตรีเลิศล้ำเยี่ยงนี้ ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด!
“อาจารย์อาปรีชาสามารถ!” จั้นซินท่าทางคล้ายฮึกเหิม ก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว กุมมือของจิ่งเหิงปัวไว้ เอ่ยว่า “วรยุทธ์เทพเช่นนี้ เกิดมาเพิ่งเคยเห็น!”
ฝ่ามือสัมผัสหลังมือจิ่งเหิงปัว นุ่มนิ่มราวไร้กระดูก นวลเนียนอ่อนโยน ในใจจั้นซินหวั่นไหว คิดว่าสตรีนี้ดูแลตนเองดีนัก แม้แต่ฝ่ามือต้นคอ ตำแหน่งที่แสดงอายุจริงของสตรีได้ง่ายเหล่านี้ยังละเอียดเกลี้ยงเกลา ไม่มีริ้วรอยเลยแม้แต่น้อย
สตรีเช่นนี้ถึงเป็นสิ่งวิเศษ ขอเพียงไม่นึกถึงอายุของนาง ย่อมเสพสุขโลกมนุษย์ได้แน่แท้
นิ้วมือเขาแอบจับชีพจรข้อมือของจิ่งเหิงปัว อดชะงักไม่ได้…สตรีนี้ไม่มีกําลังภายในใดเลย?
ไม่มีกําลังภายในเท่ากับไม่มีอันตราย เรื่องที่เขาคิดอยู่ในใจย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ!
จั้นซินกำลังดีใจเป็นล้นพ้น พลันรู้สึกเหน็บหนาวข้างหลังดุจหนามทิ่มแทง หันหน้ากลับมาโดยสำนึก
เหล่าองครักษ์ข้างหลังยังยืนนิ่งดุจรูปปั้นรูปสลัก ‘ศิษย์พี่’ สามคนนั้น คนหนึ่งแคะกำแพง คนหนึ่งดื่มสุรา คนหนึ่งกอดอก ทุกคนใบหน้าไร้อารมณ์ ต่างคนต่างเงียบงัน
ที่แท้เป็นภาพลวงตา
[1] ไท่เฟย ตำแหน่งพระชายารองในรัชกาลก่อนที่โอรสไม่ได้ขึ้นครองราชย์