เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 35 - 2 การเดินทางไกลของเขา
เสียงวาจาของนางหยุดลงกะทันหัน
ค่อยๆ เบิกตากว้าง
เหมือนที่นางคิดไว้ ตรงหน้ามีเงาสีม่วงเงาหนึ่งลอยคว้าง ผมที่ยาวสยาย ร่างกายที่เพรียวบาง
แต่เงานี้ไม่ได้เกาะขอบหน้าต่างของนาง หรือว่าห้อยหัวจากหลังคาบ้านเหมือนที่นางจินตนาการไว้
เงาม่วงลอยกลางอากาศ
กลางอากาศที่แท้จริง ลอยคว้างระหว่างหน้าผาสองฝั่ง
นางแน่ใจได้ว่าอมงไม่เห็นการเหนี่ยวเกาะอะไรทั้งนั้น ไม่มีเชือกกับตาข่าย
คนปกติลอยอยู่นานขนาดนี้ไม่ได้แน่นอน
เงาม่วงนั้นปล่อยผมยาวสยายบดบังใบหน้าไว้ เผยให้เห็นโครงร่างงดงามรำไร ชายผ้าขาวตรงแขนเสื้อเริงระบำกลางอากาศ ขับขานเรื่องราวรักใคร่ปรองดองของจิ้งจอกอย่างแผ่วเบา
ลมภูเขายิ่งใหญ่เกรียงไกร เรือนร่างนางหมุนกลับทับซ้อนด้วยรัศมีโค้งที่ร่างกายไม่อาจทำได้ ทั้งปราดเปรียวทั้งแข็งทื่อ ทำให้ผู้คนนึกถึงตุ๊กตาเป่าลมในโลกสมัยใหม่ที่ใช้พัดลมแรงเหวี่ยงทำท่าทางหลากหลายพวกนั้น
ศีรษะกับเท้าของนางทับซ้อนอยู่ด้วยกันได้ ศีรษะของนางยื่นออกมาจากหว่างขาได้ ขาขวาของนางพาดอยู่บนไหล่ซ้าย นุ่มนิ่มราวไร้กระดูก
ลมภูเขารุนแรง เงาวิญญาณพลิ้วไหว ร้องเพลงแผ่วเบา
ข้างห้องแว่วเสียงกรีดร้องดังลั่น จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยก็มองเห็นแล้วเช่นกัน
เสียงกรีดร้องเสียงเดียวปลุกจิ่งเหิงปัวให้ฟื้นคืนสติ นางล้วงกริชออกมา ยกมือเขวี้ยงเพียงครั้ง
กริชพุ่งไปเหนือศีรษะเงาม่วงนั้น คำรามทั่วทุกแห่งเหนือเงานั้น สะบั้นขึ้นสะบั้นลง
จิ่งเหิงปัวแน่ใจว่าเหนือศีรษะของเจ้าคนนี้ต้องมีเส้นใยสีดำที่ทั้งยืดหยุ่นทั้งโปร่งใสห้อยไว้ ฟันให้ขาดเขาก็แกล้งหลอกผีไม่ได้แล้ว!
กริชคำรามกลับไปกลับมาทุกตำแหน่งที่เป็นไปได้ ทุกแห่งฟันลงบนความว่างเปล่า
ไม่มีเส้นใย
จิ่งเหิงปัวยิ่งฟันยิ่งหวาดกลัว…หรือว่าเป็นผีจริง?
เงาม่วงเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า ลมภูเขาพัดพลิ้วผมยาวกับแขนเสื้อของนาง เผยให้เห็นใบหน้าขาวราวหิมะครึ่งซีก
จิ่งเหิงปัวจ้องเงานั้นเขม็ง กวักมือเพียงเก็บกริชกลับมากำไว้แน่น เตรียมตัวถ้าผีตนนี้บ้าคลั่งทำร้ายคนจริงๆ นางจะแทงไม่ยั้งเลย
ผีนั้นยังคงร้องเพลง
“จิ้งจอกใหญ่ล้มป่วย จิ้งจอกรองตรวจอาการ จิ้งจอกสามซื้อยา จิ้งจอกสี่ต้มยา กวางโรห้าสิ้นใจ กวางโรหกยกหาม…”
เสียงเพลงผันผ่านปานธารล่อง เดิมทีจิ่งเหิงปัวไม่ได้ใส่ใจด้วยเพราะความเครียด ได้ยินแล้วชะงักงันทันที
เดี๋ยวนะ
กวางโร?
ไม่ใช่จิ้งจอกเหรอ?
ดุจดั่งสายฟ้าฟาดเปรี้ยง ชั่วพริบตาเข้าใจในทันที นางเดือดดาล ยกมือเขวี้ยงหินห้อนหนึ่งออกไป
“อีชีเจ้าไปตายซะ!”
นางปิดหน้าต่างดังปัง ล้มตัวลงนอน
เสียงพลั่กๆ หลายเสียงแว่วมาจากข้างห้อง กลางอากาศแว่วเสียงร้องโอ๊ยๆ จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยคงจะเขวี้ยงก้อนหินด้วย เพื่อแก้แค้นที่อีชีแกล้งหลอกผีกลางดึก
อีชีกุมศีรษะหลบหนีหัวซุกหัวซุนอยู่กลางอากาศ ร้องเรียกข้างบนอย่างโศกเศร้าว่า “ไอ้แก่หนังเหนียว เจ้าแกล้งให้ข้าล่วงเกินภรรยา รีบปล่อยข้านะ!”
กลางอากาศแว่วเสียงหัวเราะก๊ากๆ เสียงไม่น่าฟังเลย จิ่งเหิงปัวเปิดหน้าต่างอีกครั้ง เงาม่วงหายไปแล้ว
“ไอ้แก่ชั่วร้ายตัณหากลับ!” นางตะโกนด่ากลางอากาศเสียงหนึ่ง
ขี้นกก้อนหนึ่งร่วงมาดังพรวด ขนาดใหญ่เท่าถาด จิ่งเหิงปัวหดหัวรวดเร็ว ขี้นกแตกกระเซ็นเขียวๆ เหลืองๆ ผืนใหญ่บนหน้าต่าง
จิ่งเหิงปัวเปิดหน้าต่างดังปังอีกครั้ง ร้องว่า “หน้าไม่อายเลยหรือเจ้าน่ะ!”
ตุ้บ คราวนี้สิ่งที่ร่วงลงมาคือนกอินทรีตัวหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวหดหัวรวดเร็ว ปิดหน้าต่างสนิท ขนนกกระจุกหนึ่งกระเซ็นบนขี้นกอีกรอบ
จิ่งเหิงปัวกอดเข่านั่งอยู่บนเตียง มองหน้าต่างอย่างกลัดกลุ้ม รู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ไหวแล้ว…แม้เห็นพฤติกรรมของเจ็ดสังหาร รู้อยู่แล้วว่าท่านอาจารย์จื่อเวยไม่มีอะไรคู่ควรให้ใฝ่ฝัน แต่เฮงซวยถึงระดับนี้ทะลุจุดสูงสุดเกินไปหน่อยแล้ว
ผู้วิเศษเอ๋ยผู้วิเศษ ต่อให้หยอกเย้าโลกมนุษย์ ในใจย่อมมีความหยิ่งทระนง น้ำเน่านิยายกล่าวไว้แบบนี้ทั้งนั้น
แต่คนคนนี้ ไม่ว่าจะวางกับดักลักพาตัวฆ่าคนวางเพลิงหลอกผีแกล้งเป็นโจรทำได้ทุกอย่าง ซ้ำยังจงใจกระตุ้นความรู้สึกผิดกับการตำหนิตัวเองของนาง แกล้งหลอกผีโจมตีจุดอ่อนนางขณะจิตใจว้าวุ่น หลังถูกเปิดโปงแล้วยังไม่เขินอายหรือแม้กระทั่งไม่รู้จักพอประมาณ ตาต่อตาฟันต่อฟันเหมือนหญิงปากร้าย เห็นได้ชัดว่าเป็นไอ้แก่ตัณหากลับที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้เพียงเศษเสี้ยวหน้าไม่อายเลยแม้แต่น้อยคนหนึ่ง
แต่ก่อนได้ยินเจ็ดสังหารคุยโวโอ้อวดว่ารังแกอาจารย์อย่างไร ยังนึกว่าท่านอาจารย์จื่อเวยเป็นคนท่าทางหน่อมแน้มที่อัธยาศัยดีมาก ตอนนี้เห็นแล้ว ท่าทางอาจยังพอหน่อมแน้ม อัธยาศัยดีเหรอ? ช่างมันเถิด โดนรังแกเหรอ? เหอะๆ!
พอคิดว่าตัวเองยังต้องขอร้องไอ้แก่ตัณหากลับคนนี้ พอคิดว่าเจ้าผู้ชราที่ไร้คุณธรรมคนนี้จะต้องทวงบุญคุณ ไม่รู้ว่าจะเสนอเงื่อนไขแปลกประหลาดอะไร นางรู้สึกทันทีว่าการเชื่อใจเจ็ดสังหารเรื่องย่ำแย่ที่สุดในโลกจริงด้วย
บนหน้าผาไม่มีการเคลื่อนไหวอีกแล้ว แม้แต่พวกอิงไป๋เผยซูยังไม่ยอมโผล่หน้าออกมา พวกเขาอาจถูกท่านอาจารย์จื่อเวยจับตัวไว้แล้ว หรือไม่ก็คงกำลังแกล้งตาย
จิ่งเหิงปัวลองคาดการณ์อนาคตที่เส้นทางข้างหน้ามืดมนอย่างกลัดกลุ้ม คว่ำหน้านอนหลับ
ต่อให้เป็นเรื่องน่าเศร้าแค่ไหน ทุกเรื่องจะมาถึงพรุ่งนี้ ทำไมต้องรีบวิตกกังวลตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ? วันนี้มีเตียงวันนี้นอนก่อน ใช่ไหมล่ะ?
การนอนหลับหลังกลางดึกปลอดภัยอย่างยิ่ง เพียงแต่มักฝันเห็นเงาผีลอยล่อง
เช้าตรู่นางเปิดประตูพร้อมเส้นเลือดฝอยทั่วนัยน์ตา จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยตื่นมาทำอาหารเช้าแล้ว ทั้งสองคนใต้ตาดำคล้ำเป็นวงใหญ่ เห็นได้ชัดว่านอนไม่หลับเช่นกัน แม้แต่เจ้าหมาโง่ยังไม่ท่องกลอนอีกต่อไป นั่งยองข้างหน้าต่างจ้องต้นสนบนหน้าผาฝั่งตรงข้าม จิ่งเหิงปัวเดินเข้าไปมอง บนต้นไม้ที่หน้าผาฝั่งตรงข้ามมีนกอินทรีขาวหายากตัวหนึ่ง มันกำลังเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความลำพองใจ
“นั่นคือสิ่งใด นั่นคือสิ่งใด?” เจ้าหมาโง่ถาม
“นกกระจอก! นกกระจอก!” จิ่งเหิงปัวตบขนบนหัวของมัน กล่าวว่า “นกกระจอกขาวหายากล่ะ ท่านหมาโง่จับมาเป็นลูกน้องสิ ท่านหมาโง่จับมาเป็นลูกน้องเลย”
มองจากไกลๆ นกอินทรีขาวตัวนั้น ตัวใหญ่แค่เกือบเท่านกกระจอก
เจ้าหมาโง่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด อาจด้วยเพราะมันถูกเฟยเฟยรังแกมานานแล้ว พอเข้าป่ามองเห็นนกหลายตัว เริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะเลี้ยงลูกน้องไว้รับมือสัตว์ประหลาดน้อย
สัตว์ประหลาดน้อยหมอบอยู่ข้างโต๊ะกำลังหลับสนิท มันลืมตาโดยพลัน ชะโงกหน้ามองนกอินทรีขาวทางนั้น จากนั้นใช้เท้าเตะเจ้าหมาโง่ออกนอกหน้าต่าง
ขนหลากสีสันปลิวว่อน เจ้าหมาโง่ดิ้นรนอยู่นานถึงปีนขึ้นหน้าต่างได้ ร้องด่าว่า “จันทร์ล่องเหนือธารา ไกลสุดหล้าฟ้าร่วมครอง พี่ไปหาลูกน้อง ค่อยมาย่องสังหารเจ้า!”
ทุกวันจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จิ่งเหิงปัวเห็นจนเอียนแล้ว เบะปาก เดินออกมาล้างหน้าบ้วนปาก
พอประตูเปิดออก นางแทบยื่นคอไปข้างหน้า
ไอ้เวรเอ๊ย ปีศาจภูเขาฝูงหนึ่งมาจากไหน?
คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ถึงจะกล่าวว่าคน แต่แท้จริงแล้วน่าเวทนาไม่น้อย เสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้าเขียวช้ำ ทั่วร่างเปรอะเปื้อนโคลน ท่าทางคล้ายกลิ้งอยู่ในบ่อโคลนสามปีแล้วโดนย่ำยีซ้ำอีกรอบ
นางยื่นนิ้วออกไปนับจำนวน หนึ่งสองสามสี่ห้าหก
“เอ๊ะ เจ้าเมาสุราตกหน้าผาแล้วไม่ใช่หรือ?”
ชีอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดวงตายังวิงเวียนพร่ามัว ท่าทางคล้ายเมาจนใกล้ตายแล้ว
“เอ๊ะ เจ้าไปช่วยเขาแล้วไม่ใช่หรือ?”
ลู่เอ่อร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าตาฟกช้ำปากบิดเบี้ยว กว่าจะช่วยได้คงยากลำบากมาก
“เอ๊ะ เจ้าไปคารวะแสงพระพุทธแล้วไม่ใช่หรือ?”
อู่ซานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแขนห้อย พนมมือไม่ได้อีกต่อไป
“เอ๊ะ เจ้าไปเก็บสมุนไพรแล้วไม่ใช่หรือ?”
ซือซือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามปากบวมเป็นปากเจ่อ ซ้ำยังเคี้ยวสิ่งของที่มีรูปร่างสีสันน่าขยะแขยงมาก เห็นแล้วคล้ายปากบวมมากยิ่งขึ้น
“เอ๊ะ เจ้าหนีไปปลดทุกข์แล้วไม่ใช่หรือ?”
ซานอู่ดูท่าทางรอยแผลเบาบางคล้ายไม่เป็นอะไรมาก แต่สีหน้าผิดปกติชัดเจน วิตกกังวล อดไม่ได้ที่จะกุมท้องไว้บ่อยครั้ง เดินวนกระทืบเท้าบนพื้นบ่อยครั้ง
อืม ดูท่าทางคล้ายกำลังกลั้นปัสสาวะ?
“คนนั้นที่ไปรับอาจารย์ไปที่ใดแล้ว?”
เอ่อร์ลู่ไม่อยู่
“ไปรับอาจารย์ที่บึงโคลนเฮยสุ่ยแล้ว…” พวกเฮฮาเอ่ยวาจาหน้านิ่วคิ้วขมวด
จิ่งเหิงปัวมองทางคนสุดท้าย เขายังสวมชุดกระโปรงม่วงของเมื่อคืน ปล่อยผมสยาย บนใบหน้าถูกทาแป้งจนขาวผ่องราวหิมะ สีหน้าย่ำแย่เหลือเกิน ท่าทางปากบิดเบี้ยวคล้ายอยากอาเจียนทุกเวลา แต่จิ่งเหิงปัวไม่ยอมปล่อยเขาไปเลยแม้แต่น้อย
“กวางโรของข้าล่ะ?”
สีหน้าอยากอาเจียนบนใบหน้าของอีชียิ่งชัดเจน ปากบิดเบี้ยวหลายครั้ง ถุยขนกระจุกหนึ่งออกมา
ขนกวางโร
จิ่งเหิงปัวจ้องขนกวางโรนั้น…กวางโรทั้งตัวคงไม่ได้ถูกเขากินเข้าไปดิบๆ หรอกมั้ง?
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ เห็นได้จากสีหน้าที่โดนย่ำยีจนเจ็บปวดเจียนตายของพวกเขาเหล่านั้น
มิน่าล่ะท่องเที่ยวนานขนาดนี้ยังไม่ยอมกลับขึ้นเขา
จิ่งเหิงปัวมองทั้งหกคน นึกถึงการหลอกลวง ‘คดีฆาตกรรมจิ้งจอก’ เมื่อวานพวกนั้นของตัวเอง นึกถึงท่าทางร้องห่มร้องไห้กระโดดน้ำของเจ้าคนนั้น ขนทั่วร่างลุกชันขึ้นมาฟิ้วเสียงหนึ่ง
ที่นี่อยู่ไม่ได้!
เจ้าผู้ชราแก้แค้นแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ซ้ำยังใช้วิธีชั่วร้ายร้อยแปดพันเก้า!
ถ้ากล่าวว่าล่วงเกินร้ายแรง วาจาเมื่อวานพวกนั้นของนางต้องร้ายแรงกว่าเจ็ดสังหารล่วงเกินอาจารย์แน่นอน
ชีวิตน้อยๆ ของนางจะถูกกลั่นแกล้งจนจบสิ้น!
จิ่งเหิงปัวหันกายดังฟิ้ว ร้องเรียกจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยว่า “เก็บห่อผ้า พวกเราออกเดินทาง!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนาง ทั่วภูเขาพลันดังก้องด้วยเสียงทุ้มหนัก
“ภูเขานี้ข้าบุกเบิก ป่าไม้นี้ข้าปลูกไว้ รังแกเหล่าลูกศิษย์ สังหารสิ้นไม่สนใจ”
…