เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 36 - 1 ไล่ตามภรรยาที่หนีไป?
จู่ๆ ข้างหลังเกิดเสียงคำรามแผ่วเบา หลังเอวเจ็บแปลบคล้ายถูกของแหลมคมอะไรกระแทก ช่วงเอวนางสั่นสะท้าน รู้สึกทันทีว่าแขนขยับได้แล้ว
นางหันหน้าหาห้องครัวพอดี ฝั่งตรงข้าม ท่านป้าล้วงหินเหล็กไฟออกมาจุดไฟเผาฟืน กำลังจะยัดฟืนใส่ในช่องเตาไฟ
ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ นางโบกมือทันที
พลั่ก ผักล้างแล้วที่วางอยู่บนแท่นเตาพลันร่วงพื้น ใบผักหลายใบลอยเข้าช่องเตาไฟ ใบผักชุ่มน้ำใบหนึ่งในนั้นคลุมบนฟืนที่ลุกไหม้พอดี สายตามองเห็นประกายไฟแดงเข้มบนฟืนค่อยๆ มอดแล้ว
ท่านป้ามองดูใบผักเหล่านั้นอย่างตื่นตะลึง…อยู่ดีๆ ร่วงพื้นได้อย่างไร? อีกทั้ง ร่วงพื้นแล้วยังลอยเข้าช่องเตาไฟได้อย่างไร?
นางได้แต่รีบหยิบใบผักออกมา ใบผักชุ่มน้ำอยู่ในช่องเตาไฟจะทำให้จุดไฟไม่ติด
มือเอื้อมเข้าไป หยิบเพียงครั้ง นางเปล่งเสียงกรีดร้อง
“มีคน!”
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจยาว
ชนะแล้ว
ตอนนี้เพิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นเยือก เหงื่อเย็นเปียกโชกตั้งนานแล้ว
ท่านป้าดึงเด็กหญิงตัวน้อยคิ้วดำตาดำออกมาจากช่องเตาไฟ เป็นยงเสวี่ยนั่นเอง นางตัวเล็กผอมบาง ส่วนเตาดินเหนียวในชนบทค่อนข้างใหญ่ นางซ่อนอยู่ในช่องเตาไฟ คนที่อยู่ข้างนอกมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
จิ่งเหิงปัวนึกภาพเด็กหญิงน้อยคนนี้เกือบจะถูกไฟไหม้ แอบสาบานว่าสักวันจะต้องยัดเฒ่าหน้าไม่อายนั่นเข้าช่องเตาไฟบ้างสักครั้ง
ไม่ จับเขาใส่หม้อต้มเลยดีกว่า!
ครู่หนึ่งนั้นที่ยงเสวี่ยถูกดึงออกมา บนร่างนางผ่อนคลาย ขยับได้แล้วด้วย พูดได้แล้วด้วย
หลังเอวยังคงปวดแสบปวดร้อน แต่ในใจนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้ช่วยเหลือ บางทียงเสวี่ยอาจไม่ถูกเผาตาย แต่ถูกยัดอยู่ในช่องเตาไฟที่มืดมิดเป็นเวลานาน ซ้ำยังถูกไฟไหม้ผมอะไรแบบนั้น ถ้าหลงเหลือแผลในใจหรือเป็นรอยถลอกอะไรแบบนั้นตั้งแต่อายุน้อยๆ คงไม่ดีแล้ว
นางรู้สึกว่าด้วยนิสัยของคนแบบท่านอาจารย์จื่อเวยนี้ อย่างมากคงรู้สึกว่าชีวิตสำคัญเล็กน้อย เรื่องเป็นอันตรายอะไรเอย แผลในใจเอย ความล้มเหลวเอย กลไกการป้องกันตัวเองเอย ทุกเรื่องเป็นสิ่งไร้สาระในสายตาเขา เขามีชีวิตอยู่ก็เพื่อสร้างแผลในใจให้คนอื่น จะสนใจว่าคุณเป็นแผลในใจอะไรที่ไหนกัน
ณ เขาชีเฟิงแห่งนี้ ไม่มีพื้นดินให้บุหงาลาวัณย์รอดชีวิต เลี้ยงไว้แค่ยอดฝีมือผู้ที่เฮฮา ปลิ้นปล้อน อีกทั้งภายนอกเฮฮาปลิ้นปล้อน แต่แท้จริงแล้วใจแข็งดั่งเหล็กกล้า
ณ ที่แห่งนี้ คุณธรรมอันดีงาม เช่น ความเมตตา การปกป้อง ความอดทน การเคารพครูบาอาจารย์เชื่อฟังคำสั่งสอนถูกหมิ่นแคลนเหยียดหยาม ผู้ที่ตาต่อตาฟันต่อฟันร้อยเล่ห์เพทุบายออกนอกลู่นอกทางไม่สนใจกฎเกณฑ์ได้รับการยกย่องเชิดชูมากกว่า
อาการชาบนร่างค่อยๆ หายไป ก็ไม่รู้ว่าไอ้แก่หนังเหนียวนั่นใช้วิธีอะไรถอนพิษผ่านอากาศ จิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงเหอะๆ หนาวเย็นระลอกหนึ่ง
บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ชั้นถูกเจ้าเล่นงาน รอให้เรียนจบวิชาของเจ้า ชั้นจะใช้เชือกจูงเจ้าไปเล่น!
บนต้นไม้ทางนั้น เหลือไว้เพียงกระบอกสุราเปล่า นางตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะหาสุราชั้นยอดไปให้อิงไป๋
“นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าสองคนไปเรียนวรยุทธ์กับเจ็ดสังหารหรือเทียนชี่ ไม่ว่าได้เรียนรู้สิ่งใด จะต้องมีความสามารถปกป้องตนเอง” นางจ้องมองจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยที่หน้าตามอมแมม กล่าวว่า “สถานที่ที่พวกเราต้องไปคือบึงโคลนเฮยสุ่ยที่ลึกลับซับซ้อนอยู่รอดได้ยากที่สุด หากพวกเจ้าไม่มีแม้แต่ความสามารถปกป้องตนเองสักอย่างสองอย่าง วันหน้าก็รอคอยออกเรือนที่เมืองเล็กๆ ตรงเชิงเขาชีเฟิงเถิด!”
นางไม่กลัวทำร้ายศักดิ์ศรีของพวกนาง ไม่กลัวว่าคำพูดนี้ไม่เกรงใจด้วย เรื่องบางเรื่องถ้าไม่พูดให้ชัดเจน วันหน้าจะต้องได้นึกย้อนเสียใจ ตอนนั้นทั้งที่นางรู้สึกไม่สบายใจกับจิ้งอวิ๋น แต่ปล่อยไปเพราะใจอ่อนสงสาร เรื่องราวต่อจากนี้ไปเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย นางจะไม่ใจอ่อนอีกแล้ว
เติบโตไม่ได้ก็อยู่แต่งงาน นางคิดแบบนี้จริงๆ ไม่ว่าใครจะเป็นภาระของใครไม่ได้
จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยคุกเข่าลงพร้อมกัน ไม่เอ่ยวาจาต่อต้าน โขกศีรษะลงไปอย่างแรง ร้องว่า “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย พวกหม่อมฉันจะเรียนให้ได้! หากพวกเขาไม่สอน ต่อให้แอบเรียนพวกหม่อมฉันก็จะเรียนให้ได้!”
จิ่งเหิงปัวพยักหน้า นางรู้ว่าชาวยุทธภพจะเรียนวรยุทธ์มีกฎเกณฑ์มากมาย ถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์สำนักตัวเองจะถ่ายทอดวิชาให้โดยง่ายไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่ได้เสนอเผยซูกับอิงไป๋ มีแค่เจ็ดสังหารที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์กับเทียนชี่ที่ไม่มีสำนักวิชาอยู่แล้วถึงจะช่วยจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยได้
ก่อนหน้านี้นางได้ให้สองคนนั้นไปเรียนวรยุทธ์บ้าง แต่ผู้หญิงยุคโบราณของแท้แต่ดั้งเดิม ส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเรียนวรยุทธ์ จื่อหรุ่ยแค่อยากเป็นขุนนางหญิง วันหน้านางได้เป็นราชินีแล้วจะดูแลราชกิจแทนนาง ยงเสวี่ยแค่อยากป็นแม่ครัวน้อย แต่นี่เป็นเรื่องของอนาคต ถ้าแม้แต่ราชินียังเป็นไม่ได้ แม้แต่ชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ ขุนนางหญิงกับแม่ครัวจะมาจากไหน?
การตายของชุ่ยเจี่ยเป็นความเจ็บปวดชั่วนิรันดร์ในใจนาง หัวเข่าที่อบอุ่นขึ้นมาไม่ได้ตลอดชีวิตของนาง ไม่อยากวางศพเพื่อนอีกแล้ว
วิชาอัศจรรย์เฉพาะตัวที่ไม่ต้องการพื้นฐานวรยุทธ์บางอย่างของเจ็ดสังหารสามารถเรียนรู้ได้ ยิ่งกว่านั้นนางพบว่าจื่อหรุ่ยหูไวตาไว ส่วนยงเสวี่ยคล้ายมีลางสังหรณ์เหมือนสัตว์ป่า แต่ลางสังหรณ์แบบนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นการล่วงรู้อันตรายแบบนั้น ส่วนมากเป็นการคาดการณ์นิสัยของมนุษย์
บนโลกนี้ไม่มีคนไร้ประโยชน์ที่แท้จริง มีแต่คนที่ไม่คิดแสวงหาความก้าวหน้า
นางนึกถึงประโยคนี้ของไท่สื่อหลันทันที ตอนนั้นเธอดูถูกเหยียดหยาม ยิ้มแย้มกล่าวว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ตั้งแต่ต้นจนจบได้แบบนั้นถึงนับว่ามีวาสนาอย่างแท้จริง เพราะว่ามีสภาพแวดล้อมที่เพียบพร้อมกับคนที่รักใคร่เธอ ทำให้เธอไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาความก้าวหน้า
ในเมื่อไม่มีวาสนาเช่นนี้ เช่นนั้นก็ได้แต่สู้สุดชีวิตแล้ว
“ไอ้แก่หนังเหนียวจื่อเวยนั่น” นางกล่าวว่า “หลงตัวเอง ทะนุถนอมผมของตนเป็นพิเศษ พวกเจ้าจำไว้ คราวหน้าพกกระบอกเชื้อไฟติดกาย หากเฒ่าระยำนี้คิดจะใช้พวกเจ้ามาข่มขู่ข้าอีกครั้ง พวกเจ้าจงเผาขนนกทั่วศีรษะเขา ไม่ต้องกลัวว่าจะเผาใบหน้าของพวกเจ้าเอง พวกเจ้าถูกเผาเสียโฉมเท่าใด วันหน้าข้าก็จะเผาเขาให้เสียโฉมเท่านั้น”
ไกลออกไปบนต้นไม้ ใครบางคนลูบคลำผมยาวสยายของตนเอง รีบสอดเข้าในเสื้อคลุมยาว
พวกเฮฮาเจ็ดคนกระซิบกระซาบแอบหัวเราะ สีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ทว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาก็หัวเราะไม่ออกแล้ว
“วิชาไล่ผีแสร้งมรณะของชีอี้รังเกียจแมลงที่เอ่อร์ลู่ควบคุมที่สุด ส่วนแมลงของเอ่อร์ลู่จะถูกยาของซือซือฆ่าตายเป็นประจำ วิชาหุ่นเชิดของซานอู่เจอการขับร้องของอู่ซานแล้วจะแสดงวิชาได้ไม่เต็มกำลัง การขับร้องของอู่ซานกลัวพิษฝันของลู่เอ่อร์ที่สุด พิษฝันของลู่เอ่อร์กลัววิชาแยกวิญญาณของอีชี…”
ได้ฟังจิ่งเหิงปัวเอ่ยวาจาน้ำไหลไฟดับ เจ็ดสังหารจ้องมองซึ่งกันและกันอย่างเซ่อซ่า กระทุ้งแขน
“เฮ้ย นางรู้ได้อย่างไร?”
“เฮ้ย ข้าแสดงออกมาไม่กี่ครั้งเอง?”
“เฮ้ย แม้แต่พิษฝันข้ายังไม่เคยแสดงออกมาเลย!”
“ไม่เคยแสดงให้เห็นด้วยซ้ำ นางรู้ได้อย่างไรว่าร่วมข่มกัน?”
“เหอะๆ เจ้าสามชอบละเมอกระมัง?”
“เจ้าเอ่ยว่านางฟังเสียงละเมอกลางดึก? อาๆๆ เหตุใดนางไม่มาฟังข้า? ยามหลับฝันข้ายังแสดงความรู้สึกลึกซึ้งต่อนางทุกวัน…”
“ยินดีด้วย หากนางมาฟังเจ้า เจ้าก็คงกลายเป็นขันทีตั้งนานแล้ว”
…
“ข้าว่า…” เสียงหนึ่งพลันแว่วมาเฉื่อยเนือย พวกเฮฮาเจ็ดคนหุบปากโดยพลัน มองคนที่เอ่ยปากผู้นั้นอย่างหลบๆ ซ่อนๆ และเปี่ยมด้วยเจตนาร้าย
“เด็กหญิงที่พวกเจ้าพากลับมาด้วยคราวนี้ น่าสนใจยิ่งนักเชียว…” บางคนหวีผมล้ำค่าของตนเอง แสงรุ่งโรจน์ระยิบระยับกลางนัยน์ตา เอ่ยว่า “ข้าจะต้อนรับนางอย่างดีเลย…”
พวกเฮฮาเจ็ดคนสั่นสะท้านทั่วร่างโดยพร้อมเพรียง
…
ท่านป้าที่อยู่ในลานบ้านเรียกกินข้าว จิ่งเหิงปัวจึงพาจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยไปกินข้าวด้วย ไม่ไปมองต้นไม้ที่สั่นเทิ้มคล้ายเสียสติทางนั้น
นางรู้ว่าไอ้ติ๊งต๊องฝูงนั้นยังอยู่ ก็เลยจงใจกล่าวให้พวกเขาฟัง
ยิ่งมีความท้าทาย ยิ่งกระตุ้นความสนใจของพวกติ๊งต๊องได้ นางเชื่อว่าถ้านางจะลงเขาตอนนี้ จื่อเวยคงตามไปขอร้องให้เล่นด้วยอีกสักหน่อย
คนเยอะ อาหารวันนี้คือต้มฉับฉ่าย คนส่วนใหญ่ตักข้าวแล้วคีบอาหารนิดหน่อย เดินออกไปกินข้างนอก เหลือโต๊ะและเก้าอี้ไว้ให้พวกจิ่งเหิงปัวอย่างรู้ตัวยิ่ง
จิ่งเหิงปัวถือชามใบใหญ่เช่นกัน แต่ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ เดินไปกลางลานบ้าน มองดูว่าเหนือศีรษะไม่มีร่มไม้อะไรเลยถึงนั่งยองกินข้าว
จื่อหรุ่ยยงเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงไม่นั่งม้านั่ง ไม่เอาชายคาร่มไม้บังลม แต่จะนั่งยองกลางลานบ้านที่รอบด้านไม่มีที่กำบังแห่งนี้ จากนั้นพวกนางก็เข้าใจแล้ว
คนที่นั่งกินข้าวบนม้านั่ง ไม่นานม้านั่งก็ถล่มแล้ว
คนที่นั่งยองกินข้าวบนธรณีประตู ธรณีประตูหักแล้ว
คนที่กินข้าวใต้ชายคา ชายคามีกระเบื้องตกลงมาแล้ว
คนที่กินข้าวใต้ร่มไม้ บนต้นไม้มีวัตถุระบุไม่ได้มากมายร่วงหล่น
ชะงักงันกินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งชาม ทั่วลานบ้านมีบุรุษฝูงหนึ่งนอนหงายท้องระเกะระกะ
จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยปากอ้าตาค้าง จิ่งเหิงปัวก้มหน้าพุ้ยข้าวไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ ต้องรีบกิน นางสังหรณ์ว่าถ้าอยู่ที่นี่ เจ้าผู้ชราคงไม่ให้โอกาสนางได้กินข้าวหมดอย่างสบายอกสบายใจ
เพิ่งฝืนใจกินข้าวได้เจ็ดส่วน เหนือศีรษะมีกางเกงในตัวหนึ่งลอยลงมาจริงๆ
จื่อหรุ่ยยงเสวี่ยปากอ้าตาค้างมองกางเกงในของบุรุษอย่างชัดเจน ข้างบนคล้ายยังมีคราบน่าสงสัยขาวๆ เหลืองๆ กางเกงในเยี่ยงนี้ ทำให้สาวน้อยสองนางไม่มีความกล้าเอื้อมมือไปคว้าโดยแท้
มือข้างหนึ่งยื่นออกมา คว้ากางเกงในไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน
ข้างบนพลันแว่วเสียงเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “รับคำสั่งลังเล หักหนึ่งแต้ม”
จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยมองหน้ากันไปมาอย่างงงงวย
จิ่งเหิงปัวไม่สนใจพวกนาง คลี่กางเกงในในมือออก บนกางเกงในคืออักษรเบียดเสียดแน่นขนัด เขียนได้เรียกว่าหงส์ฟ้อนมังกรเหินวิจิตรดุจเทพสร้างแบบนั้นเลย นางกล่าวว่า “จื่อหรุ่ยเจ้ามาอ่าน”
หากเป็นแต่ก่อน จื่อหรุ่ยคงลำบากใจแน่แท้ ยามนี้กลับขยับเข้ามาโดยพลัน มองหลายครั้ง เปลี่ยนสีหน้าแล้ว กระซิบว่า “อา…เป็นข้อสอบ”
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวอ่านออกแล้วเช่นกัน ไม่นึกว่าสิ่งนี้ที่เขียนอยู่บนกางเกงในจะเป็นข้อสอบฉบับหนึ่ง
เริ่มต้นด้วยการใช้วาจาละเอียดลออหลายร้อยอักษร กระทำการประจบสอพลอที่น่าสะอิดสะเอียนจนพาให้คลื่นเ**ยนต่อท่านอาจารย์จื่อเวยก่อน จากนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่าในฐานะผู้เก่งกล้าที่สะเทือนฟ้าดินผีสางเทวดาร่ำไห้ไม่มีคนเป็นมาก่อนไม่มีคนเป็นอีกแล้วเลิศล้ำทั่วหล้าไร้เทียบเทียมผู้หนึ่งนี้ แน่นอนว่าเห็นใครขึ้นเขามาขอให้รักษาคงจะลงมือเรื่อยเปื่อยไม่ได้ เช่นนั้นไม่อาจแสดงบุคลิกกับฐานะของเขา ฉะนั้น ตั้งแต่จิ่งเหิงปัวกับลูกน้องเข้าสู่เขตเขาชีเฟิง ทุกการกระทำจะจัดเป็นรายการทดสอบแล้วให้คะแนน คะแนนเต็มหนึ่งร้อยคะแนน หลังผ่านไปครึ่งปี ถ้าคะแนนรวมสูงกว่าเจ็ดสิบคะแนน จึงจะถอนพิษให้จิ่งเหิงปัวได้ ซ้ำยังถอนพิษให้เผยซูกับลูกน้องได้ด้วย ถ้าคะแนนรวมต่ำกว่าเจ็ดสิบคะแนน เหอะๆๆ ท่านอาจารย์จื่อเวยจิตใจงดงาม ไม่ฆ่าคนหรอกนะ แต่หลังจากนั้นจิ่งเหิงปัวกับคนของนางก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว หมู่นี้ท่านผู้ชราอาจารย์จื่อเวยเกิดความคิดที่ยิ่งใหญ่ อยากจะขุดอุโมงค์ทะลุกลางเขาชีเฟิงให้รถแล่นผ่าน ต้องการกรรมกรที่แข็งแกร่งแข็งแรงสักกลุ่มอยู่พอดี เช่นนั้นก็อยู่ช่วยท่านผู้สูงวัยขุดถ้ำเถิด ขุดถ้ำสักร้อยปี ใช้เวลาประมาณนั้นก็น่าจะขุดเสร็จแล้ว พอถึงตอนนั้นอยากไปไหนก็ไปเลย จุ๊บๆ