เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 37 - 2 หนุ่มหน้ามนกับชายฉกรรจ์
เรื่องราวสำเร็จราบรื่น จิ่งเหิงปัวรู้สึกสบายอารมณ์ เข้าโรงเตี๊ยมด้วยฝีเท้ารวดเร็ว ตอนเข้าโรงเตี๊ยม ข้างหลังพลันแว่วเสียงกีบเท้าม้าว่องไว นางยังไม่ทันได้หันหน้ากลับไปมอง พลันถูกสายลมที่ม้าตัวหนึ่งห้อตะบึงผ่านไปพัดจนโซเซ แทบจะล้มลงบนธรณีประตู
เสี่ยวเอ้อร์ประคองนางไว้ นางหันหน้ากลับไปมอง บนถนนที่คับแคบ ทหารม้าสิบกว่านายห้อตะบึงปานสายฟ้า พุ่งตรงไปข้างหน้าตลอดทางดุจเข้าสู่เขตไร้ผู้คน คราวนี้ราษฎรในเมืองไม่แม้แต่จะตะโกนด้วยซ้ำ ปิดประตูเสียเลย
“นั่นมันผู้ใดกัน” จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้ามองเงาด้านหลังของทหารม้าบนหลังม้า ในใจคิดว่าคนพวกนี้ถึงเป็นคนป่าเถื่อนที่แท้จริง ดูจากสีหน้าราษฎร คล้ายหวาดกลัวกว่าเจ็ดสังหารมาก
“แลไม่รู้ว่าเป็นองครักษ์ท่านใดในสิบสามองครักษ์…หมู่นี้เจ็ดชั่วไม่อยู่ พวกเขามาบ่อยครั้ง ทุกคนเลยซวยกันหมด เฮ้อ น่าจะปล่อยข่าวว่าเจ็ดชั่วกลับมาแล้วถึงจะถูกต้อง…” เสี่ยวเอ้อร์ส่ายหน้าบ่นอุบอิบ
“เจ็ดชั่วไม่ใช่พวกทำลายแคว้นทำร้ายราษฎร์หรือ พอพวกเจ้าได้ยินนามพวกเขาพลันลี้ภัยปิดประตูมิใช่หรือ เหตุใดฟังแล้วพวกเจ้าคล้ายยังหวังให้พวกเขาปกป้องกระนั้น”
“เจ็ดชั่วชอบเล่นสนุกชอบกลั่นแกล้ง น่ารำคาญยิ่งนัก ซ้ำยังทำเรื่องผิดแผกแตกต่าง ทุกคนปวดศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยว่า “ทว่าไม่ว่าอย่างไร เจ็ดชั่วไม่สังหารคน ไม่ฉกชิง ไม่แตะต้องสาวชาวบ้าน ซ้ำยังไม่เอาทรัพย์สินของผู้อื่นไปจริง บางครั้งเจอผู้อื่นรังแกพวกเรา หากอารมณ์ดีจะลงมือสักหน่อย เทียบกับสิบสามองครักษ์ฝูงนั้นที่ปล้นเงินปล้นของ เก็บค่าที่ดินมาถึงเมืองชีเฟิงแล้ว พวกเขาดีกว่ามากนัก…”
“เสี่ยวเต๋อ!” เจ้าของร้านตะโกนจากหลังโต๊ะรับเงินว่า “อย่าเอ่ยเหลวไหล!”
เสี่ยวเอ้อร์หุบปากอย่างโกรธเคือง จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะ ชี้พวกเขาพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าน่ะ หน้าด้านเสียจริงนะ ทั้งที่อาศัยเจ็ดสังหารคอยปกป้อง ทั้งที่ในใจรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนเลว ทว่ายังทำท่าทางเยี่ยงนั้น พวกเจ้ากล้าปาไข่ไก่ใส่สิบสามองครักษ์หรือ? เอ่ยกันตามจริงแล้ว เพียงกลัวคนเลวจึงรังแกคนดีเท่านั้น!”
คนทั้งห้องโถงโดนนางต่อว่าจนสีหน้ากระดากอาย ไม่มีคนขานรับ จิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะ คิดว่าสิบสามองครักษ์นี้จะชั่วร้ายเลวทรามเกินไปแล้ว เมืองชีเฟิงนี้ห่างจากไต้เม่าไกลพอสมควร ไม่นึกว่าจะเก็บค่าคุ้มครองมาถึงที่นี่ได้ พลางคิดว่าชาวเมืองชีเฟิงก็หน้าไม่อายพอกัน วันไหนเจอพวกฝูงนี้อยู่ด้วยกันคงโชคร้ายน่าสมน้ำหน้า
ยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ นางตบโต๊ะ ร้องว่า “เอาห้องพิเศษห้องหนึ่ง!”
ห้องพิเศษเหลือแค่ห้องเดียวพอดี ตอนจิ่งเหิงปัวจ่ายเงินในใจรู้สึกประหลาด โรงเตี๊ยมเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แขกเข้าออกจำนวนจำกัด ทำไมห้องพิเศษถึงเหลือแค่ห้องเดียว คนพวกไหนมาพักด้วย?
ตอนเข้าลานบ้าน นางมองเห็นรถม้าฝุ่นเขรอะหลายคันจอดอยู่ในลานบ้าน แต่ก็ท่าทางธรรมดามาก อาจเป็นพ่อค้าเร่ที่เดินทางผ่าน เพียงแต่พ่อค้าเร่ใจกว้างขนาดนี้ เหมาห้องไว้มากขนาดนั้น พบเห็นได้น้อยครั้ง
ตอนเสี่ยวเอ้อร์พานางไปถึงห้อง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ห้องพิเศษเพียงห้องเดียวนี้อยู่ตรงกลางชั้นหนึ่ง ซ้ายขวามีคนพักอาศัย รู้สึกคล้ายถูกโอบล้อม
ความรู้สึกแบบนี้ไม่ค่อยสบายเท่าไร แต่ก็ไล่คนที่เข้ามาพักก่อนออกไปไม่ได้ นางเหลียวมองสองฝั่งซ้ายขวา ประตูปิดสนิท ไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย
เข้าห้องแล้ว เพิ่งคิดจะเอนหลังสักหน่อย คนหนึ่งคนวิ่งเข้ามาในห้องอย่างสง่างาม นอนลงข้างกายนางโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
จิ่งเหิงปัวเห็นเขาแล้วโมโหจากก้นบึ้งของหัวใจ เตะเขาอย่างโหดเ**้ยมครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้ายังมีหน้ามานอนหลับอีกหรือ เมื่อครู่วิ่งแจ้นไปที่ใดกัน?”
เผยซูพลันพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ตวาดว่า “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลยนะ เจ้าจัดเตรียมผู้ช่วยคนอื่นไว้ใช่หรือไม่? เมื่อครู่ข้าเกือบโดนมันยิงทะลุจากข้างหลังเป็นรูใหญ่! ไอ้ระยำผู้นั้นลงมือโหดเ**้ยมยิ่งนัก ประหนึ่งมีความแค้นใหญ่หลวงกับข้ากระนั้น ข้าอ้อมเมืองไล่ล่าตั้งรอบหนึ่ง ไอ้ระยำผู้นั้นหนีเร็วเสียจริง! คงมิใช่เจ้าจัดเตรียมให้เทียนชี่แก้แค้นข้ากระมัง?”
“ข้าหวังให้เทียนชี่มาด้วย เทียนชี่ไม่อยู่อิงไป๋ก็ได้ อย่างไรเสียผู้ใดก็ได้ที่ไม่ใช่เจ้า” จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว จากนั้นรู้สึกแปลกใจ จอมอันธพาลคนนี้ยอมแพ้ได้ด้วย ถามว่า “อยู่ดีๆ ผู้ใดยิงเจ้า? ก่อนหน้านี้ที่เจ้าพุ่งมาหาข้าครั้งสุดท้ายนั้นหรือ มิน่าล่ะข้าเห็นท่วงท่าเจ้าผิดปกติ คล้ายสุนัขกินอุจจาระกระนั้น”
“สามหาว!” เผยซูเชิดคิ้วเรียวยาว ร้องว่า “พวกสตรีเช่นเจ้านี้นับวันยิ่งสามหาว! มาทางนี้! นวดหลังให้ข้า!”
“นวดน้องสาวเจ้าสิ” จิ่งเหิงปัวนอนลงไป ศีรษะหนุนมือทั้งสอง กล่าวว่า “ข้าเป็นคนเปิดห้องนี้ไว้ เตียงของข้า เจ้าห้ามนอน อยากเข้าพัก ไปเปิดห้องเองสิ”
“เจ้านึกว่าข้าอยากนอนกับเจ้าหรือ? ไม่รู้จักทาผงหอมบ้าง! ซ้ำยังไม่รู้จักเปลี่ยนอาภรณ์ให้งดงามหน่อย” เผยซูแบมือ ร้องว่า “นี่ เอาเงินมา”
“หา?” จิ่งเหิงปัวแทบจะแคะหู…การได้ยินมีปัญหาเหรอ?
“ข้าไม่มีเงินติดตัว” เผยซูเอ่ยด้วยเหตุผลแน่นหนักว่า “เจ้าให้เงินข้าข้าจะได้ไปเปิดห้อง”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าบทสนทนานี้ทะแม่งๆ เกินไปแล้ว…
ข้อมูลโคตรแน่น
ความรู้สึกเหมือนชายหญิงลอบเป็นชู้หนุ่มหน้ามนเกาะผู้หญิงกินขอเงินจากเศรษฐินี…
“ข้ามีเงินที่ใดกัน? ไปหาเองสิ! เป็นถึงขุนพลน้อย ขอเงินจากสตรี เจ้ามีศักดิ์ศรีหรือไม่?”
“เป็นถึงขุนพลน้อย กระทำเรื่องฉกฉวยผลประโยชน์เช่นพ่อค้านั้นถึงเรียกว่าขายหน้า ชั่วชีวิตนี้ข้าทำได้เพียงสู้รบ ซ้ำยังชื่นชอบสู้รบ เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ย!”
“เหมือนเจ้าจะมีลูกยังให้คนอื่นมีอะไรกันแทนเจ้า!” จิ่งเหิงปัวพึมพำเสียงหนึ่ง นับเงินในกระเป๋า ไม่พอเปิดอีกห้องหนึ่ง ได้แต่กล่าวว่า “เจ้านอนพื้นตรงนี้!”
“เป็นถึงขุนพลน้อย จะนอนพื้นได้อย่างไร?” เผยซูยิ่งโกรธเคือง ร้องว่า “เจ้านอนสิ”
“ข้าถีบเลย!” จิ่งเหิงปัวใช้เท้าถีบขาเขา ร้องว่า “ข้ายังเป็นราชินีอยู่นะ!”
“หยุดโวยวายได้แล้ว!” เผยซูพลันเอื้อมแขนโอบกอดนาง เอ่ยว่า “ไม่ต้องนอนพื้นกันทั้งนั้น เตียงนี้ใหญ่ขนาดนี้ นอนด้วยกันพอแล้ว เฮ้อ อย่าโวยวายสิ ข้าไล่ล่ามือสังหารผู้นั้นตั้งรอบหนึ่ง เหนื่อยยิ่งนัก ให้ข้านอนสักหน่อย”
เอ่ยจบก็หลับตาลงแล้ว
จิ่งเหิงปัวถลึงตาใส่เขา…ไอ้เด็กคนนี้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ? มึนชาตั้งแต่เกิดหรือหน้าไม่อายตั้งแต่เกิด? ทำไมทุกวาจาสองแง่สองง่ามทั้งนั้น? บอกว่าเขาคลุมเครือแต่เขามีแววตาบริสุทธิ์มีสีหน้าซื่อตรง บอกว่าเขาไม่คลุมเครือแต่วาจาของเขาฟังได้เหรอ? คราวนี้ถ้าข้างห้องมีคน จะไม่นึกว่าสองคนในห้องนี้ลักลอบเป็นชู้กันเหรอ?
พอนึกถึงข้างห้อง ในใจนางกระตุกวูบ ข้างห้องเงียบจังเลย
ไม่รู้ทำไม ความเงียบนั้น เงียบจนทำให้นางแอบไม่สบายใจ รู้สึกเสมอว่าคล้ายมีคนจ้องมองนางอย่างเงียบเชียบ
นางกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นาน แท้จริงแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อย คร้านจะถีบเผยซูตกเตียงก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท ซ้ำยังคร้านจะลงจากเตียงไปนอนพื้นเอง คิดอยู่ว่าพักผ่อนก่อนสักหน่อยน่าจะดี เผยซูที่อยู่ข้างกายนอนหลับแล้ว ลมหายใจเงียบสงบ พาให้นางเกิดอาการง่วงนอน
แต่นางเพิ่งจะหลับตาแล้วพลันลืมตา
ผิดปกติ
ความรู้สึกที่โดนแอบดูแบบนั้นยิ่งชัดเจนแล้ว
…
ข้างห้อง
เขานั่งหันหน้าหากำแพง หลับตาลงเล็กน้อย ประคองชาถ้วยหนึ่งไว้ในมือ
น้ำชาเย็นแล้ว ด้วยเพราะมองไม่เห็นไอร้อนสักสาย ทว่าเขายังประคองไว้
ทิศทางที่เขาหันหน้าเข้าหาถูกกั้นด้วยกำแพงหนึ่งด้าน น่าจะเป็นเตียงที่จิ่งเหิงปัวกับเผยซูนอนหลับยามนี้
เขากำลังหลับตา แม้กั้นด้วยกำแพง แต่คล้ายยัง ‘มองเห็น’ จิ่งเหิงปัวกับเผยซูนอนเตียงเดียวกันอยู่ฝั่งตรงข้าม ‘มองเห็น’ สองคน ‘เกี้ยวพาราสี’ ได้
บนใบหน้าเขาไม่มีสีหน้า ทว่าบนถ้วยชากระเบื้องขาวปรากฏรอยร้าวกระจัดกระจายรำไร หนึ่งรอย หนึ่งรอย อีกหนึ่งรอย…
เรื่องประหลาดคือรอยร้าวกระจายทั่วดุจดวงดารา ทว่าไม่มีน้ำชาสักหยดไหลริน
องครักษ์ยืนอยู่ข้างกายเขา ไม่กล้าหายใจแรง
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น องครักษ์พลันก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง โค้งกายรอคำสั่ง
เขาเอ่ยว่า “โรงเตี๊ยมห้องครัวใกล้จะเตรียมอาหารเย็นแล้วกระมัง?”
“ขอรับ”
“จัดการสักหน่อย” เขายกมือชี้ข้างห้อง เอ่ยว่า “รับรองว่านางไม่เป็นไรพอแล้ว”
“ขอรับ”
หน้าผากเขาพลันขยับเขยื้อน โบกมือบอกใบ้ให้องครักษ์ถอยไปโดยพลัน จากนั้นตนเองลุกขึ้น
ยามเขาลุกขึ้น ถ้วยชาในมือพลันแตกร้าวทีละชิ้น อาภรณ์เขาเริ่มเวียนวน แผ่นกระเบื้องสีขาวที่แตกร้าวลอยขึ้นข้างกาย กลายเป็นผงสีขาวสูญสลายหายไป
เงาร่างเขาหายไปเช่นกัน
พริบตาต่อมาจิ่งเหิงปัวปรากฏตัวในห้อง
นางเหลียวมองซ้ายขวา งงงวยพบว่าในห้องไม่มีคน
เมื่อครู่นางรู้สึกได้ว่ามีคนแอบดูอยู่ข้างห้อง คิดอยู่ชั่วครู่ตัดสินใจเข้ามาดูหน่อยดีกว่า นางคิดไว้แล้ว ถ้ามีมือสังหารแบบนั้นจริงก็จะคว้ามีดแทงสักแผล ถ้าเจอคนอื่นนอนหลับก็จะห่มผ้าห่มให้เขา อย่างไรเสียนางเดี๋ยวไปเดี๋ยวมา เขาคงนึกว่าฝันไป
แต่ในห้องไม่มีคน ทำให้นางรู้สึกแปลกใจ นางเชื่อลางสังหรณ์ของตัวเอง อย่างน้อยเมื่อครู่ในห้องนี้ยังมีคนอยู่
หางตานางพลันรู้สึกได้ว่าบนโต๊ะคล้ายสะท้อนแสงเล็กน้อย เดินเข้าไปไม่กี่ก้าว นิ้วมือลูบบนผิวโต๊ะ มีคราบน้ำนิดหน่อยรำไร
คราบน้ำเย็นเยือก
จากนั้นมองดูบนโต๊ะ มีถาดรอง มีฝาถ้วยชา
คล้ายขาดสิ่งของอะไรไปสักอย่าง
นางหัวเราะ ส่ายหน้า กะพริบกายจากไป
เมื่อครู่มีคนอยู่ที่นี่ กำลังดื่มชา เรื่องประหลาดคือเขาดื่มชาที่เย็นแล้ว
คนหนึ่งคนในห้องกว้างโล่งเงียบสงัด นั่งหันหน้าหากำแพง ดื่มชาเย็นชืด ฟังเสียงเคลื่อนไหวข้างห้องของนางกับเผยซู?
ทำไมรู้สึกแปลกๆ
แต่ในเมื่อคนไม่อยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้นางรู้ตัว ยิ่งกว่านั้นยังเป็นยอดฝีมือ การเคลื่อนที่พริบตาของนางเดี๋ยวไปเดี๋ยวมา ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือระดับสุดยอดคงยากจะคาดการณ์แล้วหลบหนีไป
ยอดฝีมือคล้ายไม่มีเจตนาร้ายมากมาย เช่นนั้นนางก็ไม่อยากหาเรื่อง
นางกลับมาในห้อง เผยซูตื่นนอนแล้ว กำลังกุมท้องนั่งอยู่บนเตียง พอมองเห็นนางพลันเอ่ยว่า “สั่งข้าวมากิน”
จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว คร้านจะจุกจิกกับน้ำเสียงประหนึ่งสามีสั่งอนุภรรยานี้ของเขา เรียกเสี่ยวเอ้อร์มาสั่งอาหาร ผ่านไปครู่หนึ่งเสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารสามจานน้ำแกงหนึ่งชามมาให้ เป็นเครื่องเคียงที่ห้องครัวใหญ่เตรียมไว้ให้แขก จิ่งเหิงปัวกับเผยซูก็ไม่เรื่องมาก คว้าชามตักข้าวกินอาหาร
จิ่งเหิงปัวเพิ่งล้วงเข็มเงินออกมาเตรียมตรวจสอบอาหาร เผยซูพุ้ยข้าวหมดเกลี้ยงหนึ่งชามแล้ว จิ่งเหิงปัวเยาะเย้ยว่า “ยังเป็นขุนพลร้อยสงครามได้หรือ? แต่งเรื่องกระมัง? ด้วยความระมัดระวังเช่นนี้ของเจ้า ควรสิ้นชีพเป็นร้อยเป็นพันครั้งตั้งนานแล้วถึงจะถูกต้อง เจ้าไม่กลัวว่าบริเวณนี้มีศัตรู วางยาพิษในอาหารหรือ?”
“ไม่ได้กินยาพิษนานแล้ว อยากกินอยู่พอดี” เผยซูไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เอ่ยว่า “ข้าล่ะอยากรู้จักสักหน่อย ข้างนอกมีพิษใดร้ายแรงยิ่งกว่าพิษหุบเขาเทียนฮุย”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งนึกได้ว่าเจ้าคนนี้อยู่หุบเขาเทียนฮุยมานานหลายปี แม้กล่าวว่าถูกพิษทั่วร่าง จนตอนนี้ผิวหนูเทายังไม่ได้หายไปโดยสมบูรณ์ แต่น่าจะกลายเป็นภูมิคุ้มกันต่อยาพิษธรรมดาหลายชนิดแล้วมั้ง? มิน่าล่ะเขาวางมาดไม่หวาดกลัว
มีเครื่องตรวจสารพิษอัตโนมัติเช่นเผยซูนี้อยู่ด้วย นางจึงกินข้าวอย่างหมดห่วง ก่อนหน้านี้กินขนมเปี๊ยะไปแล้วเล็กน้อย ไม่รู้สึกหิวเท่าไร แค่กินไปหนึ่งชามนิดหน่อย แต่เห็นเผยซูกินข้าวเร็วเกินไป กลัวเขาสำลักตาย อดจะกำชับไม่ได้ว่า “ช้าหน่อย ไม่มีคนแย่งเจ้ากิน”
“นี่เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ” เผยซูยิ้มให้นางแม้ยามวุ่นวาย นับว่างดงามดุจบุปผารุ่งอรุณยามวสันต์จริงแท้
จิ่งเหิงปัวพลันรู้สึกว่าความรู้สึกที่ถูกข้างห้องแอบดูแบบนั้นมาอีกแล้ว!
นางสะกดกลั้นความอยากกะพริบกายไปดูข้างห้องอีกครั้งไว้ มองไม่เห็นด้วยซ้ำ รอให้นางหายตัวไป ต้องไม่มีใครอยู่อีกแน่นอน
กินข้าวเสร็จ สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์เข้ามาเก็บกวาดห้อง นางมองดูท้องฟ้าย่ำค่ำ กำลังคิดจะเรียกเผยซูให้ไปขุดเงินกับนาง เดินไปทางทิศตะวันตกสามลี้เป็นเงื่อนไขของนาง นางจำได้ว่าที่นั่นเปลี่ยวมาก ใครจะรู้ว่าพอหันหน้า เจ้าคนนั้นเอนหลังนอนอีกแล้ว
“กินแล้วนอนนอนแล้วกิน เดี๋ยวก็กลายเป็นหมู!” จิ่งเหิงปัวด่าเสียงหนึ่ง คิดว่าตัวเองไปคนเดียวก็ไม่เป็นไร ช่างเขาเถอะ
นางเพิ่งจะจากไป เผยซูที่อยู่บนเตียงพลันลืมตาอย่างยากลำบาก
“ผิดปกติ…” เขาพึมพำว่า “จะนอนหลับได้อย่างไร…ผิดปกติ!”
เขาพลันลุกขึ้นนั่ง เหลียวมองซ้ายขวา เอ่ยอย่างตกใจว่า “ต้าปัว! ต้าปัวเจ้าไปที่ใดแล้ว?” เรียกอยู่นานไม่มีคนขานรับ เขากระทืบเท้า ทะลุหน้าต่างออกไป