เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 37 - 3 หนุ่มหน้ามนกับชายฉกรรจ์
ภายในข้างห้อง
ผู้ที่นั่งตัวตรงนั้น หันกายมององครักษ์ที่อยู่ข้างกาย
องครักษ์มีสีหน้าละอายทั่วใบหน้า ซ้ำยังเจือด้วยความแปลกใจหลายส่วน ก้มหน้าเอ่ยว่า “นายท่าน พวกข้าน้อยวางยาด้วยความระมัดระวังยิ่งนัก ปริมาณเพียงพอเหมาะสม รับรองได้ว่าจะไม่ถูกพบเจอ รับรองได้ว่าแม่นางจะไม่ได้รับผลกระทบ เอ่ยกันตามตรงต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งยังควรสลบไสลมากกว่าสามชั่วยาม…เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเผยซูร้ายกาจเพียงนี้ ยานี้เพียงทำให้เขาหลับตาลงชั่วครู่…”
เขายกมือ องครักษ์หุบปากโดยพลัน
“เผยซูอยู่หุบเขาเทียนฮุยมานานหลายปี ร่างกายน่าจะต้านพิษได้ ข้าลืมเรื่องนี้เอง พวกเจ้าทำให้เขาสลบไสลได้พริบตาหนึ่ง ไม่เลวแล้ว”
พริบตาหนึ่งนั้นก็พอแล้ว
อย่างน้อยคงตามจิ่งเหิงปัวไม่ทัน
…
กีบเท้าม้าดังตึกตัก ทหารม้ากลุ่มใหญ่ทะลุผ่านถนนยาวเงียบเหงา ผู้ที่อยู่ข้างหน้าสวมผ้าคลุมแดงเข้ม สะบัดออกเห็นข้างในเป็นแพรดำ บนผ้าคลุมปักลายแมงป่องที่แยกเขี้ยวยิงฟัน ทั้งดุร้ายทั้งบ้าคลั่ง
เสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งของเขาดังก้องทั่วถนนยาวที่เงียบสงัดเช่นกัน
“พวกเต่าเมืองชีเฟิงฝูงนี้หดหัวเข้ากระดองอีกแล้ว! หดหัวมีประโยชน์อันใด สิบสามองครักษ์ให้พวกเจ้าจ่ายค่าที่ดิน พวกเจ้ากล้าไม่จ่ายหรือ?”
“องครักษ์สิบสอง” ผู้ติดตามเอ่ยว่า “วันนี้ค่ำแล้ว พวกเราหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนสักคืนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเก็บค่าที่ดินเถิด”
“เสียดายว่าเมืองชีเฟิงนี้เล็กเกินไป ไม่มีแม้แต่หอคณิกา…” องครักษ์สิบสองผู้นั้นกลอกตาไปมา เอ่ยว่า “ค่ำคืนยาวนานเชื่องช้าเช่นนี้ ยากผ่านพ้นได้…”
ม้าที่อยู่ข้างหน้าพลันร้องฮี้แผ่วเบาคล้ายถูกผู้ใดชนเข้า บางคนตวาดว่า “ผู้ใดกันเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!” พลิกตัวลงจากม้า คว้าเงาคนหนึ่งคนไว้
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา สีหน้างงงวยสับสน เป็นโจวต้าช่างกระเบื้องผู้โด่งดังคนนั้นก่อนหน้านี้นั่นเอง
เขาเป็นช่างฝีมือผู้โด่งดังของเมืองนี้ ทว่ายามยกขื่อก่อนหน้านี้ ยกขื่อขึ้นไม่ได้ตั้งหลายครั้ง แทบจะทำลายงานใหญ่ของเจ้าภาพ หลังเสร็จงานแล้วแม้เจ้าภาพไม่ได้เอาเรื่องเขา แต่ท่าทางเฉยเมยไม่น้อย ซ้ำยังไม่ได้ให้ค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ โจวต้ารู้สึกอับอายขายหน้า ไม่กล้าทวงค่าตอบแทน ตนเองออกมาด้วยความหดหู่ ระหว่างทางโกรธแค้นว่าโชคไม่ดี ซ้ำยังชิงชังว่าโดนสตรีที่โผล่มาอย่างพิลึกพิลั่นนางนั้นแย่งความดีความชอบ รู้สึกว่าไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกไม้ของสตรีนางนั้น ด้วยความกลัดกลุ้มไม่ได้เงยหน้ามองคน เดินชนม้าของคนกลุ่มนี้เข้า
ยามนี้เขาเงยหน้ามอง อดจะแอบร้องไห้ไม่ได้…สิบสามองครักษ์ที่หมู่นี้ก่อกวนเมืองชีเฟิงไม่หยุดหย่อนฝูงนี้ ทำให้ชาวเมืองชีเฟิงลำบากมานักต่อนัก ทุกคนจำได้ทั้งนั้น
มองเห็นคนเหล่านี้หน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าหาเรื่องทั่วใบหน้า เขาพลันนึกได้ว่าเมื่อครู่ได้ยินวาจาของอีกฝ่ายรำไร รีบเอ่ยว่า “องครักษ์จะหาสตรีหรือ? ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเห็นโฉมงามเลิศล้ำนางหนึ่ง! หากองครักษ์ลงมือ แทบไม่ต้องออกแรงแน่แท้!”
…
จิ่งเหิงปัวแบกเจ้าหมาโง่ไว้ไหล่ซ้าย เฟยเฟยนั่งยองอยู่ไหล่ขวา รีบเดินจากเมืองเล็กๆ ไปทางตะวันตกสามลี้
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แสงขาวนิดหน่อยล่องลอยในทุ่งกว้างรำไร สายลมเฉียดผ่านยอดไม้แห้ง เสียงดังหวีดหวิว
คราวนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งพบว่าตำแหน่งนี้ที่ตัวเองชี้ไว้เหมือนจะเปลี่ยวเกินไปหน่อย อีกทั้งเนินดินที่ผุดขึ้นมาแต่ละเนินข้างหน้านั่นคืออะไร คงไม่ใช่สุสานหรอกมั้ง?
แค่ชี้มือชี้เจอสุสาน? โคตรซวย
เจ้าหมาโง่สั่นระริกอยู่บนหัวไหล่นาง ท่องกลอนยาวเหยียดว่า “สิบปีพ้นผ่านม้วย ไร้ตรอง ลืมเลือน สามร่วมเฮฮาจ้อง วิ่งเข้ากองไฟ”
ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวลงมือ เฟยเฟยใช้เท้าถีบมันออกไปสามจั้ง
เจ้าหมาโง่กระพือปีก คว้าของสิ่งหนึ่งไว้ถึงยืนนิ่ง หัวเราะก๊ากๆ เอ่ยว่า “เจ้าให้ลมพัดออกตกเหนือใต้ ข้าจะไม่เคลื่อนไหวแม้เศษเสี้ยว…แกว๊กกกก”
มันพลันเห็นชัดว่าใต้กรงเล็บคือสิ่งใด ก่อนจะกรีดร้อง ดวงตากลอกเพียงครั้ง สลบไปแล้ว
จิ่งเหิงปัวเห็นแล้ว สิ่งที่มันคว้าไว้คือกระดูกขาวซีดท่อนหนึ่ง
ไม่ต้องจำแนกยังรู้ว่าเป็นกระดูกมนุษย์
รอบด้านผีพุ่งไต้ลอยล่อง กว้างโล่งเปล่าเปลี่ยว หลุมศพผุพัง กระดูกขาวร่วงโรย ไม่เพียงแต่เป็นสุสาน ซ้ำยังเป็นสุสานฝังรวม
เจ้าหมาโง่ตัวสั่นระริก จิ่งเหิงปัวเป็นผู้หญิง รู้สึกขนลุกกับสถานที่แบบนี้นิดหน่อยเช่นกัน แต่เฟยเฟยเหมือนจะชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก ลื่นไถลดังฟิ้วเสียงหนึ่ง วิ่งไปในสุสานรวมคาบกระดูกไปเล่นแล้ว
จิ่งเหิงปัวอยากร้องเรียก พอหันหน้ามองเห็นไกลออกไปมีแสงไฟวูบไหว เจ้าภาพคนนั้นน่าจะเข้ามาฝังเงินแล้ว รีบคว้าจะงอยปากของเจ้าหมาโง่ เข้าไปซ่อนหลังหลุมศพแห่งหนึ่ง
ตอนเข้าไปซ่อนหลังหลุมศพ ในใจนางมีความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งเฉียดผ่าน คล้ายรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ตอนนี้นึกไม่ออก
โคมไฟสั่นไหว คนกลุ่มนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ เป็นตระกูลเศรษฐีที่สร้างบ้านนั้นจริงด้วย พาคนจำนวนมากมาด้วยคล้ายเพื่อเสริมความกล้า สีหน้ายังหวาดกลัว เดินเข้ามาในสุสานอย่างรวดเร็ว
เอ่ยกันว่าสถานที่ที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึง โดยทั่วไปมีเพียงด้านข้างของหลุมฝังศพ ที่นี่เป็นสุสานฝังรวม หลุมฝังศพที่เป็นรูปเป็นร่างเหลืออยู่ไม่มาก เจ้าภาพผู้นั้นขุดหลุมข้างหลุมฝังศพสักแห่ง วางเงินลงไปแล้วรีบอธิษฐานไม่กี่ประโยค จากนั้นรีบเดินจากไป
ขณะพวกเขาจากไป เดินผ่านข้างหน้าจิ่งเหิงปัวพอดี เสียงวาจาขาดๆ หายๆ แว่วมา
“ไปเร็ว ที่นี่อยู่นานไม่ได้”
“ครั้งก่อนลูกชายคนรองบ้านตาแก่หนิวเมืองเราเข้ามาลองของ วันรุ่งขึ้นไม่ได้กลับไป ภายหลังเจอศพของเขาที่นี่เอง ท้องไส้ไหลทะลักเชียว สยดสยองยิ่งนัก!”
“ดึกดื่นเที่ยงคืน ซ้ำยังอยู่ที่นี่ ไม่ต้องเอ่ยวาจาแล้ว รีบไป!”
ฝีเท้ารีบร้อนจากไป จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว ที่นี่มีสัตว์ร้ายเหรอ? อยู่ดีๆ ทำไมถึงมีคนไส้ไหลตายที่นี่ได้?
สายลมของค่ำคืนนี้หนาวเย็นเป็นพิเศษ แสงจันทร์เลือนรางมัวสลัว ท้องฟ้าสะท้อนมวลเมฆมืดครึ้ม จิ่งเหิงปัวตัดสินใจหยิบเงินแล้วจากไป ไม่อยู่นานแน่นอน
เพิ่งจะขุดหลุม หอบเงินไว้ในอ้อมแขน พลันได้ยินเสียงกีบเท้าม้า
ดึกดื่นเที่ยงคืนที่สุสานฝังรวมแห่งนี้ จะยังมีคนเข้ามาได้อย่างไร? อีกทั้งฟังเสียงกีบเท้าม้าแล้วไม่ได้มาแค่คนเดียว
ออกไปตอนนี้จะถูกพบเจอ จิ่งเหิงปัวได้แต่หาที่ซ่อนอีกครั้ง เฟยเฟยคาบอะไรสักอย่างไว้ ส่ายหางให้นางอยู่บนเนินหลุมศพแห่งหนึ่งกะทันหัน จิ่งเหิงปัวเห็นหลุมฝังศพนั้นค่อนข้างกว้างขวาง จึงตามเฟยเฟยไปซ่อนหลังหลุมฝังศพด้วย หลุมฝังศพแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่โตสมบูรณ์ บนเนินดินเกลี้ยงเกลารอบด้าน
สายลมพัดพาเสียงสนทนามาอีกครั้ง
“ไม่นึกว่าไอ้ระยำผู้นั้นจะกล้าหลอกข้า! เจอกันครั้งหน้า มันโดนแน่!”
“นายท่านอย่าโกรธเลย ข้าน้อยคิดว่าเขาคล้ายไม่ได้หลอกท่าน เจ้าของโรงเตี๊ยมยังเอ่ยว่ามีแม่นางหน้าตางดงามเข้าพักอยู่เลยมิใช่หรือ”
“แล้วตัวนางเล่า ไปที่ใดแล้ว”
“…อาจออกไปธุระกะทันหัน…นายท่านอย่าโกรธเลย นับว่านางไม่มีวาสนาได้รับความโปรดปรานจากท่าน ประเดี๋ยวข้าน้อยจะหาโฉมงามยิ่งกว่านี้มาให้ท่าน”
“ช่างเถิดๆ กระตุ้นความอยากของข้า ทว่าหานางไม่เจอ เสียอารมณ์จริงเชียว…อย่างไรเสียนอนไม่หลับ เข้ามาสอดส่องหน่อยดีกว่า”
“นายท่าน องครักษ์ใหญ่กำชับไว้ ที่นี่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ต้องพยายามไม่ให้ข่าวรั่วไหล…”
“ได้ๆๆ ต้องให้เจ้ากำชับด้วยหรือ? ข้าไม่วางใจจึงเข้ามาตรวจตราสักหน่อยมิใช่หรือ ทุกคนที่สุสานฝังรวมแห่งนี้เป็นคนกันเองทั้งนั้น ส่วนเรื่องข่าวใดรั่วไหล หรือว่าเจ้าเป็นคนทรยศ เจ้าจะปล่อยข่าวออกไป?”
“ข้าน้อยไม่กล้า!”
“เช่นนั้นดีเลย พวกเราเข้ามาดูหน่อย คุมงานหน่อย ประเดี๋ยวองครักษ์ใหญ่คงต้องชมว่าข้าเพียรพยายาม ดึกดื่นเที่ยงคืนยังเป็นห่วงเรื่องในพรรคมิใช่หรือ?”
“ขอรับๆ”
ฝ่ามือของจิ่งเหิงปัวค้ำยันดินเหนียวเย็นเยือกบนหลุมฝังศพ คิดว่าเป็นแบบนี้เอง
ก่อนหน้านี้สงสัยอยู่ว่าเรื่องสิบสามองครักษ์เก็บค่าคุ้มครองฟังแล้วน่าประหลาด แม้นางไม่รู้ว่าฐานที่มั่นของสิบสามองครักษ์อยู่ที่ไหน แต่ที่นี่ห่างไกลเมืองซั่งหยวนเมืองหลวงเผ่าไต้เม่า ม้าเร็วยังใช้เวลาประมาณสามถึงสี่วัน โดยทั่วไปฐานที่มั่นของสิบสามองครักษ์ควรอยู่บริเวณเมืองซั่งหยวน เก็บค่าคุ้มครองมาถึงสถานที่ห่างไกลหลายร้อยลี้ เอื้อมมือมาไกลเกินไปหน่อยแล้ว
เรื่องเก็บค่าคุ้มครองน่าจะเป็นเรื่องลวง แต่เรื่องก่อตั้งฐานลับที่นี่ แอบอ้างว่าเก็บค่าคุ้มครอง เข้ามาตรวจสอบบางครั้งบางคราวเป็นเรื่องจริง สถานที่เช่นเผ่าไต้เม่านี้มีกลุ่มอำนาจเนืองแน่น แทบทั่วทุกมุมเมืองต่างมีกลุ่มอำนาจใหญ่สักกลุ่มปกครอง สิบสามองครักษ์ต้องการสร้างฐานลับอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลจากเมืองซั่งหยวน ต่างมีความเป็นไปได้ที่จะถูกกลุ่มอำนาจหลักของท้องถิ่นพบเจอ มีแค่เมืองชีเฟิง ตั้งอยู่ข้างล่างเขตเขาชีเฟิง เดิมทีมีการปกป้องที่ทรงพลังของจื่อเวยกับเจ็ดสังหาร แต่จื่อเวยกับเจ็ดสังหารเป็นพวกเฮฮาที่ทำอะไรตามอารมณ์ ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องราวข้างล่างด้วยซ้ำ ฉะนั้นเมืองชีเฟิงจึงกลายเป็นสถานที่ที่ทั้งปลอดภัยทั้งเหมาะสม ส่วนสุสานฝังรวมที่ไม่ค่อยมีคนมานอกเมืองชีเฟิงสามลี้แห่งนี้ แน่นอนว่ายิ่งปลอดภัย
เพียงแต่ ทางเข้านี้อยู่ที่ไหนกัน?
นางมองเฟยเฟยที่อยู่ข้างกาย มันกำลังคายของสิ่งหนึ่งออกมาเล่น ของสิ่งนั้นดำขลับกลมดิก จิ่งเหิงปัวเห็นแล้วในใจเกร็งแน่น…เหมือนจะเป็นลูกระเบิด!
สมัยนี้ปรากฏดินปืนแล้ว แต่มีน้อยมาก ซ้ำยังเป็นของต้องห้ามที่ทางการควบคุมพิเศษ โผล่มาที่นี่ได้อย่างไร?
จิ่งเหิงปัวรีบปัดสิ่งนี้ทิ้งไปด้วยฝ่ามือเดียว เหงื่อเย็นซึมออกมาทั่วร่าง
ตอนนี้คนกลุ่มนั้นลงจากหลังม้า กำลังเดินเข้ามาใกล้ทิศทางนี้…
นางจ้องมองหลุมฝังศพตรงหน้า ทั่วร่างเย็นเยียบ
เข้าใจจนได้ว่าตรงไหนผิดปกติ!
หลุมฝังศพนี้ผิดปกติ!
ที่นี่เป็นสุสานฝังรวม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสถานที่ที่ทิ้งศพเกลื่อนกลาด ไม่ควรมีหลุมฝังศพด้วยซ้ำ คนปกติคนไหนจะฝังผู้ตายไว้ที่นี่อย่างยิ่งใหญ่ อยู่ร่วมกับสัมภเวสีผีเร่ร่อนฝูงหนึ่ง? ต่อให้มีหลุมฝังศพ ก็น่าจะเป็นหลุมฝังศพร้างไร้เจ้าของตั้งแต่เมื่อก่อน ผ่านมาเนิ่นนาน ไร้คนดูแล ผุพังทรุดโทรม จะมีหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ประณีตจนไม่มีแม้แต่หญ้าสักต้นขนาดนี้ได้อย่างไร?
ทางเข้าอยู่ที่นี่!
ความคิดนี้เฉียดผ่านสมองปานฟ้าแลบ ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือหายตัวออกไป แต่เหลียวมองซ้ายขวา รอบด้านเป็นทุ่งกว้าง ด้วยความสามารถหายตัวของนาง การหายตัวครั้งนี้จะยังโผล่มาในเขตทุ่งกว้าง จะถูกพบเจอ ถูกพบเจอแล้วแน่นอนว่านางหนีไปได้ ปลอดภัยหายห่วง แต่องครักษ์อะไรคนนี้ก็จะพบเจอได้ เขาก็จะรู้ว่าข่าวฐานลับรั่วไหล เช่นนั้นฐานนี้ก็จะถูกเคลื่อนย้ายทันที
แต่นางยังอยากรู้ว่าฐานนี้มีความลับอะไร สิบสามองครักษ์ก็เป็นหนึ่งในพรรคที่ค่อนข้างโด่งดังในบึงโคลนเฮยสุ่ย แม้นับว่าอ่อนแอที่สุดในหมู่ทุกกลุ่มอำนาจใหญ่ แต่ตัวพรรคเองมีขนาดใหญ่ ซ้ำยังไม่เคยหยุดจัดอันดับแข่งขัน พรรคแบบนี้ไม่กลัวสิ้นเปลืองกำลังทรัพย์กำลังคน ตั้งใจเลือกสถานที่สร้างฐานลับใต้ดินห่างไกลหลายร้อยลี้ คงกำลังดำเนินการแผนการสำคัญแน่นอน หรือว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างมาก หรือว่าเป็นภัยคุกคามต่อคนอื่นอย่างมาก ถึงได้สร้างให้ลึกลับขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน ประเมินจากประสบการณ์การแย่งของล้ำค่าตลอดทางของนาง คิดว่าพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ไม่แน่ว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อเส้นทางสู่บัลลังก์ราชินีเฮยสุ่ยหลังจากนี้ของนางนะ? ไม่แน่ว่าอาจได้คะแนนจากไอ้แก่หนังเหนียวจื่อเวยนะ?
จิ่งเหิงปัวเข้าเขตไต้เม่าแล้ว อ้างอิงตามประเพณี เวลานี้เมืองหลวงไต้เม่าควรส่งคนเดินทางมาต้อนรับแล้ว แท้จริงแล้วไม่มีคนสนใจนางด้วยซ้ำ นางคาดการณ์การ ‘ต้อนรับ’ ที่ตัวเองจะได้รับในวันหน้าอยู่ในใจตั้งนานแล้ว ฉะนั้นถึงได้มัวแต่เพิ่มพูนกำลังตลอดทาง
คนกลุ่มนั้นเดินมาทางหลุมฝังศพนี้จริงด้วย แค่เข้าใกล้อีกสักหน่อยก็จะพบเจอนาง นางไม่อยากไป ซ้ำยังไม่อยากถูกพบเจอด้วย ทำอย่างไรดี?
กำลังคิดแผน นางเริ่มรู้สึกว่าข้างหลังเย็นเยียบ ขนทั่วร่างคล้ายลุกชัน!
ข้างหลังมีคน!
แต่นางจำได้แม่นว่าข้างหลังมีแค่หลุมฝังศพแห่งหนึ่ง ผุพังไปครึ่งหนึ่ง!
ลางสังหรณ์กะพริบผ่านเพียงครั้ง นางไม่ทันได้คิดมาก กำลังจะกะพริบกาย มือข้างหนึ่งโอบเอวของนางไว้แล้ว!
มือที่เย็นเยือกแข็งแกร่ง ยื่นออกมาจากในหลุมฝังศพผุพัง…
มือผี…
ความคิดนี้กะพริบผ่านสมอง นางเอื้อมมือจะชักมีด มือข้างนั้นจิ้มแผ่วเบาเพียงครั้ง นางพูดไม่ได้ขยับไม่ได้กะทันหัน อ่อนยวบล้มลงในอ้อมแขน ‘คน’ นั้น