เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 38 - 2 ข้ามีนัดกับผีดิบ
ภายในสุสาน เงาสีเขียวน้ำเงินกะพริบมาอย่างรวดเร็ว ท่าร่างของคนผู้นั้นพิเศษยิ่งนัก ลื่นไถลซ้ายลื่นไถลขวา แลคล้ายเดินเหินลำบาก ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า
ท่าร่างพิเศษที่เผยซูได้ฝึกฝนที่หุบเขาเทียนฮุย
เขาพุ่งมาทางสุสานแห่งนี้ วิ่งไปดมไป ร้องว่า “กลิ่นเหม็นสาบของเจ้าหมาโง่กับเฟยเฟย…น่าจะอยู่แถวนี้!”
สายตาเขาเฉียบคม มองเห็นไม่กี่คนที่เฝ้าประตูหน้าหลุมฝังศพแต่ไกล ขมวดคิ้วเล็กน้อย พึมพำกับตนว่า “ดึกดื่นป่านนี้ สุสานฝังรวมจะมีคนได้อย่างไร ต้าปัวเล่า? สตรีเซ่อซ่านางนี้คงไม่เป็นไรกระมัง?”
เรือนร่างเขาหันขวับ เฉียดเข้าหลังต้นไม้แห้งต้นหนึ่ง เตรียมซ่อนกาย มองคนเหล่านั้นทำอะไรแล้วค่อยว่ากัน
เขาเพิ่งจะยืนนิ่งใต้ต้นไม้ พลันได้ยินเสียงกระพือปีก หลังคอพลันเย็นชื้น พอลูบคลำ เห็นเป็นขี้นกเหลืองอ๋อยก้อนหนึ่ง
เผยซูเงยหน้าด้วยความโมโห หางตามองเห็นเงาขาวเฉียดผ่านรำไร เหนือศีรษะมีเสียงดังพลั่ก นกตัวหนึ่งร่วงมาทางศีรษะเขาประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ เขาได้กลิ่นเหลืองอ๋อยนั้นอีกครั้ง
เผยซูยิ่งเดือดดาล เอื้อมมือหวังหักคอนกน่าชิงชังตัวนั้นให้ดังกร๊อบ นกโชคร้ายตัวนั้นร้อนรน รีบร้องว่า “เจ้าหมาโง่! เจ้าหมาโง่!”
เผยซูยั้งหมัดที่ส่งเสียงดังกร๊อบแกร๊บ หยุดนิ่งกลางอากาศ ครู่ใหญ่จึงปล่อยลงอย่างแรง คว้าเจ้าหมาโง่ลงมาในครั้งเดียว ดวงตากลมโตจ้องตาถั่วเขียวอย่างโหดเ**้ยม
เจ้าหมาโง่ไม่กล้าสบสายตาที่มีไอสังหารหนาวเหน็บของปีศาจร้าย สองปีกบังหน้า เอนตัวไปข้างหลัง เอ่ยด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “บ่าวร่างกายอ่อนแอ คุณชายได้โปรดสงสาร…”
“แหวะ…” เผยซูหน้าเปลี่ยนสี เกือบเหวี่ยงเจ้าหมาโง่ออกไปในครั้งเดียว ร้องว่า “เจ้าเรียนสำเนียงที่น่าขยะแขยงขนาดนี้กับผู้ใดกัน!”
ชะงักเล็กน้อยแล้วเขาหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เอ่ยว่า “สำเนียงนี้ฟังแล้วคุ้นหูนัก! คล้าย…คล้าย…” คิดอยู่ครู่ใหญ่สีหน้าย่ำแย่ยิ่งขึ้น ร้องว่า “คล้ายนังแพศยาหมิงเฉิงนางนั้น!”
เอ่ยนามนี้แล้วเขายิ่งมีสีหน้าเกลียดชัง สะบัดมือจะหักคอเจ้าหมาโง่อีกครั้ง เจ้าหมาโง่เบิกตาถั่วเขียวกว้าง แววตาหวาดกลัว รู้สึกว่าครั้งนี้ท่านหมาโง่คงไม่รอดแล้ว
ทว่ามือของเผยซูหยุดนิ่งห่างจากลำคอหมาโง่ศูนย์จุดศูนย์หนึ่งกงเฟิน เบะปากเล็กน้อย เอ่ยอย่างฮึดฮัดว่า “ฆ่านกชั่วตัวนี้ทิ้ง ต้าปัวต้องโกรธแน่แท้” ยกมือเหวี่ยงเจ้าหมาโง่ออกไป เจ้าหมาโง่รีบวิ่งหนีเตลิด เผยซูยังโมโหไม่หาย เอ่ยอย่างโกรธแค้นว่า “ในใจนาง ข้าสู้นกไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เจ้าหมาโง่ก็เสียงดัง พลันทำให้คนคุ้มกันในสุสานทางนั้นรู้ตัว บางคนวิ่งเข้ามา เสียงตวาดดังขึ้นต่อเนื่องว่า “ผู้ใดกัน!”
คนเหล่านี้วิ่งไปชักอาวุธไป ความลับที่นี่จะรั่วไหลไม่ได้ จักต้องสังหารปิดปาก
เผยซูเห็นพวกเขาชักมีด ดวงตาพลันสว่างวูบแล้ว…ความอึดอัดคับข้อง กลุ้มใจไม่มีที่ระบายพอดีเลย!
“ฆ่านกไม่ได้ ฆ่าคนก็ได้!” เขากะพริบวูบเข้าไป เรือนร่างพลิ้วไหวปานมังกรแหวกว่าย แสงเหน็บหนาวดุจสายฟ้าท่ามกลางความมืดมิด เสียงฟิ้วๆ แสงโลหิตกระเซ็น หลายคนนั้นล้มลงพร้อมกัน กำลังจะร้องโหยหวน เผยซูหันกายเพียงครั้ง สิ่งของคล้ายเส้นใยในมือกะพริบวูบ แทงทะลุคอหอยเหล่านั้นอีกรอบ อุดเสียงโหยหวนไว้ในคอหอย
เงาคนเพิ่งปรากฏ พลันล้มลงตุบตับกลายเป็นซากศพรอบด้าน เหลือไว้เพียงเจ้าผู้หนึ่งซึ่งวิ่งอยู่ข้างหลังสุด สั่นเป็นเจ้าเข้า หันหลังวิ่งหนีโดยพลัน
วิ่งไปไม่กี่ก้าวพบว่าตนเองขยับขาอยู่ที่เดิม มือร้อนผ่าวข้างหนึ่งหิ้วคอเสื้อของเขาไว้ เขาเงยหน้าอย่างหวาดกลัว มองเห็นตาที่เปล่งประกายระยิบระยับกับฟันที่สว่างไสวดั่งหยกขาวท่ามกลางความมืดมิด
เผยซูหิ้วเขาไว้ เดินไปข้างเนินดินนั้น เหลียวมองรอบด้าน หัวเราะเยาะเอ่ยว่า “ไอ้โง่ที่ใดกัน สุสานฝังรวมแห่งหนึ่ง ทว่ามีหลุมฝังศพพิถีพิถันหลุมหนึ่งโผล่มา กลัวว่าผู้อื่นจะหาไม่เจอหรือ?”
เดินวนหลุมฝังศพหนึ่งรอบ เขาพยักหน้าอีกครั้ง เอ่ยว่า “มิน่าล่ะหลุมฝังศพต้องใหญ่ขนาดนี้ ข้างในนี้มีกลไก หลุมฝังศพไม่ใหญ่ติดตั้งเข้าไปไม่ได้”
ตบเจ้าผู้โชคร้ายนั้นครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เปิดประตู!”
“ข้าน้อยไม่รู้ว่าเปิดอย่างไร…” คนผู้นั้นร้องไห้กระซิกวิงวอน
เผยซูไม่ฟังด้วยซ้ำ และไม่ถามซ้ำอีกครั้ง หิ้วเขาไว้พุ่งตรงไปหน้าหลุมฝังศพ คนผู้นั้นร้องโหยหวนดังลั่น เห็นว่าจะกระแทกเนินดินสัมผัสกับดักสิ้นชีพแล้ว ด้วยความจำใจพลันเอื้อมมือกดสักแห่งบนเนินดินเพียงครั้ง
เสียงดังก๊อกแก๊ก ประตูเปิดออก เผยซูหัวเราะเยาะ เหวี่ยงคนผู้นั้นเข้าไปในประตูโดยไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว
คนผู้นั้นเพิ่งจะดีใจที่รอดพ้นจากความตาย ไม่นึกว่าพญามารตนนี้จะใจจืดใจดำถีบหัวส่ง ขณะเหวี่ยงเขาจงใจกระแทกข้างประตู ข้างในหลุมฝังศพดังกึกกักต่อเนื่อง กับดักเริ่มทำงานดังผึง คนผู้นั้นร้องโหยหวนเสียงเดียว ลอยถอยหลังออกมา ทั่วร่างเต็มไปด้วยอาวุธลับหลายชนิด
เผยซูไม่มองด้วยซ้ำ ใช้เท้าเตะศพเขาไว้ฝั่งหนึ่ง แสงจันทร์สาดส่องให้ครึ่งใบหน้าของเขาสว่างไสว ประดุจหยกเพชร
…
จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับไปมองระเบียงทางเดิน ไม่เห็นผีดิบลงมาเช่นเดิม นางเดินไปข้างหน้าเองเสียเลย ข้างหน้าไม่ไกลไม่ใช่เส้นทาง แต่เป็นบึงโคลนเลนสีดำช่วงหนึ่ง ข้างในมีฟองอากาศรำไร บางครั้งยังมองเห็นสันหลังหลายสีที่กะพริบผ่านเพียงครั้ง คล้ายซุกซ่อนสัตว์ร้ายไว้มากมาย
ทางส่วนนี้ไม่มีที่ให้อาศัยแรงเลยแม้แต่น้อย สำหรับคนอื่นย่อมเป็นทางขวางกั้น แต่สำหรับจิ่งเหิงปัวเท่ากับไม่มีด้วยซ้ำ นางแค่ต้องใคร่ครวญว่าหายตัวเข้าห้องนั้นที่อยู่สุดปลายระเบียงแล้วจะพบเจออะไรกันแน่ เห็นทางนั้นแสงไฟสว่างไสว ถ้าข้างในมีคนกลุ่มใหญ่ เช่นนั้นนางหายตัวเข้าไปก็หาของดีอะไรไม่เจอ
กำลังใคร่ครวญ พลันได้ยินข้างกายมีคนร้องว่า “ผู้ใด!”
จิ่งเหิงปัวตกใจ เอียงศีรษะมองทางนั้น เห็นคนหลายคนมุดออกมาจากในห้องดินที่ยังขุดไม่เสร็จ
นางแอบร้องว่าแย่แน่ ถูกห้องข้างหน้าที่มีแสงไฟสว่างไสวห้องนั้นดึงดูดความสนใจ ไม่ได้สังเกตว่าในห้องแบบนี้ก็มีคน
แสงสว่างตรงระเบียงก็ค่อนข้างชัดเจน สาดส่องให้ใบหน้านางสว่างไสว หลายคนตรงข้ามตกใจโมโหเป็นลําดับแรก จากนั้นจึงตกตะลึงยิ่งนัก
คนที่อยู่ข้างหน้ายิ่งมีแววตาเปล่งประกาย จ้องใบหน้าของนางโดยไม่กะพริบตาสักครั้ง
ผู้ที่แต่งกายคล้ายผู้ติดตามคนหนึ่งเงยหน้ามอง เอ่ยว่า “องครักษ์! สตรีนี้เป็นโจรปล้นสุสาน! ท่านดูโพรงข้างบน นางขุดโพรงลงมา!”
เอ่ยเช่นนี้แล้ว ทุกคนยิ่งผ่อนคลายความระมัดระวังหลายส่วน…ไม่ได้เข้ามาจากปากประตู เพียงแค่ขุดโพรงเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นได้ว่าความสามารถคงไม่มาก
“ฮ่าๆ แม่สาวน้อยงดงามปานนี้ มองไม่ออกว่าเป็นจอมโจรใต้ดินหญิง” บุรุษที่อยู่ข้างหน้าอายุประมาณยี่สิบกว่าปี ผิวเหลืองโครงหน้าแคบยาว หน้าตาธรรมดา ทว่าท่าทางค่อนข้างมั่นใจในตนเอง ยิ้มแย้มมองนางเอ่ยว่า “แม่สาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้างานเข้าแล้ว!”
จิ่งเหิงปัวเกือบจะหลุดหัวเราะ กัดฟันกลั้นไว้ ยิ้มแย้มกล่าวว่า “เช่นนั้นหรือ?”
นางเอ่ยวาจาแล้ว ดวงตาของบุรุษนั้นเจิดจ้าอีกครั้ง อดจะเอียงศีรษะกระซิบหยอกล้อกับผู้ติดตามข้างกายไม่ได้ว่า “เสียงไพเราะเสียด้วย จิ๊จ๊ะ ฟังแล้วข้าอ่อนระทวยเลย…”
“โฉมงามที่ไม่ได้รับเชิญนางนี้ ท่านเสวยสุขกับนางได้เลย…” ผู้ติดตามยิ้มจนหน้าตาบิดเบี้ยว เอ่ยว่า “ดูจากรูปโฉมงดงามเช่นนี้ คงต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องรักใคร่แน่แท้ บรรยากาศเป็นใจ ท่านขู่นางสักหน่อย คงเข้ามาอิงแอบแนบชิดแล้ว…”
บุรุษนั้นหัวเราะฮ่าๆ เห็นด้วยกับวาจาของเขา หันหน้าจ้องจิ่งเหิงปัวเขม็ง เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ไม่เคยได้ยินหรือว่ายุทธภพลึกลับซับซ้อน ห้ามหวังครอบครองอาณาเขตของผู้อื่น? บัดนี้เจ้าขุดโพรงนี้มาถึงที่นี่ สิบสามองครักษ์เช่นข้าคงปล่อยเจ้าไปไม่ได้!”
เขาประกาศสมญานามสิบสามองครักษ์ รอให้โฉมงามจิ่งเหิงปัวหน้าเปลี่ยนสี โฉมงามจิ่งเหิงปัว ‘หน้าเปลี่ยนสี’ จริงด้วย ปิดปากไว้ตกใจร้องว่า “สิบสามองครักษ์!”
บุรุษนั้นจ้องเล็บแวววาวดุจเปลือกหอยกับริมฝีปากแดงฉ่ำใต้นิ้วของนาง อดจะกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเสียงหนึ่งไม่ได้ ชี้สุดปลายระเบียงนั้นอย่างเป็นเลศนัย เอ่ยว่า “ที่นี่เป็นความลับของพรรคข้า ไม่ให้ผู้อื่นเข้าใกล้ วันนี้เจ้าบุกเข้ามา ต้องสังหารปิดปาก”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร” จิ่งเหิงปัวกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “ตัวข้าไม่ได้ตั้งใจ ตัวข้าเพิ่งเคยทำครั้งแรก ตัวข้ากลัวจังเลย…”
“กลัวหรือไม่…” บุรุษนั้นยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เจ้ามานี่สิ ข้าดูหน่อย จะหาทางรอดให้เจ้าได้หรือไม่”
จิ่งเหิงปัวเดินเข้าไปอย่างงดงามอ่อนช้อย คิดว่าถ้าแอบจับตัวเจ้าคนนี้เข้าไปในห้องนั้น จะเห็นได้ชัดว่าข้างในมีอะไรกันแน่ใช่ไหม?
บุรุษนั้นจ้องบั้นเอวที่ขยับเขยื้อนอย่างเป็นธรรมชาติกับท่วงท่าฝีก้าวที่ทรงเสน่ห์ล้นเหลือโดยกำเนิดของนาง คิดว่าหากลากสตรีนี้เข้าไปในห้องดินที่อยู่ข้างเคียง จะได้นอนหลับเต็มอิ่มใช่หรือไม่?
จิ่งเหิงปัวเดินเข้าใกล้สามก้าวข้างหน้าเขาแล้ว ยิ้มแย้มเบิกบาน เล็บที่เชิดขึ้นเปล่งประกาย
บุรุษส่งสายตาเพียงครั้ง เหล่าผู้ติดตามห้อมล้อมจิ่งเหิงปัวรำไร เขายิ้มแย้มเดินเข้ามากุมมือของนาง
ข้างหลังพลันมีเสียงดังโครมคราม จากนั้นแว่วเสียงของมีคมแทงผ่านอากาศ ซ้ำยังมีเสียงคนร้องโหยหวนรำไร
ทุกคนเปลี่ยนสีหน้า ร้องตกใจว่า “ตรงทางเข้ามีคนเข้ามา!”
“รีบไปดูเร็ว!”
เป็นครู่หนึ่งนี้ที่เผยซูใช้ร่างมนุษย์กระแทกกับดัก จากนั้นเงาคนกะพริบวูบ เผยซูโผล่มาตรงระเบียงทางนั้นแล้ว
จิ่งเหิงปัวกำลังจะหันหน้ากลับไป ปากอุโมงค์เหนือศีรษะพลันมีเงาขาวกะพริบวูบ ผีดิบนั้นร่วงลงมาแล้ว
เขาร่วงลงมาได้เหมาะเจาะ ขณะทุกคนกำลังถูกเผยซูที่อยู่ปากประตูดึงดูดความสนใจ หลายคนพุ่งไปทางเผยซูแล้ว หนึ่งถึงสองคนที่เหลือล้อมบุรุษนั้นไว้ด้วยท่าทางปกป้อง ผีดิบนี้โผล่พรวดพราด คนที่เหลือยังไม่ทันได้ส่งสัญญาณเตือนภัย เขายกมือขึ้นแล้ว ผู้ติดตามไม่กี่คนนั้นก็ล้มลงไปอย่างเงียบเชียบ
องครักษ์สิบสองนั้นเห็นเขาลงมือ อดจะตกใจไม่ได้ ยามนี้ยังไม่ยอมทิ้งจิ่งเหิงปัว พุ่งไปหวังโอบเอวของนางพลางเอื้อมมือไปชักกระบี่ของตนเอง
เงาขาวกะพริบวูบ จากนั้นเขารู้สึกว่าข้อศอกสองข้างเย็นเยียบ
พอก้มหน้าอีกครั้ง เขาพลันพบว่าสองมือของตนเองยกไม่ขึ้นแล้ว
ยามนี้ความเจ็บปวดรุนแรงเพิ่งขึ้นถึงสมอง เขาเงยหน้ากำลังจะกรีดร้องโหยหวน เงาขาวนั้นพุ่งลงมาแล้ว โยนดินดำกลุ่มหนึ่งเข้าปากเขา อุดเสียงกรีดร้องของเขากลับไปทั้งอย่างนั้น
จากนั้นผีดิบหิ้วเขาไว้ในครั้งเดียว อีกมือหนึ่งหิ้วจิ่งเหิงปัวไว้ เรือนร่างกะพริบวูบไปข้างหลัง กะพริบเข้าห้องดินที่องครักษ์สิบสองออกมาก่อนหน้านี้
จิ่งเหิงปัวกำลังจะกล่าวอะไร แต่เขายับยั้งนางไว้ในครั้งเดียว เพิ่งจะซ่อนตัวเสร็จสิ้น กระดิ่งเตือนภัยทั้งใต้ดินดังสนั่น ได้ยินเสียงพลั่กคล้ายประตูทางระเบียงนั้นเปิดออก
โครงสร้างใต้ดินนี้เรียบง่าย ยังไม่ทันได้บุกเบิกมากมาย สุดปลายระเบียงสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือทางเข้าที่เผยซูเข้ามา ตรงกลางคือบึงโคลนเลนสีดำ อีกฝั่งหนึ่งก็คือห้องลับที่มีแสงไฟสว่างไสว
กระดิ่งเตือนภัยดังลั่น ห้องลับเปิดออก บางคนตะโกนว่า “ข้างหน้ามีศัตรู! รีบไปสกัดกั้น!” จากนั้นเสียงดังฟิ้วๆ ตามด้วยเสียงตุบ คนหนึ่งคนร่วงลงบนทางเดิน ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงดังฟิ้วๆ ตามด้วยเสียงตุบอีกครั้ง คนหนึ่งคนร่วงหล่น
จิ่งเหิงปัวฟังเสียงลม เข้าใจในทันที แท้จริงแล้วห้องลับทางนั้นน่าจะมีอุปกรณ์คล้ายแท่นยิงเคลื่อนย้าย ส่งคนข้ามบึงโคลนพิษที่ซุกซ่อนสัตว์ร้ายส่วนนั้น คนที่อยู่ข้างในออกมาได้ง่าย คนที่จะเข้าไปไม่มีอุปกรณ์นี้ก็ข้ามไปไม่ได้
เสียงฟิ้วๆ ดังต่อเนื่อง คนที่ร่วงพื้นด้วยแท่นยิงเคลื่อนย้ายทยอยเพิ่มขึ้น พากันวิ่งไปทางปากประตู สาบานว่าจะสกัดกั้นเผยซูไว้ตรงปากประตูให้ได้
ทางนั้นตูมตามโครมคราม เริ่มต่อสู้แล้ว เผยซูต่อสู้พลางตะโกนไม่หยุดหย่อนว่า “ต้าปัว! ต้าปัว! เจ้าอยู่หรือไม่? หากไม่อยู่ร้องบอกหน่อย!”
จิ่งเหิงปัวเช็ดเหงื่อครั้งหนึ่ง มังกรอารมณ์ร้ายมาตามหานางหรอกเหรอ?
จากนั้นมองผีดิบที่ไม่ขยับเขยื้อนปานรูปปั้นข้างกาย มองเผยซูที่ถูกโอบล้อมไว้ข้างหน้า ความคิดหนึ่งโผล่มาในสมองนาง…ก่อนหน้านี้ผีดิบนี้ไม่อยู่ด้วย คงไม่ได้ไปล่อเผยซูหรอกมั้ง? ไปล่อเผยซูให้มาบุกเข้าทางปากประตู ดึงดูดความสนใจของศัตรู จากนั้นพานางลอบเข้ามา ฉวยโอกาสยามชุลมุน?
โคตรร้าย โคตรร้าย!
ฝูงชนพากันวิ่งไปทางปากประตูแล้ว จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้ามองสุดปลายระเบียงทางเดิน ประตูห้องลับทางนั้นเปิดออกแล้วจริงด้วย
ผีดิบหิ้วองครักษ์สิบสองที่เจ็บจวนหมดสติไว้ในครั้งเดียว ชี้ไปยังห้องลับนั้น จิ่งเหิงปัวชะโงกเข้าไปกล่าวผสมโรงทันทีว่า “เมื่อครู่เจ้าทำอะไรในห้องดินนี้? ที่นี่ถึงเป็นเส้นทางที่อ้อมผ่านบึงโคลนพิษเข้าห้องลับใช่หรือไม่ พาพวกเราไป ข้าก็จะไม่หยิกเจ้าให้ขาด”
กล่าวจบยิ้มแย้มเหล่ตาเพ่งเป้ากางเกงของเจ้าคนนั้น ฝ่ามือเดี๋ยวขยําเดี๋ยวขยี้ คล้ายกำลังใคร่ครวญว่าท่วงท่าหยิกให้ขาดท่าไหนเสริมแรงมากกว่ากัน
องครักษ์สิบสองนั้นรีบจะเอ่ยวาจา ดินเต็มปาก ร้อนรนจนหน้าแดงก่ำ ผีดิบตบข้างหลังเขาให้เขากระอักดินเต็มปากกับโลหิตอึกหนึ่งออกมา เขาก็ไม่กล้าร้องโอ๊ย สั่นระริกชี้หลังห้องดิน
จิ่งเหิงปัวกำลังจะวิ่งไปตรวจดูว่ามีเส้นทางหรือไม่ แต่หางตามองเห็นผีดิบไม่ขยับเขยื้อนด้วยซ้ำ ในใจนางกระตุกวูบ หันหน้ากลับไปมององครักษ์นั้นแวบหนึ่ง มองเห็นแววตาอาฆาตแค้นชั่วร้ายของเขา เต็มไปด้วยความคิดสังหาร