เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 39 - 1 ผลักล้มไม่ได้ปรึกษา
นางเงยหน้า ข้างบนวงกบประตูเล็ก ดวงพักตร์แลคล้ายสูงส่งบริสุทธิ์ชะโงกลงมา องอาจและอ่อนโยน ประหนึ่งบุปผาหยกสลัก
ผู้ที่หน้าตาสูงส่งคนนี้ วาจาที่พ่นออกมากลับไม่สูงส่งเลยด้วยซ้ำ
“ที่รักจ๋า” ท่านอาจารย์จื่อเวยแกว่งห่อผ้าในมือ สิ่งของหนักอึ้งอยู่ในห่อผ้า ชม้ายชายตาให้คนชุดป่านที่อยู่ข้างหลังนาง “ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้ารั้งเด็กโง่คนนี้ไว้นะ ยามนี้สิ่งที่อยู่ข้างในเป็นของข้าหมดแล้ว เดี๋ยวเราสองแบ่งกัน ได้โอกาสหักคะแนนเด็กหญิงคนนี้ด้วย”
จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับไปมองคนชุดป่าน…เขาคือคนที่ท่านอาจารย์จื่อเวยส่งมา? มาแย่งคะแน่นแย่งสิ่งของ?
คนชุดป่านคล้ายอยากเอ่ยอะไร ทว่าเขาเชิดหน้าเล็กน้อย สบตาประสานสีหน้ายิ้มแย้มปรีดาของท่านอาจารย์จื่อเวย จากนั้นจึงนิ่งเงียบแล้ว
จิ่งเหิงปัวคิดว่าท่านอาจารย์จื่อเวยก็คงทำเรื่องนี้ได้เช่นกัน อย่างไรเสียเขามีชีวิตอยู่ก็เพื่อก่อกวนเรื่อยไป
คราวนี้จิ่งเหิงปัวกลับปล่อยวางแล้ว แน่นอนว่านางไม่เคยเชื่อเลยว่าคนชุดป่านคนนี้เป็นผีดิบ ซ้ำยังจะไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลว่าลงมาหาโลงใหม่อะไรด้วย นางใคร่ครวญตลอดว่าเจ้าคนนี้อยู่ดีๆ โผล่มาช่วยนางเพื่ออะไรกันแน่ ตอนนี้รู้แล้ว กลับสบายใจแล้ว
ขณะสบายใจแล้ว ในใจก็หดหู่นิดหน่อย แต่นางไม่อยากคิดต่อไปแล้วว่าความหดหู่นี้เป็นเพราะอะไร ซ้ำยังไม่อยากลองคิดว่าวาจาของท่านอาจารย์จื่อเวยเชื่อได้หรือไม่กันแน่
เรื่องสำคัญที่ต้องทำคือแย่งคะแนนกลับมาจากท่านอาจารย์จื่อเวยที่นี่ เจ้าผู้ชราคนนี้ไม่มีเหตุผล จะยอมเขาไม่ได้ ตัวเองต้องไม่มีเหตุผลยิ่งกว่าเขาถึงถูกต้อง
“ห้ามหักคะแนน!” นางชี้จมูกท่านอาจารย์จื่อเวย “นี่ไม่ใช่ข้อสอบ! ข้าทำข้อสอบสำเร็จแล้ว!”
“นี่คือหัวข้อเพิ่มเติมน่ะ สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยเพราะข้อสอบทั้งหมด นับว่าอยู่ในข้อสอบทั้งนั้นนะ” ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ้มแย้มปรีดา จิ่งเหิงปัวยิ่งมองใบหน้านั้นของเขาแล้วยิ่งโมโห พฤติกรรมแบบนี้น่าเสียดายหน้าตางดงามเช่นนี้เหลือเกิน
“เจ้าโกง” นางยืนยันไม่เห็นด้วย “ผู้คุมสอบรบกวนข้อสอบเอง ซ้ำยังหาผู้ช่วยก่อกวนได้ด้วยหรือ?”
“เจ้าก็หาผู้ช่วยได้นะ” ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ้มแย้มบุ้ยปากไปทางนอกประตู บอกใบ้ว่าเผยซู
เสียงของเผยซูทะลุผ่านซอกประตูดังชัดเจนเช่นเคย เนื้อหาการด่าทอกลายเป็นจิ่งเหิงปัวแล้ว คราวนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งสังเกตว่าเขากำลังกล่าวอะไร เจ้าคนนี้หานางไม่เจอเริ่มใจร้อน กำลังด่าว่านางหยอกเย้าแล้วทอดทิ้ง
หยอกเย้าน้องสาวเจ้าน่ะสิ จิ่งเหิงปัวอารมณ์เสียหมดแล้ว สะบัดมือจะเดินออกไป ท่านอาจารย์จื่อเวยที่อยู่ข้างหลังเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เป็นฝ่ายละทิ้งข้อสอบเพิ่มเติมก่อน หักยี่สิบแต้ม”
จิ่งเหิงปัวยืนนิ่ง หายใจเฮือก
คนชุดป่านพลันเอ่ยว่า “ในฐานะผู้ช่วย ข้าเสนอเงื่อนไขได้ใช่หรือไม่?”
เขาปริปากเอ่ยวาจามากขนาดนั้นเป็นครั้งแรก เสียงแหบเล็กน้อย
ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ว่ามาก่อนสิ”
“ในเมื่อเป็นข้อสอบ ก็ควรทำให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์” คนชุดป่านเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “เจ้าวิ่งแจ้นมาจบสิ้นล่วงหน้า ก็ย่อมสูญเสียความหมายของการทดสอบ เช่นนี้เถิด เจ้าวางสิ่งของไว้ตำแหน่งเดิม พวกเราให้โอกาสนางอีกครั้ง ข้ากับเจ้ากลุ่มหนึ่ง นางกับเผยซูกลุ่มหนึ่ง พวกเรามาแข่งขัน ผู้ใดแย่งของได้มาก ผู้นั้นก็ชนะ”
“ที่รัก” ท่านอาจารย์จื่อเวยเท้าแก้มมองเขา “แต่ข้ากลัวเจ้าโกง มือไม้ออกนอกลู่นอกทางจะทำอย่างไร?”
“ในเมื่อข้าเป็นที่รักของเจ้า จะมือไม้ออกนอกลู่นอกทางได้อย่างไร?” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“นั่นสินะ” ท่านอาจารย์จื่อเวยกระโดดลงจากวงกบประตู เดินไปข้างกายเขา ควงแขนเขาไว้แล้วซบศีรษะลงไป
จิ่งเหิงปัวมองท่าทางนี้ของเฒ่าปีศาจ ในใจหนาวเย็นหลายระลอก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งที่รู้ว่าท่านอาจารย์จื่อเวยเป็นผู้ชาย เห็นเขาทำท่าทางเหมือนผู้หญิงแบบนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด บางทีคงเพราะว่าท่านอาจารย์จื่อเวยเป็นผู้ชายหน้าเหมือนผู้หญิง รูปร่างเหมือนผู้หญิงทุกกระเบียดนิ้วล่ะมั้ง
เขากับเทียนชี่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เทียนชี่หน้าตาเป็นผู้ชาย กิริยาท่าทางก็พยายามเอนเอียงไปทางผู้ชาย แต่บางครั้งควบคุมไม่ได้ เปิดเผยท่าทางเหมือนผู้หญิงเล็กน้อย เห็นแล้วพาให้ขนลุกขนชันทั่วร่าง แต่ท่านอาจารย์จื่อเวยหน้าตาเป็นผู้หญิงแท้ จำแนกเพศได้ยาก เชี่ยวชาญท่าทางทั้งชายและหญิง มองอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
บุคคลแบบนี้ก็นับว่ามหัศจรรย์แล้ว
ท่านอาจารย์จื่อเวยซบไหล่คนชุดป่านด้วยท่าทาง ‘งดงาม’ น่ารัก คนชุดป่านสั่นสะท้านทั่วร่าง เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น คล้ายอยากสลัดเขาออกยิ่งนัก ทว่าไม่รู้เหตุใดยังไม่ได้ขยับเขยื้อน
“ที่รัก พวกเราไม่เจอกันนานแล้ว ข้าล่ะคิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้ายังสวมหน้ากากน่ารำคาญนี้ทำอะไร? มาสิ ให้ข้าเห็นหน่อย เป็นริ้วรอยแล้วหรือยัง?” ท่านอาจารย์จื่อเวยยกมือปัดผ่านใบหน้าคนชุดป่าน
ชั่วพริบตาหนึ่งนั้นคนชุดป่านคล้ายจะหลบ ทว่ายังคงหลบไม่สำเร็จเช่นเคย ชั่วพริบตาหนึ่งนั้นจิ่งเหิงปัวเกร็งหลังเอวแน่น สายตาแพรวพราว
วัตถุเหนียวนุ่มสีเหลืองเทียนไขร่วงอยู่ในมือท่านอาจารย์จื่อเวย ใบหน้าใต้หน้ากากเป็นหนุ่มน้อย หล่อเหลา แปลกหน้า
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจยาว แม้แต่ตัวเองยังไม่ได้สังเกต
ความรู้สึกประหลาดที่ไม่รู้ว่าหดหู่หรือดีใจแบบนั้นกลับมาอีกแล้ว
นางพยายามระงับอารมณ์ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาฟุ้งซ่าน ต้องแข่งขันนะ จะแย่งคะแนนของตัวเองคืนมาจากเงื้อมมือเฒ่าเฮงซวยเช่นจื่อเวยนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องอาศัยผลงานของวันนี้แล้ว
“ที่รัก” ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ้มแย้มลูบคลำใบหน้าของคนชุดป่าน “เจ้ายิ่งโตยิ่งหล่อนะ ใกล้จะหล่อจนข้าแทบจำไม่ได้แล้ว”
คนชุดป่านปัดมือของเขาลงไป เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “แข่งหรือไม่?”
ท่านอาจารย์จื่อเวยหัวเราะคิกคิก สะบัดแขนเสื้อเปิดประตู ตะโกนลั่นว่า “เสี่ยวซูซู!”
ไกลออกไปเผยซูด่าว่า “หน็อยแน่ ข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ที่นี่ พวกเจ้าวางแผนชั่วร้ายอยู่ข้างใน!”
“ที่นี่มีของดี” ท่านอาจารย์จื่อเวยตะโกนว่า “พวกเราสองสามีภรรยากับพวกเจ้าสองสามีภรรยา ทุกคนมาแข่งกัน หากเจ้าหยิบไปได้มาก จะเพิ่มคะแนนให้พวกเจ้า!”
เผยซูได้ยิน ‘สองสามีภรรยา’ นั้น เพลิงโทสะเหือดหาย หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว รอเดี๋ยว!”
จิ่งเหิงปัวหน้ากระตุก อยากด่าท่านอาจารย์จื่อเวยแต่กลัวโดนหักคะแนน พอมองคนชุดป่าน เขาคล้ายสั่นเทิ้มเล็กน้อย
สั่นเทิ้มแผ่วเบาเหลือเกิน แต่ไม่รู้ทำไมนางยังรู้สึกได้ ตอนนี้เจ้าคนนี้ต้องรู้สึกอึดอัดกว่านางมากเลย
คนที่เย็นชาเฉยเมยขนาดนี้ยังยอมอดทนได้อย่างไร? หรือว่าเห็นความสามารถของท่านอาจารย์จื่อเวย?
ระเบียงทางเดินทางนั้น เผยซูสะบัดแขนเสื้อปานมังกรพิโรธ ทยอยเหวี่ยงหลายคนออกไป คนเหล่านั้นร้องเสียงหลงลอยข้ามระเบียงทางเดิน ตกลงไปในบึงโคลนเลนที่มีสัตว์ร้ายส่วนนั้นตามลำดับ
เรือนร่างพวกเขาแทบเพิ่งร่วงหล่น ในบึงโคลนพลันขุ่นคลักไหลเชี่ยว เงาดำเหินทะยาน สัตว์หลากหลายรูปร่างแยกเขี้ยวน่าสยดสยองกระโจนขึ้นมา ขย้ำคนเหล่านั้นไว้ ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน โลหิตแดงฉานกับโคลนเลนกระเซ็นทั่วกำแพงสองฝั่ง
เงาร่างเผยซูดุจลูกศร พุ่งมาปานสายฟ้า ปลายเท้าแตะบนร่างคนเหล่านั้น กระโจนหลายครั้งติดต่อกัน อาศัยร่างกายเหล่านั้นถ่วงเวลา เท้าเหยียบศีรษะผองสัตว์ ข้ามผ่านแม่น้ำดำสายนั้น
จิ่งเหิงปัวขยับแท่นยิงเคลื่อนย้ายนั้นออกก่อนแล้ว เผยซูจะได้ไม่เหยียบแล้วถูกส่งกลับไปอีกครั้ง
เสียงฟิ้ว อาภรณ์พัดพลิ้ว เผยซูยืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว คว้าแขนนางไว้ก่อน ขมวดคิ้วมองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หลังจากแน่ใจว่าไม่เป็นไรจึงออกแรงสะบัดแขนนาง เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “สตรีที่ไม่เชื่อฟัง! เมื่อครู่เรียกเจ้าเหตุใดเจ้าถึงไม่สนใจ?”
จิ่งเหิงปัวกอดอก มองเขาด้วยความตลกขบขัน…แค่ท่านอาจารย์จื่อเวยเอ่ยว่าสองสามีภรรยา เขาก็ตั้งตนเป็นสามีตัวจริงของนางแล้วเหรอ?
“ห้องข้างในสิบสี่ห้องนี้บรรจุข้อมูลลับวงในของสามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่แห่งบึงโคลนเฮยสุ่ย” ท่านอาจารย์จื่อเวยปรบมือเอ่ยว่า “เจ้ารองของสิบสามองครักษ์เป็นผู้เพียรพยายาม สิ้นเปลืองกำลังทรัพย์กำลังคนนับมิถ้วนถึงรวบรวมมาได้ จิ๊จ๊ะเด็กคนนั้นเป็นคนที่มีความสามารถ ผู้ชราสนใจเรื่องส่วนตัวของเขายิ่งนักตั้งแต่ไหนแต่ไร ของสิ่งนี้ตัวข้าผู้ชราจองแล้ว เพียงแต่นะ พวกเจ้าจะเอาไปก็ได้ เพียงวาจาเดียว ต่างคนต่างอาศัยความสามารถ สองคนหนึ่งกลุ่ม ผู้ใดแย่งได้นับเป็นของผู้นั้น”
ดวงตาของเผยซูพลันสว่างวาบแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจข้อมูลลับวงในอะไรเลย ตื่นเต้นด้วยเพราะคำว่า ‘แย่ง’ นั้นเท่านั้นเอง
เขากำลังจะตอบตกลง จิ่งเหิงปัวออกแรงหยิกแขนของเขาไว้ หันหน้าแสร้งยิ้มให้ท่านอาจารย์จื่อเวย “ในเมื่อเป็นการแย่งชิง ก็นับว่าเป็นการพนันแล้ว ต้องมีรางวัลแล้วใช่หรือไม่?”
เผยซูได้ยินว่าพนัน พลันเหน็บหนาวสั่นสะท้านทั่วร่าง…
ท่านอาจารย์จื่อเวยกลับไม่หลงกล “หากเจ้าแย่งได้มาก ย่อมเพิ่มคะแนนให้เจ้า นั่นก็คือรางวัล”
“ไม่ถูกต้องๆ” จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า “ข้าแย่งได้มาก ข้าได้คะแนน นี่เป็นเรื่องสมควร นับว่าเป็นรางวัลอะไรได้เล่า”
“เช่นนั้นเจ้าว่าอย่างไร?” ท่านอาจารย์จื่อเวยเท้าคางที่เกลี้ยงเกลาดุจหยก นัยน์ตากลอกไปมาอย่างยิ้มแย้มปรีดา กลมโตหยาดเยิ้ม พาให้เห็นแล้วต้านไม่ไหวอย่างแท้จริง
“ข้าชนะแล้ว กลุ่มเจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่งของข้า แน่นอนว่าหากพวกเจ้าชนะแล้ว จะเรียกร้องให้กลุ่มเราทำเรื่องหนึ่งได้เช่นกัน”
“ได้สิ” ท่านอาจารย์จื่อเวยตอบตกลงได้สบายใจยิ่งนัก เพ่งมองคนชุดป่าน
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดีใจมากเช่นกัน…ท่านอาจารย์จื่อเวยเสนอเงื่อนไขเฮงซวยอะไรก็ได้ทั้งนั้น อย่างไรเสียให้เผยซูจัดการ
“ข้าวางสิ่งของไว้ในแต่ละห้องแล้ว ทุกห้องต่างมีวิธีเปิดประตูของตนเอง ทุกห้องต่างมีกับดัก ห้องเล็กแคบ เพื่อไม่ให้เบียดกันเข้าไปมากเกินจนกับดักทำงาน พวกเราแยกกันเริ่มจากคนฝั่ง ให้เวลาหนึ่งเค่อ ด้วยเพราะหลังจากประมาณหนึ่งเค่อ กำลังพลสนับสนุนของสิบสามองครักษ์คงใกล้เข้ามาแล้ว” เขากลอกตา ซ้ำยังกล่าวเสริมว่า “คนในแต่ละกลุ่มต้องร่วมมือกัน ห้ามคิดคดทรยศ ผู้ที่มีพฤติกรรมทรยศใดๆ หักยี่สิบแต้ม”
“ไม่ยุติธรรม” จิ่งเหิงปัวลากเผยซูเดินไปฝั่งขวาพลางคัดค้านว่า “เจ้าเคยเข้าไปหมดแล้ว เจ้าคุ้นเคยกับดัก เช่นนี้เจ้าชนะได้ง่าย เจ้าโกง!”
“ไม่ยุติธรรม!” ท่านอาจารย์จื่อเวยลากคนชุดป่านเดินไปฝั่งซ้ายพลางคัดค้านเช่นกันว่า “เจ้าหายตัวได้ ไม่จำเป็นต้องไขปริศนาประตูใดในโลกหล้าด้วยซ้ำ เจ้าก็โกง!”
“ไม่ได้!” จิ่งเหิงปัวตะโกนลั่น ถลกแขนเสื้อ
“ไม่ถูกต้อง!” ท่านอาจารย์จื่อเวยด่า สะบัดแขนเสื้อยาว
เพล้ง ขวดที่บรรจุสัตว์ร้ายใบหนึ่งร่วงหล่นกลางศีรษะท่านอาจารย์จื่อเวย
พลั่ก ตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งพุ่งลงเหนือศีรษะจิ่งเหิงปัวทันที
เสียง ฟิ้ว ต่างคนต่างกะพริบออกไป ต่างคนต่างด่าว่า “ขี้โกง!”
จิ่งเหิงปัวกะพริบครั้งเดียวก็เข้าสู่ห้องแรก ยกขาถีบประตูออกไป ให้เผยซูพุ่งเข้ามา
ห้องเล็กแคบ เล็กจนสองคนเข้าไปก็รู้สึกเบียดเสียด ข้างในมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จิ่งเหิงปัวกำลังจะจุดกระบอกเชื้อไฟ เผยซูใช้ฝ่ามือปัดกระบอกเชื้อไฟของนางทิ้งไปโดยพลัน
นางชะงัก เขากดมือของนางไว้แน่น เดิมทีอยากให้นางสงบสติ ไม่รู้เหตุใดก็พลันรู้สึกถึงความเกลี้ยงเกลานิ่มนวลของผิวนาง
ความมืดมิดเพิ่มระดับความไวประสาทสัมผัสของมนุษย์ได้ เขารู้สึกได้ว่าผิวกายใต้นิ้วดุจหยกนวล สัมผัสแล้วแลคล้ายลื่นไหลผ่านพ้น ปลายนิ้วได้รู้สึกเบิกบานเหลือเกิน ก้นบึ้งของหัวใจจึงคล้ายจะขับขานบทเพลง
เขาสั่นสะท้านเล็กน้อย
เขายังอายุน้อย ช่วงวัยฮึกเหิมทรงพลัง อยู่ในหุบเขาเลวร้ายนานหลายปี กัดฟันต่อสู้ความลำบากนับพันทิวาราตรี ช่วงเวลาที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเหล่านั้น พักผ่อนในยามที่ยากจะข่มตาหลับ ข้างในร่างกายหนุ่มน้อยยังเริ่มเกิดความเร่าร้อนกับความปรารถนา พุ่งชนเขื่อนแห่งความอ้างว้างระลอกแล้วระลอกเล่า ลุกโชนด้วยเพลิงพราย
ราวกับวาจา ‘เอาแต่นอนกลางโคลนเลนหันหน้าหาพระจันทร์ลูบคลำตนเอง เห่าหอนแสร้งเป็นมนุษย์หมาป่า’ วันนั้นของจิ่งเหิงปัว แลคล้ายล้อเล่น โจมตีบริเวณที่เจ็บปวดชะงัก
เขามีนิสัยแข็งกร้าว วรยุทธ์หยางสุดขั้ว สำหรับความต้องการบางเรื่อง ย่อมมีความกระหายเหนือกว่าผู้อื่น
กลางแววตาเขาลุกโชนด้วยประกายแพรวพราวเล็กน้อย