เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 39 - 2 ผลักล้มไม่ได้ปรึกษา
จิ่งเหิงปัวมองไม่เห็นสีหน้าเขา แต่รู้สึกว่ามือของเขาร้อนผ่าวกะทันหัน จับมือนางไว้ตลอดเวลา
ยิ่งกว่านั้นนางคล้ายได้ยินเสียงเหนือศีรษะ เหมือนมีตัวอะไรเลื้อยขยุกขยิกอย่างเชื่องช้าอยู่เหนือศีรษะ พร้อมจะร่วงลงมาได้ทุกเวลา เสียงเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้น นางฟังแล้วขนลุกขนพอง แอบโมโหว่าทำไมคราวนี้เผยซูเหม่อลอย เตะเขาอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย กล่าวว่า “เร็วหน่อย!”
เผยซูได้สติ ปล่อยมือนางอย่างอาลัยอาวรณ์ จิ่งเหิงปัวคลำถึงแท่นวาง บนแท่นวางก็มีสิ่งของ รีบโยนสิ่งของเข้าไปในถุงใบที่หาเจอเมื่อครู่ ของสิ่งนั้นให้ความรู้สึกคล้ายสมุด ตอนที่หยิบขึ้นมานางรู้สึกว่าข้างล่างสมุดคล้ายเหนียวหนับนิดหน่อย นางไม่ได้ใส่ใจ ออกแรงเล็กน้อยหยิบสมุดขึ้นมา ครู่หนึ่งนั้นที่หยิบขึ้นมา นางได้ยินเหนือศีรษะดัง ผึง
เสียงแผ่วเบา ในใจนางกลับกระตุกวูบ
ขณะเดียวกันเผยซูตะโกนว่า “รีบไป!” ผลักนางออกไปข้างนอก ตนเองก็กระโจนตามนางออกไป เขาแทบเพิ่งจะออกไปจากปากประตู ตัวอะไรสักอย่างร่วงหล่นจากบนศีรษะดังพลั่ก ห่างจากรองเท้าหุ้มข้อของเขาเพียงเสี้ยวเดียว
เจ้าตัวนั้นร่วงพื้นแล้วกระเด้งขึ้นมา เผยซูเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่า ปิดประตูดัง พลั่ก สองคนต่างได้ยินของสิ่งนั้นพลันกระแทกบนประตู สะเทือนจนประตูเหล็กทั้งบานส่งเสียงดังหวึ่งๆ
จิ่งเหิงปัวหน้าซีดเผือด เมื่อครู่มองแค่แวบเดียว นางคล้ายเห็นก้อนเหลืองๆ ขาวๆ ก้อนใหญ่น่าขยะแขยง ก้อนนั้นมีหัว ลิ้นเรียวยาวแดงฉานเฉียดผ่านขาของเผยซูไปหน่อยเดียว…
“นั่นมันตัวอะไร?” นางอดจะถามไม่ได้
“น่าจะเป็นเฝยหยงจากบึงโคลนเฮยสุ่ย” เผยซูยังมีท่าทางไม่สนใจไยดีเช่นนั้น “เมื่อครู่ก็ใช้ตาข่ายด้ายบางแขวนไว้เหนือศีรษะพวกเรา พร้อมทั้งทากาวแปะเงื่อนตาข่ายไว้ใต้สมุด หากเจ้าจุดกระบอกเชื้อไฟ แสงไฟที่ปะทุขึ้นก็จะไหม้เส้นด้ายนั้นขาดได้ เฝยหยงจะร่วงบนศีรษะเจ้าพอดี ต่อให้เจ้าไม่จุดกระบอกเชื้อไฟ เจ้าคงจะต้องหยิบสมุดขึ้นมากระมัง พอหยิบสมุด เงื่อนตาข่ายคลายออก เฝยหยงจะร่วงหล่นลงมาเช่นเดิม”
“แผนการล้ำเลิศยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวแอบคิดว่าหรือว่าเป็นแผนขององครักษ์รองคนนั้นอีกแล้ว? นับเป็นคนเก่งที่แท้จริง พอเงยหน้าก็เห็นท่านอาจารย์จื่อเวยกับคนชุดป่านกะพริบออกมาจากห้องฝั่งตรงข้าม ท่าทางของสองคนคล้ายถูลู่ถูกังเล็กน้อย นางรีบกล่าวว่า “แล้วค่อยว่ากัน แย่งสิ่งของก่อน!” กะพริบกายเข้าสู่ห้องที่สอง
ท่านอาจารย์จื่อเวยมองการเคลื่อนไหวของนางอยู่ฝั่งตรงข้าม มุมปากวาดโค้ง ก็ผลักประตูตรงหน้าเขาให้เปิดออกอย่างง่ายดาย ขณะเดินเข้าประตูพลันเอ่ยว่า “อย่าแอบโจมตีข้าข้างหลังอีกเชียวนะ”
“ข้าเคยหรือ?” คนชุดป่านมีสีหน้าปกติ
“เกลือเป็นหนอนนับว่าโกงนะคิกๆ” ท่านอาจารย์จื่อเวยหัวเราะราวกับสาวน้อย
“แน่นอน ข้าจะต้องช่วยเจ้าหยิบฉวยสิ่งของให้มากเท่าที่จะมากได้” มุมปากของคนชุดป่านยกโค้ง คล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม
“เช่นนั้น เชิญ?” ท่านอาจารย์จื่อเวยยืนอยู่ปากประตู กะพริบตาให้เขา
“เชิญเจ้าก่อน” คนชุดป่านเกิดเกรงใจขึ้นมา
“เจ้าก่อน”
“เจ้าก่อน”
สองคนก็ยืนเกรงใจกันอยู่ปากประตูเช่นนี้ กระทั่งจิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงร้องยินดีเสียงที่สองอยู่ทางนั้น ท่านอาจารย์จื่อเวยถึงหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ไอ้หนุ่มเจ้าเล่ห์” กะพริบกายเข้าห้องก่อน
คนชุดป่านตามเขาเข้าไป พอเข้าประตูก็เจอฝ่ามือปะทะหน้า เขาทะยานขึ้นไป กะพริบเพียงครั้งมาถึงเพดานห้องแล้ว
เพดานห้องมีคนรอเขาอยู่แล้ว ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ้มแย้มปรีดาชะโงกหน้าลงมาเอ่ยว่า “ทักทายอาจารย์เจ้าแทนข้าด้วย อวยพรให้วิญญาณเขาไปสู่ที่ชอบๆ ในเร็ววัน”
“ข้าไม่มีอาจารย์” คนชุดป่านตอบอย่างเย็นชา
“ใช่หรือ?” น้ำเสียงของท่านอาจารย์จื่อเวยไม่มีความแปลกใจสงสัย ทว่าเกิดความเข้าใจขึ้นมา “เช่นนั้น สำหรับวาจาอวยพรนั้นของข้าเมื่อครู่ เจ้าก็น่าจะเห็นด้วยยิ่งนักใช่หรือไม่?”
คนชุดป่านเงียบกริบ
“ทายสิว่าสิ่งของถูกซ่อนไว้ที่ใดในห้องนี้?” ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ้มแย้มเอ่ยถาม
คนชุดป่านสะบั้นขื่อที่อยู่ใต้ก้นเขาด้วยฝ่ามือเดียว กล่องใบหนึ่งร่วงหล่นตามเสียง เขาเอื้อมมือไปคว้า ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันเอ่ยเรื่องไม่เกี่ยวข้องกันเลยว่า “ข้ารู้สึกว่าจิ่งเหิงปัวดีมาก เกิดความรู้สึกทางโลกกะทันหัน เจ้าว่าข้าสมรสกับนางดีหรือไม่?”
มือเขาพลันสั่นเทิ้ม กล่องร่วงหล่นบนปลายเท้าที่ยื่นออกมาของท่านอาจารย์จื่อเวยพอดี ปลายเท้าเขาประคองไว้ เก็บกล่องใส่เสื้อคลุมยาว จากนั้นหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ข้าหลอกเจ้า เด็กหญิงคนนี้ไม่ใช่ของดี ไม่เอาหรอก!” พลันยื่นปลายเท้าเตะเขา “นี่ เคร่งเครียดขนาดนี้เพื่ออะไร? เจ้ากำลังกลัวอะไรกันเล่า?”
“กลัวว่าท่านอายุปูนนี้ ยังหวังฟื้นคืนกำลังวังชา เพียงเกรงว่าแก่หง่อมไร้เรี่ยวแรง จะสิ้นชีพบนหน้าท้องสตรี” เขาตอบได้ทั้งเฉื่อยเนือยทั้งชั่วร้าย
ท่านอาจารย์จื่อเวยก็ไม่โกรธเคือง เอ่ยอย่างเบิกบานว่า “หากได้สิ้นชีพบนหน้าท้องสตรีจริงก็ไม่เลวนะ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นวิธีสิ้นชีพที่แตกต่างจากผู้อื่นใช่หรือไม่เล่า?”
เขาไม่สนใจ ออกจากประตูมุ่งสู่ห้องที่สาม ท่านอาจารย์จื่อเวยไล่ตามมา เอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วว่า “…เพียงแต่สตรีนั้นจะอัปลักษณ์กว่าข้าไม่ได้นะ พอเอ่ยเช่นนี้ จิ่งเหิงปัวก็เหมาะสมพอได้ เพียงแค่หน้าตานางก็เทียบกับข้าได้แล้ว…”
คนชุดป่านพลิกมือสะบัดออกไป กระแสฝ่ามือไม่ร้ายแรงทว่าหนาวสะท้าน ไอสังหารน่าครั่นคร้าม ท่านอาจารย์จื่อเวยหัวเราะเหอะๆ เรือนร่างหลบหลีก กระแสฝ่ามือของคนชุดป่านกระแทกบนประตู ประตูเปิดออกดังครืน แมลงบินได้ตัวเล็กสีดำฝูงใหญ่พุ่งออกมา มุ่งสู่คนชุดป่าน ท่านอาจารย์จื่อเวยหลบซ่อนเรือนร่าง ทั้งร่างไถลเฉียดจากใต้ฝูงแมลงบินได้เข้าไปในห้องปานธารหลาก ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ขออภัยด้วยนะ ข้าเข้าไปก่อนอีกแล้วล่ะ…”
คนชุดป่านยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เอื้อมมือกวักเพียงครั้ง เฟยเฟยที่เดินไปเดินมาในห้องโถงตลอดเวลาวิ่งมาปานฟ้าแลบ คนชุดป่านพลันชี้ เฟยเฟยจัดการแมลงบินได้ตัวเล็กสีดำฝูงนั้น คนชุดป่านกะพริบเรือนร่างเข้าไปในห้อง
จิ่งเหิงปัวไม่ได้มองเห็นฉากเฟยจอมประจบ นางกำลังแย่งสิ่งของในห้องที่สาม
เมื่อครู่ในห้องที่สอง ไม่มีการดักซุ่มใดๆ ข้างในมีแค่โต๊ะเตี้ย นางกลัวว่าจะมีการดักซุ่ม เข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ไม่ได้เกิดอันตรายใดๆ แต่บนผิวโต๊ะไม่มีสิ่งของอะไรเลย นอกจากนั้นก็ไม่มีที่ซ่อนสิ่งของอะไรเลยด้วย นางกำลังประหลาดใจ รู้สึกได้ทันทีว่าโต๊ะสั่นไหวเล็กน้อย
เผยซูเฉียดเข้ามาปานฟ้าแลบ ยกมือของนางขึ้นไป พร้อมทั้งใช้เท้าเหยียบบนโต๊ะ ได้ยินแค่เสียงทุ้มหนัก ของสิ่งหนึ่งลอยออกมา เผยซูตะโกนลั่นว่า “รับไว้!” นางรับไว้โดยสำนึก รู้สึกแค่ว่าคล้ายเป็นท่อ บนท่อเต็มไปด้วยเสมหะกับน้ำมูกที่เหนียวหนับส่งกลิ่นเหม็น นางขยะแขยงจนอยากโยนทิ้ง แต่กลับถูกมือที่จูงไว้แน่นของเผยซูขวางไว้
หลังจากเผยซูถีบออกไปครั้งนั้น ผลักนางออกไปก่อนเฉกเช่นครั้งก่อน ตนเองค่อยกระโจนออกไป ทว่าคราวนี้ไม่ได้โชคดีเฉกเช่นคราวก่อน จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ว่าข้างหลังมีเสียงลมฟิ้วๆ เรือนร่างเผยซูล้มทิ่มไปข้างหน้าดังพลั่ก คล้ายโดนอะไรสักอย่างกระแทกบนหลัง เขาใช้การล้มทิ่มครั้งนี้ ฉวยโอกาสปิดประตูอย่างหนักหน่วง
ด้วยเพราะการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้พาให้กระแสอากาศพรั่งพรู แสงเทียนในห้องโถงมอดดับกว่าครึ่งแล้ว แสงสว่างมัวสลัว จิ่งเหิงปัวเห็นแค่เผยซูหน้าซีดเผือดรำไร อดจะถามไม่ได้ว่า “บาดเจ็บแล้วหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” เผยซูพลันเอ่ยว่า “ข้าจะบาดเจ็บง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร!”
จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว คร้านจะโต้เถียงกับเขา กล่าวว่า “ห้องต่อไปข้าเข้าไปเอง”
“เจ้านึกว่าข้าเป็นผู้ใด?” เผยซูทำท่าทางเหยียดหยาม “สตรีเอ๋ย เจ้าขาดข้าไปไม่ได้หรอก!”
จิ่งเหิงปัวเหลือบมองท่านประธานเผยนิดหน่อย ตัดสินใจว่าอย่าแย่งอำนาจของเขาจะดีกว่า เขาแทบอยากจะครอบครองทั่วทั้งต้าฮวง ตนเองไม่สิ้นชีพคงไม่ยอมเลิกรา
ขณะนี้ห้องที่สามตรงข้ามกับห้องที่สอง สิ่งของข้างในเยอะมาก รอให้นางหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอ ไม่รู้ว่าบนพื้นค่อยๆ มีโคลนเลนสีดำทะลักเข้ามาแล้วตั้งแต่เมื่อไร ไม่ต้องมองแค่ได้กลิ่น ก็รู้ว่าต้องเป็นโคลนดำของบึงโคลนเฮยสุ่ยที่มีพิษร้ายแรงที่สุดชนิดนั้น
โคลนเลนพุ่งมาเร็วมาก ไม่นานจึงไม่มีที่ให้ยืน นางก็ไม่กล้าเข้าใกล้เครื่องเรือนที่เหลือในห้องเรื่อยเปื่อย โชคดีที่เผยซูขายาว ห้องก็แคบ เผยซูเหยียดขาสองข้างขวางไว้เสียเลย แต่ละข้างค้ำยันสองฝั่งกำแพง อุ้มนางขึ้นมา เปิดประตูส่งนางออกไป
พอนางออกมาก็กลิ้งไปตามพื้น เผยซูที่อยู่ทางนั้นตะโกนโอดโอยแล้วว่า “ตัวอะไรกัดเป้ากางเกงข้า!” จิ่งเหิงปัวได้ยินคิดว่าแย่แล้ว ตอนนี้ท่วงท่าของเผยซูเปิดเผยจุดยุทธศาสตร์ ถ้าในโคลนเลนมีตัวอะไรโผล่มากัดกร๊วมสักคำ ความสุขในชีวิตที่เหลือของท่านชายคนนี้คงไม่มีแล้ว เขาไม่มีความสุขแล้วก็แล้วไป ถ้าเกิดว่านางต้องรับผิดชอบจะทำอย่างไร? ปัญหานี้ร้ายแรงเกินไป นางรีบพุ่งเข้าไป กอดเผยซูไว้ลากออกไปข้างนอก
เผยซูล้มลงบนร่างนางดังพลั่ก สองคนกลิ้งไปด้วยกัน จิ่งเหิงปัวตบหน้าเขา ถามว่า “นี่ๆ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่? ยังเป็นบุรุษได้กระมัง?”
เผยซูหัวเราะฮ่าๆ พลันพลิกมือกอดนางไว้ เอ่ยอย่างลำพองใจว่า “ก็รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า วางใจเถิด ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวต่อสู้กับเจ้าสักสามร้อยรอบยังได้เลย!”
จิ่งเหิงปัวด่าว่า “ไปตาย” แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจ นางรู้ว่าเผยซูปากแข็งปากเปราะชอบเอาชนะจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่กลับไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้สองคนกอดกันแนบแน่น วาจาคลุมเครือสนิทสนม ใบหน้าของเผยซูใกล้จะแนบชิดบนใบหน้านางแล้ว อีกทั้งเผยซูยังไม่ยอมปล่อยนางไปด้วย
จิ่งเหิงปัวรู้สึกผิดปกติกะทันหัน คล้ายถูกสายตาทิ่มแทง พอเงยหน้าก็เห็นท่านอาจารย์จื่อเวยกับคนชุดป่านออกมาจากห้องที่สี่ทางนั้นเช่นกัน ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ้มแย้มเบิกบานยิ่งนัก คนชุดป่านยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์
สองคนดูท่าทางไม่มีอะไรแตกต่างจากก่อนหน้านี้ แต่จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกอึดอัดทั่วร่าง ตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่าเจ้าเผยซูคนนั้นยังไม่ยอมลุกจากบนร่างนาง รีบถีบเขา “ลุกขึ้น!”
เผยซูซุกอยู่บนร่างนางอย่างเกียจคร้าน ดมต้นคอนาง พึมพำว่า “กลิ่นบนร่างเจ้าหอมเหลือเกิน” ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ซ้ำยังมีสีหน้าเสียดาย
จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นนั่ง คิดว่าเจ้าคนนี้คงไม่ใช่เริ่มคิดเรื่องทางเพศหรอกมั้ง? ต้องรีบหาภรรยาให้เขาแล้ว
เดิมทียังอยากด่าเขาสักหน่อย แม้เห็นเขาแกล้งทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สีหน้าคล้ายซีดเชียวเล็กน้อย ก็ช่างเขาแล้ว เพียงแต่รู้สึกเสมอว่าโดนสองคนนั้นมองจนอึดอัด นึกขึ้นมาได้ว่าท่านอาจารย์จื่อเวยไปห้องที่สี่แล้วมั้ง? เช่นนั้นต้องเพิ่มความเร็วแล้ว รีบลากเผยซูวิ่งมาทางห้องที่สี่ของนาง
คราวนี้พอเข้าไปแล้วก็แทบจะถูกรมควันออกมา กลิ่นข้างในสุดจะอธิบายได้ พอได้กลิ่นก็วิงเวียนตาพร่า นางเรียกสัตว์ประหลาดน้อยมา สัตว์ประหลาดน้อยช่วยได้มาก เตะต่อยชกตีคว้าจิ้งจอกที่มีรูปร่างหน้าตาประหลาดออกจากใต้โต๊ะ พาดไว้บนหลังลากออกไปเล่นแล้ว แต่กลิ่นประหลาดเช่นนั้นในห้องยังไม่สลายไป นางได้แต่กลั้นหายใจหาสิ่งของ สักพักก็กลั้นจนสีหน้าออกม่วง สุดท้ายเผยซูเหวี่ยงนางออกมา ตนเองควานหาของอยู่ข้างใน ตอนที่เขาออกมาจิ่งเหิงปัวกังวลเล็กน้อย ด้วยเพราะสีหน้าของเขายิ่งแย่กว่าเดิม
การตกแต่งภายในห้องที่ห้ากับห้องที่หกแปลกแยกแตกต่างกันไป กับดักโผล่ออกมาไม่ขาดสาย ภายหลังนางก็ยิ่งนับถือองครักษ์รองท่านนั้นในสิบสามองครักษ์มากขึ้น เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าว แค่เป็นคนที่คิดวิธีแปลกประหลาดได้มากขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา คนคนนี้ต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งในอนาคตแน่นอน
ในใจนางก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย อำนาจของสิบสามองครักษ์อยู่ลำดับสุดท้ายในบึงโคลนเฮยสุ่ย ยังมีคนเก่งเช่นองครักษ์รองนี้ด้วย แล้วพรรคพวกที่อยู่ลำดับก่อนหน้าที่เหลือล่ะ ผู้รอบรู้กับยอดฝีมือจะไม่เนืองแน่นเลยเหรอ? ขณะนี้นางมีพละกำลังนิดหน่อย ถ้าไปต่อต้านกลุ่มอำนาจที่อยู่มานานแล้วเหล่านั้น แม้กระทั่งอาจร่วมมือกันต่อต้านพวกเขา จะมีโอกาสชนะเท่าไรกันแน่?