เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 39 - 3 ผลักล้มไม่ได้ปรึกษา
คนสองกลุ่มกำลังเข้าออกอย่างต่อเนื่อง นางก็พบว่ากลุ่มสองคนฝั่งตรงข้ามนั้นก็ยิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิม แต่จากนั้นนางค้นพบเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งแล้ว
นางพบว่าท่านอาจารย์จื่อเวยกับคนชุดป่านเข้าไปในห้องที่ติดกับนาง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาเข้าไปในห้องที่แปดของพวกเขาแล้ว!
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อให้นางหยิบฉวยสิ่งของในห้องที่หกได้ ก็แพ้แล้ว!
ความรู้สึกว่าการแข่งขันยังไม่จบแต่จะต้องแพ้แล้วแบบนี้ไม่น่าภิรมย์ นางชะงักคิดอยู่ชั่วครู่ หันหลังเข้าห้องที่หกอีกครั้ง
“เจ้ากลับไปทำอะไร?” เผยซูคว้านางไว้
จิ่งเหิงปัวส่งเสียง “จุ๊” กระซิบว่า “ข้าอยากเข้าข้างห้องจากที่นี่ ปีนขึ้นไปข้างบน เจ้าช่วยข้าหาทางหน่อย”
นางหายตัวเข้าข้างห้องได้ แต่ห้องเล็กเกินไป ไม่มีที่เหลือให้ขยับเขยื้อน ถ้าคนที่สามเบียดเข้าไปอีกคน จะต้องชนคนอื่นทันที เช่นนั้นแผนการของนางก็ใช้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางพบว่าห้องนี้แคบแต่สูง ข้างบนกลับมีที่ว่าง ยิ่งกว่านั้นยังเชื่อมต่อกัน ถ้าแอบปีนเข้าไปได้ ยังมีโอกาสขโมยของที่เจ้าผู้ชรานั่นได้มาทั้งหมด
แข่งกันว่าใครหยิบของได้มาก ไม่ใช่แข่งกันว่าใครเข้าห้องได้มาก อยากชนะ ต้องใช้วิธีนี้
“ความคิดดี” ดวงตาเผยซูสว่างวาบเอ่ยว่า “ข้าก็ไปได้ ข้างบนกว้างขวาง”
“เป็นบ้าอะไร พวกเขาสองคนเป็นผู้ใดกัน ถึงให้เจ้าคนสองคนปีนไปปีนมาบนศีรษะได้? ข้าคนเดียวไม่ถูกพบเข้าก็ไม่เลวแล้ว” จิ่งเหิงปัวผลักเขาอย่างอารมณ์เสีย “วรยุทธ์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ค้ำยันข้าลอยอยู่ครู่หนึ่งได้หรือไม่? ข้าไม่สัมผัสวัตถุใดๆ บางทีอาจไม่ถูกพวกเขาพบเข้าก็ได้”
“ค้ำยันเจ้าไว้ ได้เลย ไม่มีปัญหา” เผยซูพลันยิ้มแย้ม สีหน้าคลุมเครือ “ครู่เดียวสั้นเกินไป นานเท่าใดก็ได้นะ”
“ลามก!”
“อย่าโวยวาย” เผยซูพลันอุดปากนางไว้ “ข้างห้องคล้ายมีเสียงผิดปกติ!”
…
ข้างห้อง ครึ่งเค่อก่อนหน้านี้
ท่านอาจารย์จื่อเวยกับคนชุดป่านกะพริบเข้าไปในห้องตามลำดับ
ห้องนี้ดูท่าทางว่างเปล่า สองคนนั้นกวาดสายตาแล้วพลันพุ่งไปยังกำแพง ท่านอาจารย์จื่อเวยยังเร็วกว่าก้าวหนึ่ง กระชากผิวกำแพงหนึ่งชั้นออกมา ฉวยโอกาสคว้าคนชุดป่านที่พุ่งเข้ามาไว้ ผลักเขาไปข้างหน้าผิวกำแพงที่ฉีกขาด ตนเองหัวเราะฮ่าๆ เดินถอยหลังก้าวหนึ่ง
ของเหลวโปร่งแสงมากมายซึมออกมาจากผิวกำแพงที่ฉีกขาด ราวกับบาดแผล หนวดเล็กน้อยนับมิถ้วนพลันงอกออกมา รัดมาทางคนชุดป่านดุจดั่งตาข่ายสวรรค์
คนชุดป่านไม่หลบด้วยซ้ำ หันหน้าหาทิศทางที่หนวดลอยมา เอื้อมมือออกแรงกระชากอีกครั้ง ฉีก ‘ผิวกำแพง’ อีกชั้นออกมา
แว่วเสียงโหยหวนทุ้มต่ำด้วยความเจ็บปวดรำไร
ยามนี้คนชุดป่านถูกหนวดนับมิถ้วนรัดไว้แล้ว เขาคำรามแผ่วเบา ทว่าไม่ได้รั้งรอ ใช้เท้าถีบมือที่จะเปิดประตูของท่านอาจารย์จื่อเวยออกก่อน แล้วพุ่งไปบนร่างเขา
‘ผิว’ ชั้นนั้นพลันเลื้อยขยุกขยิก แพร่ขยายจากบนร่างเขาไปสู่บนร่างท่านอาจารย์จื่อเวย
“ไอ้เด็กระยำไม่กลัวตายคนนี้ เจ้ากล้าจับจี๋โซ่วด้วย…” เสียงพึมพำแปลกใจของท่านอาจารย์จื่อเวยถูกเสียงฉุดกระชากต่อสู้ที่ทุ้มต่ำกลืนหายไป เขาอยากสลัดไม่ให้เข็มพิษร้อยพันบนหนังจี๋โซ่วนั้นเข้าร่าง ไม่นึกว่าคนชุดป่านจะกอดเขาไว้แน่น ยอมให้ตนโดนหมื่นเข็มทิ่มแทงก่อน ก็ต้องลากเขาไปลำบากด้วยกัน
สลัดไม่หลุด ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันหัวเราะคิกๆ กอดคนชุดป่านไว้บ้าง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น บนร่างสองคนถูกทิ่มแทงด้วยเข็มพิษนับมิถ้วน ท่านอาจารย์จื่อเวยร้องกระซิกๆ คนชุดป่านไม่แค่นสักเสียง หากยามนี้มีคนแอบฟังอยู่ข้างบน คงต้องนึกว่าเป็นละครชายรักชายที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก
ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เจ้าว่าหากนางมาแล้ว มองเห็นฉากนี้เข้า จะคิดอย่างไร?”
คนชุดป่านไม่ตอบ กลิ้งตัวอีกครั้ง กระทั่งแน่ใจว่าทิ่มเจ้าผู้นี้จนเป็นเม่นด้วยแล้วถึงเอ่ยว่า “บาดแผลนี้พอให้เจ้ารักษาได้สามเดือน”
“เจ้าเล่า?” ท่านอาจารย์จื่อเวยยังคงยิ้มแย้ม “ครึ่งปี?”
“หลายเดือนนี้เจ้าสงบหน่อย!” คนชุดป่านไม่สนใจคำถามของเขา เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เก็บแรงไว้ออกข้อสอบก็พอแล้ว!”
“เจ้ากลัวว่าข้าแข็งแรงเกินไป ทรมานนางมากเกินไป ตั้งใจให้ข้าบาดเจ็บ ยอมให้ตนเจ็บหนึ่งพัน ก็ต้องฆ่าศัตรูแปดร้อย?” ท่านอาจารย์จื่อเวยหัวเราะฮ่าๆ “เด็กน้อยเช่นพวกเจ้าเหล่านี้…ความคิดเช่นนี้…เกือบทำให้ผู้ชราเช่นข้าซาบซึ้ง เพียงแต่ผู้ชราเช่นข้าขอเตือนเจ้าสักหน่อย อย่าสิ้นเปลืองความคิดเลย บางเรื่องสวรรค์ลิขิตไว้ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรน”
“คนบางคนไม่กลัวลิขิตสวรรค์ อย่ามาเสแสร้งหลอกลวงข้า” เขาตอบ
“พวกเจ้าสองคนน่าสนใจยิ่งนัก…” ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ้ม “คนหนึ่งมีจิตใจอาฆาตพยาบาททว่าเดินไปทางแสงสว่าง อีกคนหนึ่งกายาหิมะน้ำแข็งทว่าทำเรื่องสุดแสนลับลมคมใน สุดท้ายแล้วก็เพื่อเป้าหมายเดียวกัน…เพียงเกรงว่าสุดปลายขอบฟ้าคนละฟากฝั่ง แลคล้ายใกล้แต่ไกล แลคล้ายร่วมกันแต่แยกทาง สุดท้ายแล้ว การทุ่มเทกับการมอบให้เหล่านั้น ทุกสิ่งที่ไม่มีทางเรียกคืนได้ จะทำอย่างไร?”
“ข้าเพียงทำเรื่องที่ข้าคิดว่าสมควร ไม่พลาดสักก้าว ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ไม่สนใจด้วยซ้ำ” น้ำเสียงเขาเย็นชาทว่าหนักแน่น “พวกเจ้าเอ่ยว่าเพราะรักจึงหวาดกลัว เพราะรักจึงกังวล สำหรับข้า เคยได้รัก ไร้หวาดกลัวไร้กังวล”
“เคยได้รัก ไร้หวาดกลัวไร้กังวล…” ท่านอาจารย์จื่อเวยพึมพำวาจานี้อีกครั้ง สีหน้าค่อนข้างโศกเศร้าอย่างหาได้ยาก “ยามนั้น หากข้าก็…” เขาชะงักเล็กน้อย พลันยิ้มอย่างมีเลศนัย “แต่ก่อนข้าไม่คิดว่าเจ้ามีดีสักเท่าใด สติปัญญาพอใช้ได้ก็เท่านั้น บัดนี้ดูท่า ไอ้แก่หนังเหนียวฝูงนั้นตามีแววกว่าข้า เพียงเอ่ยถึงนิสัยดื้อรั้นนี้ เจ้าเป็นน้อยคนในโลกหล้าจริงแท้ แม้กำลังคนต่อต้านสวรรค์ไม่ได้ แต่นิสัยแข็งกร้าวสุดขั้ว สวรรค์ย่อมขานรับ…บัดนี้ดูท่า ทัศนะมากมายที่ข้ายึดมั่นก่อนหน้านี้ คงต้องล้มเลิกเสียหน่อยแล้ว…”
คนชุดป่านไม่เอ่ยวาจา ริมฝีปากที่เม้มแน่นไม่รู้ว่าไม่อยากเอ่ยหรือว่ากำลังอดกลั้นความเจ็บปวด
ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันอ้าปากหาว เอ่ยว่า “เจ้าไม่กลัวตาย ผู้ชราเช่นข้ายังรักชีวิต ข้าต้องนอนสักหน่อย…” เอ่ยจบลมหายใจหนักหน่วง นอนหลับไปแล้ว
สิ่งที่แนบอยู่บนกำแพงคือจี๋โซ่วจากบึงโคลนเฮยสุ่ย ปกติแล้วจำศีลไม่ขยับเขยื้อน นอนหลับตลอดทั้งปี พอถูกรบกวนจะก่อให้เกิดหนวดเข็มพิษนับมิถ้วน พอทิ่มแทงร่างกาย พิษจะแล่นไปทุกหนทุกแห่ง เจ็บปวดทรมานยังไม่พอ ซ้ำยังทำให้เกิดอาการง่วงนอน การเคลื่อนไหวเชื่องช้า สติสัมปชัญญะเลือนรางและพฤติกรรมไม่เหมาะสม เป็นต้น เวลานี้คนที่มีวรยุทธ์เลิศล้ำ การนอนหลับเป็นวิธีจัดการที่ดีที่สุด จะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน
ผู้ออกแบบกับดักแปะสิ่งของไว้บนหนังท้องของจี๋โซ่ว ยามที่ท่านอาจารย์จื่อเวยกระชากออกมา ได้รบกวนสัตว์นั้นแล้ว คนชุดป่านกระชากอีกรอบเสียเลย ลากสัตว์ทั้งตัวออกมา
คนชุดป่านหลุบตาเล็กน้อย เขาเองก็อยากนอนหลับไปเช่นนี้ยิ่งนัก ต้องนอนหลับถึงปรับปราณแก้พิษได้ ถึงหลีกเลี่ยงอาการที่แย่ยิ่งกว่านี้ได้ ทว่าเขานอนหลับไม่ได้
เขาโซซัดโซเซลุกขึ้น เหวี่ยงจี๋โซ่วที่ปล่อยเข็มพิษจนสิ้นไม่มีพลังทำลายล้างแล้วออกไปก่อน จากนั้นเริ่มถอดอาภรณ์ของท่านอาจารย์จื่อเวย
เขาขมวดคิ้ว สวมเสื้อคลุมกว้างคล้ายกระโปรงของท่านอาจารย์จื่อเวย ระหว่างเปลี่ยนอาภรณ์สีหน้าไม่พอใจยิ่งนัก
จากนั้นเขาใช้มือลูบคลำ ถอดผมปลอมที่พลิ้วสยายดุจแสงจันทร์นั้น สวมบนศีรษะของจื่อเวย
ยามที่เขาถอดผมปลอมสีเงิน ปลายผมของตนเองคล้ายสะท้อนแสงจันทร์เช่นกัน
จากนั้นเขาคว้าห่อผ้าที่เต็มไปด้วยสิ่งของที่ได้มานั้นที่จื่อเวยเก็บไว้ ผูกไว้บนร่างตนเอง
การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ เขาทำอย่างยากเย็นแสนเข็ญ โซซัดโซเซ
เสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ เขาพิงกำแพง เงยหน้ามองข้างบน คล้ายกำลังรอคอย
…
“ข้างห้องคล้ายมีเสียงโหยหวนทุ้มต่ำ” เผยซูอุดปากจิ่งเหิงปัวไว้ ตั้งใจฟัง
จิ่งเหิงปัวคว้ามือของเขาออกไป กลิ่นผู้ชายบนร่างเจ้าคนนี้หอมเหลือเกิน เข้าใกล้แล้วทำให้นางรู้สึกอึดอัด
เผยซูฉวยโอกาสคลึงมือของนาง คลึงไปคลึงมาคล้ายเพลิดเพลินยิ่งนัก โดนจิ่งเหิงปัวเตะครั้งหนึ่ง
“ส่งข้าขึ้นไป!”
“เจ้าขึ้นมาก่อน!” เผยซูประสานสองมือซ้อนกัน งอเข่าเล็กน้อย บอกใบ้นางก้าวขึ้นไป
จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว นางรู้สึกว่าด้วยฝีมือของเผยซู น่าจะสะบัดแขนเสื้อก็ส่งนางขึ้นไปอย่างสง่างามได้ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสร่างกาย เพียงแต่เห็นเจ้าคนนี้มีสีหน้าไม่สู้ดี บางทีอาจไม่ไหวแล้วมั้ง?
นางปีนขึ้นเข่าของเผยซู เผยซูได้โอกาสประคองเอวของนาง มือสัมผัสทรวดทรงวิจิตรน่าตื่นตะลึง ในใจเขาสั่นสะท้าน ชะงักเล็กน้อย
เบื้องหน้าคือเรือนร่างอ่อนหวานแช่มช้อย รอบด้านตลบอบอวลด้วยกลิ่นหอมเจือจาง เดิมทีห้องเล็กเช่นนี้มักมีกลิ่นเหม็นสาบสัตว์ ทว่าบัดนี้เขาได้กลิ่นเพียงกลิ่นกายแต่กำเนิดของนาง มิใช่ดอกไม้มิใช่สมุนไพร คล้ายซึมซาบเข้าไปในไขกระดูกมนุษย์ได้
ผมยาวของนางสยายลงมา พัดผ่านบนใบหน้าเขาพอดี คล้ายแพรต่วนงดงาม ลื่นไหลพัดพลิ้ว ซ้ำยังคล้ายกลิ่นหอมแตกต่างเข้าสู่ปลายจมูก เขาอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง สูดหายใจลึกล้ำ
กลิ่นหอมที่พัดผ่านใบหน้าเหล่านั้น ข้ามผ่านกรงขังที่ใช้เวลาอ้างว้างนานหลายปี พลิกอดีตที่มืดสลัวออกไป ทำให้เขามองเห็นความงดงามและความสดใสของชีวิตอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดแล้ว เขาแอบบ่นว่า “ไม่รู้สถานการณ์” เชิดสองมือส่งนางขึ้นไป เลี้ยวกลางอากาศปานมัจฉาแหวกว่าย จากนั้นข้ามผ่านขื่อที่เชื่อมต่อกันระหว่างสองห้อง
แวบแรกจิ่งเหิงปัวมองเห็นท่านอาจารย์จื่อเวย เสื้อผ้านั้นของเขาสะดุดตาเกินไปหน่อย
เขายืนพิงกำแพง กำลังเปิดห่อผ้าออก ดูท่าทางคิดจะนับของที่แย่งมาได้ ข้างในห่อผ้าเต็มไปด้วยสิ่งของหลากหลาย
มุมห้องยังมีคนนอนอยู่ด้วย มองเสื้อผ้านั้น รู้ว่าเป็นคนชุดป่าน
จิ่งเหิงปัวเห็นแบบนี้แล้วเกิดความลังเล…แม้ล้มลงไปคนหนึ่งเป็นเรื่องดีมาก แต่จื่อเวยกำลังตรวจสอบห่อผ้า ถ้านางอยากฉวยโอกาสขโมยห่อผ้าจากข้างกายจื่อเวยคงเป็นไปได้ยาก
ขณะกำลังลำบากใจ ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันหันหลัง คล้ายได้ยินคนชุดป่านเกิดการเคลื่อนไหว เดินเข้าไปตรวจตราอาการของคนชุดป่าน ห่อผ้านั้นก็วางแผ่ไว้บนโต๊ะ
จิ่งเหิงปัวดีใจยกใหญ่ กำลังคิดจะโบกมือหยิบฉวยสิ่งของ แต่กลับพบว่าห่อผ้านั้นนุ่มนิ่ม เป็นไปได้ว่าอาจห่อไว้ไม่ได้ทำให้สิ่งของร่วงหล่นระหว่างลอยขึ้นไป เช่นนั้นก็จะถูกท่านอาจารย์จื่อเวยพบเข้า
ขณะกำลังลังเล เรือนร่างนางหนักหน่วงกะทันหัน ไม่มีอะไรให้อาศัย ร่วงหล่นทันที!
ขณะร่วงหล่นได้ยินเสียงคำรามแผ่วเบาจากห้องข้างล่างนั้น คล้ายเผยซูเกิดเป็นอะไรขึ้นมา จนทำให้โคจรปราณแท้ต่อเนื่องไม่ได้ แบกนางไม่ไหวแล้ว
นางแอบด่าว่าเจ้าคนนี้เฮงซวย ร่วงหล่นแบบนี้ เสียงดังขนาดนี้ เท่ากับเดินมาตกหลุมพรางเอง!
เมื่อจะทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด นางเปลี่ยนท่าร่างกลางอากาศ พุ่งไปบนร่างท่านอาจารย์จื่อเวยทันที
ท่านอาจารย์จื่อเวยคล้ายอยากหันหน้ามา ทว่าก็ไม่ได้หันหน้ามา เขากึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายแข็งทื่อเล็กน้อย
ชั่วพริบตาเดียว ไม่ทันได้ใคร่ครวญ นางผลักท่านอาจารย์จื่อเวยล้มลงบนพื้นดังพลั่ก ตอนที่พุ่งไปบนร่าง นางรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรสักอย่างที่เหมือนหนาม ผิวกายเจ็บแปลบเล็กน้อย แต่จากนั้นของสิ่งนั้นถูกนางทับกลับเข้าผิวกายท่านอาจารย์จื่อเวย ได้ยินเสียงคำรามแผ่วเบารำไร จากนั้นก็ถูกกดทับไว้
นางผลักท่านอาจารย์จื่อเวยล้มลง ไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย เอื้อมมือฉีกเสื้อผ้าเขาทันที!
นี่คือแผนการที่นางคิดไว้แล้วขณะร่วงพื้น เจ้าผู้ชราจื่อเวยนี้รักความงามยิ่งกว่าชีวิต พิถีพิถันกับเสื้อผ้าทรงผมรูปลักษณ์ภายนอกอะไรนั้นอย่างยิ่ง กระชากเสื้อผ้าของเจ้าผู้ชรานี้ แย่งห่อผ้าแล้วออกไป เขาต้องเห็นภาพลักษณ์ของตนสำคัญกว่าห่อผ้า จะต้องรีบสวมเสื้อผ้าก่อน เช่นนี้นางก็ชนะแล้ว
นี่ก็เป็นวิธีที่ช่วยไม่ได้ สู้ไม่ชนะก็ต้องเล่นสกปรก
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เขาคล้ายผิดปกติเล็กน้อย อาจจะได้รับบาดเจ็บ ไม่ฉวยโอกาสนี้ลงมือก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
สิบนิ้วแหลมคม ออกแรงคว้าสาบเสื้อเขาไว้เต็มกำลัง กระชากอย่างรุนแรง
แคว่ก