เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 4 - 3 เขตปกครองตนเองแห่งใหม่
พอนึกถึงตรงนี้นางก็เหน็บหนาวสั่นระริก จากนั้นส่ายหน้าอีกครั้ง รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ กงอิ้นมีกิจธุระการบ้านงานเมืองมากมาย คงไม่มีทางยุ่งเกี่ยวมาถึงการเมืองภายในแคว้นเซียงได้ ยิ่งกว่านั้นต่อให้อำนาจล้นโลกหล้าแต่เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างผลกระทบต่อการสมรสและความรู้สึกขององค์หญิงแคว้นเซียง เรื่องนี้เพิ่งโผล่ออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าเกิดความผิดปกติมาเนิ่นนานแล้ว ยามนั้นกงอิ้นกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดการทหารคั่งหลง เป็นไปไม่ได้ที่จะเอื้อมมือมาถึงแคว้นเซียงก่อนแล้ว…
พอคิดเช่นนี้ ในใจก็สงบสุขขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าความว้าวุ่นใจหอบหนึ่งยังไม่จางหาย นางชะโงกหน้าออกไปเร่งเร้าสารถีให้เร่งความเร็ว พอเชิดสายตาขึ้นพลันมองเห็นเมฆทะมึนตรงขอบฟ้า มืดครึ้ม ประชิดใกล้เข้ามาอย่างเงียบเชียบอีกครั้งหนึ่ง
…
“เส้นทางที่ไปยังเขาชีเฟิงไกลยิ่งนัก” ยงเสวี่ยนำน้ำแกงไก่ชามหนึ่งมาให้จิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “ต้องผ่านแคว้นเซียง เผ่าหวงจินและเผ่าจั๋นอวี่ด้วย”
“กำหนดเส้นทางอย่างไร” จิ่งเหิงปัวโพล่งปากถาม น้ำแกงไก่หอมหวนเข้มข้นยิ่งนัก ขนาดนางไม่ค่อยอยากอาหารยังอดจะซดเข้าไปหลายอึกไม่ได้ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมาเล็กน้อย
เพื่อดูแลรักษาร่างกายของนาง อาหารของทุกวันจะเป็นประเภทน้ำต้มน้ำแกง บางครั้งมีอาหารที่เป็นยาบ้าง สีหน้าของนางนับว่าค่อยๆ ดีขึ้นมาบ้างแล้ว
เดินทางบนเส้นทางมาได้หลายวันแล้ว สามวันแรกนางนอนหลับทั้งวันทั้งคืน ซ้ำยังไม่ยอมเอ่ยวาจา ทุกคนรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง โชคดีที่หลังจากผ่านไปสามวัน นางก็ลุกขึ้นมาจะกินข้าวจะดื่มน้ำด้วยตนเอง ลักษณะท่าทางเป็นธรรมชาติ ทุกคนจึงวางใจขึ้นมา ขณะโล่งใจพลันรู้สึกว่าสงสาร เพียงแต่ความรู้สึกนี้เก็บซ่อนไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกคนต่างไม่ได้เอ่ยออกมา
“เพื่อประหยัดเวลา อีกทั้งจะได้ไม่เกิดเรื่องราว พวกเราอาจจะไม่ได้ไปแคว้นเซียงแต่จะอ้อมไปเส้นทางลัดทางเล็กแทน”
จิ่งเหิงปัวได้ยินคำว่าแคว้นเซียงสองคำนี้ ในใจกระตุกวูบเล็กน้อย
“เจ็ดสังหารร้องไห้อยู่ตรงนั้น เอ่ยว่าองค์หญิงแคว้นเซียงคล้ายกำลังจะจัดพิธีอภิเษกสมรส คงต้องมีความสนุกสนานครึกครื้นให้ได้ชมเป็นแน่ เอ่ยว่าจะไปดูพระราชพิธีอภิเษกสมรสของราชวงศ์ แต่ข้าว่าพวกเขาเพียงล้อเล่น ถกเถียงกันว่าองค์หญิงน่าจะทรงฉลองพระองค์เช่นไรในพิธีอภิเษกสมรสไปพลาง กำหนดการเดินทางผ่านเส้นทางสายเล็ก” ยงเสวี่ยนึกถึงความไม่เข้าท่าของเจ็ดสังหารแล้วอดจะหัวเราะไม่ได้
“ดีแล้ว” จิ่งเหิงปัวซดน้ำแกง อดจะชมเชยไม่ได้ว่า “ยงเสวี่ย นับวันฝีมือการทำอาหารของเจ้ายิ่งดีขึ้น น้ำแกงไก่ชามนี้เคี่ยวได้หอมกว่าเมื่อก่อนนัก”
“ชามนี้น่ะไม่ใช่ฝีมือของข้าหรอก” ยงเสวี่ยยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “พอได้กลิ่นแล้วรู้เลยว่าวัตถุดิบแตกต่างกัน”
จิ่งเหิงปัวชะงัก มองดูน้ำแกงไก่ก็เข้าใจทันทีว่าเป็นฝีมือของใคร รู้สึกว่าชามในมือหนักขึ้นมากะทันหัน
จากนั้นนางก็รู้สึกอีกว่าวาจาเมื่อครู่ของยงเสวี่ยผิดปกติ กล่าวว่า “ดมกลิ่น? เจ้าไม่ได้ดื่มหรือ”
“โอ้? หา?” ยงเสวี่ยที่ไม่ถนัดเอ่ยวาจาพลันติดอ่างขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “อ้อ ประเดี๋ยวข้าไปดื่ม ประเดี๋ยวข้าไปดื่มนะ” นางรีบร้อนเก็บชามจากในมือของจิ่งเหิงปัวแล้วหันกายลงจากรถไป
จิ่งเหิงปัวเช็ดปาก มองเงาด้านหลังที่แทบจะวิ่งหนีไปของนาง เดิมทีแค่โพล่งปากถามประโยคเดียวเท่านั้น รู้สึกขึ้นมาทันทีว่ายิ่งผิดปกติ
นางรออยู่สักพักจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณรถม้า จากนั้นก็ลงจากรถอย่างเงียบเชียบ
สถานที่พักผ่อนมักอยู่บริเวณแหล่งน้ำ ก่อนอื่นนางมองเห็นอีชี เทียนชี่กับอู่ซานกำลังจับปลาอยู่ข้างลำธาร ทุกคนถลกขากางเกงขึ้นยืนอยู่กลางลำธารเย็นเยียบ เหยียลี่ว์ฉีนั่งยองอยู่ข้างโขดหินอีกฝั่งหนึ่ง คุณชายตระกูลใหญ่โตผู้สูงศักดิ์ล้ำค่าคนนี้ถลกแขนเสื้อไว้บนแขน กำลังฆ่าปลาขอดเกล็ดควักท้อง ล้างแต่ละตัวจนสะอาดแล้วใช้กิ่งหลิวผูกเอาไว้ แขวนเป็นแถวยาวอยู่บนต้นไม้ แขนของเขาเต็มไปด้วยเกล็ดปลา กะพริบวูบวาบภายใต้แสงอาทิตย์
สายลมพัดพาบทสนทนาของพวกเขามาให้ได้ยินอย่างรำไร
“พอหรือยัง พอหรือยัง!” อีชีจับปลาอยู่ในน้ำอย่างยากลำบาก แขนเสื้อกว้างของอู่ซานสะบัดพัดพลิ้ว วักกระแสน้ำไปพลางถอนหายใจไปพลางว่า “อมิตพุทธ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป ข้ากังวลเหลือเกิน พระพุทธองค์จะทรงลงโทษข้าหรือไม่…”
เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “หาให้มากกว่านี้อีกหน่อย ประเดี๋ยวเข้าสู่เส้นทางบึงโคลน หวังจะหาอาหารคงไม่ง่ายแล้ว! อย่างน้อยที่สุดต้องแน่ใจว่านางจะได้กินเนื้อทุกวันถึงหยุดจับได้”
“ปลาเอ๋ยปลาน้อย…” อีชีกระซิบกับลำธารว่า “พากันว่ายน้ำมาหาข้าเร็ว…”
จิ่งเหิงปัวถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างเงียบเชียบ หันไปอีกทางหนึ่งก็มองเห็นจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยกำลังกินอาหารอยู่ใต้ต้นไม้ทางนั้น พวกนางกินหมั่นโถวคนละลูก แม้อยู่ห่างไกลยังมองออกว่าทั้งแห้งทั้งแข็งอย่างยิ่ง ด้วยเพราะจื่อหรุ่ยที่เคยได้รับบาดเจ็บตรงปากกัดเข้าไปแล้วเคี้ยวลำบากยิ่งนัก
บนกองไฟข้างกายพวกนางคือน้ำแกงไก่โชยไอร้อนผ่าว น้ำแกงนั้นมีเพียงโถเดียว ไม่มีใครแตะต้อง
จิ่งเหิงปัวหันไปอีกฝั่งหนึ่ง ในป่าไม่ไกลข้างหลังรถม้า ห้าสังหารกำลังปรึกษาหารืออะไรกันลับๆ ล่อๆ
“ข้ายังมีสองเหรียญเงินย่อย”
“ข้ายังมีสิบเหรียญเงินใหญ่”
“ซือซือเจ้านั่นล่ะใช้เงินมากที่สุด! ข้ายังมีอีกหนึ่งตำลึง!”
“เหอะๆ เจ้าชอบประหยัดเงิน เจ้าประหยัดมากเพียงใดสุดท้ายแล้วก็ถูกอาจารย์ล้วงเอาไปหมด”
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้ามีน้อยไม่เท่าข้า ข้ามีเพียงยี่สิบเหรียญทองแดงฮ่าๆๆ”
“รวมกันแล้วหนึ่งตำลึงสามเหรียญเงินยี่สิบห้าเหรียญทองแดง พอซื้อข้าวห้าสือ[1]หรือซื้อเนื้อห้าสิบจิน”
“พอแล้วๆ พอให้ปัวปัวกินแล้ว!”
“ไอ้ทึ่ม! แล้วพวกเราไม่ต้องกินข้าวหรือ?”
“อืมนั่นสิ ถุย คนจนทั้งฝูง เหยียลี่ว์ฉีเป็นราชครูไม่ใช่หรือ? เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่โตไม่ใช่หรืออย่างไร? เงินของเขาล่ะ?”
“เห็นเอ่ยว่าออกมากะทันหันเลยไม่ได้พกมาด้วย เงินที่ส่งตามมาก็ยังมาไม่ถึง เขาเอาแต่ตามติดพวกเราไม่ยอมกลับแคว้นอวี่บ้านเกิดของตนเอง เส้นทางซับซ้อน ไม่แน่ว่าคนส่งเงินอาจจะหลงทางแล้วก็ได้”
“โอ๊ยๆๆ เส้นทางนี้ไม่มีแม้แต่โจรสักคนเดียว”
“โอ๊ยๆๆ เส้นทางนี้ราษฎรเป็นคนยากคนจนทั้งนั้น ข้าจะไปลักขโมยยังสงสารเลย”
“โอ๊ยๆๆ ต้องโทษอาจารย์แก่ตัณหากลับ ให้ค่าเดินทางพวกเรามาไม่พอน่ะสิ”
“นั่นสิ น้อยเกินไปแล้ว เจ้านอนกับหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหอซีโหลวชุนในตี้เกอสามเดือนก็ใช้หมดแล้ว”
“เจ้าดื่มสุราปี้คงสี่ที่แพงที่สุดในตี้เกอสามเดือนก็ใช้หมดแล้ว”
“เจ้าใช้เงินอวดร่ำอวดรวยล้มแรดตัวหนึ่งในตี้เกอก็ใช้หมดแล้ว”
“โอ๊ยๆๆ จะอย่างไรก็ช่างเขาเถิด อย่างไรเสียยามนี้ก็ไม่มีแล้ว ไม่มีสถานที่ให้หาเงิน ซ้ำหลังจากนี้ยังเข้าใกล้เส้นทางบึงโคลนอีกด้วย ไม่มีคน ไม่มีกิน ไม่มีสัตว์ป่า ทำอย่างไรดี?”
“เรื่องเล็กน้อย พอหิวสังหารคนที่อ้วนที่สุดกินก็อิ่มแล้ว โอ้ ซือซือ เจ้าหน้าตาอิ่มเอิบ ศีรษะอวบอ้วนหูกาง เนื้อเจ้าต้องอวบแน่นถูกปากชุ่มฉ่ำไขมันเป็นแน่ ทำเนื้อย่างน่าจะดีที่สุดแล้ว เช่นนั้นเจ้าเสียสละสักหน่อย?”
“เอ่อร์ลู่เจ้าเปล่งประกายอิ่มเอิบ เนื้อแน่นไร้ไขมัน กินแล้วรสชาติต้องเข้มข้นเหนียวนุ่มยิ่งนักเป็นแน่ เช่นนั้นเจ้าให้ข้าลองชิมสักหน่อยก่อน?”
“ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่น่าอร่อยทั้งนั้น ข้าอยากกินอาจารย์”
“ใช่แล้วๆ อาจารย์ต้องอร่อยเป็นแน่ ผิวละเอียดเนื้อนุ่ม หอมหวนชวนชิม!”
“ไอ้ทึ่มทั้งฝูง! ยามนี้กินอาจารย์ได้หรือ? ยามนี้ข้าหิวแล้ว! แทะหมั่นโถวแห้งมาสามวัน ฟันเรียงสวยขาวละเอียดบริสุทธิ์ของข้าแทบจะร่วงออกมาหมดปากแล้ว!”
นิ่งเงียบกันครู่ใหญ่
“กินเหยียลี่ว์ฉีเถิด”
“ใช่ เหยียลี่ว์ฉี”
“เขานั่นแหละ!”
“รูปร่างสมส่วน กำลังพอดี”
“ข้าว่าเหมาะสม”
“กินเหยียลี่ว์ฉีแล้วค่อยกินเทียนชี่ สองคนรวมกันน่าจะได้เนื้อหลายร้อยจิน ประหยัดหน่อยคงพอกินแล้ว”
“เช่นนั้นตัดสินอย่างน่าพอใจเช่นนี้แล”
“มาสิ นับเงินกันอีกรอบหนึ่ง”
…
จิ่งเหิงปัวก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะกลับขึ้นไปบนรถ
นางใช้สองมือวางไว้หลังศีรษะ แหงนหน้าหาเพดานรถ ผ่านไปเนิ่นนานก็วางท่อนแขนพาดไว้บนดวงตา หัวเราะเสียงหนึ่งแล้วหัวเราะอีกเสียงหนึ่ง
เส้นทางยากลำบาก แต่ยังมีอะไรคู่ควรให้หวาดกลัวด้วยเหรอ?
มีคน มีความรัก ฟ้าครามเหนือศีรษะ ผืนดินใต้ฝ่าเท้า ไม่มีเหตุผลให้ไม่ก้าวต่อไป
จากนั้นนางจึงลุกขึ้นมาตะโกนดังลั่นว่า “พี่จะไปแคว้นเซียง!”
เสียงตะโกนนี้ทำให้ทุกคนตกใจโดยพลัน อีชีกับเทียนชี่เดินเท้าเปล่า เหยียลี่ว์ฉีวิ่งเข้ามาด้วยไหล่ที่เต็มไปด้วยเกล็ดปลา เหยียลี่ว์ฉียังไม่ลืมนำพวงปลาพวกนั้นของเขามาด้วย จิ่งเหิงปัวมองเห็นท่าทางเฉกเช่นชาวประมงที่มีปลาพวงหนึ่งห้อยแกว่งไปแกว่งมาอยู่บนไหล่ของเขาผ่านหน้าต่างรถมาแต่ไกลแล้ว ก็อดจะหัวเราะไม่ได้
“เหตุใดพลันคิดอยากไปแคว้นเซียงขึ้นมา?” เหยียลี่ว์ฉีแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า “หากเดินทางผ่านแคว้นเซียง เส้นทางที่ใกล้ที่สุดต้องเดินทางผ่านนครหลวง สำหรับเจ้าแล้วเช่นนี้อันตรายเกินไป”
“ดีเลยๆ” ทว่าอีชีเกาะหน้าต่างรถด้วยท่าทางยินดีปรีดา ร้องว่า “ไปเที่ยวแคว้นเซียง!”
เทียนชี่มีท่าทางอย่างไรก็ได้ ผลักอู่ซานออกไปอย่างรังเกียจ ร้องว่า “เหงื่อเหม็นท่วมร่าง ข้าไม่อยากได้กลิ่น!”
“อมิตพุทธ อาตมาเกิดมามีกลิ่นแห่งธรรม!”
“ข้าไม่อยากดมกลิ่นเหม็นของบึงโคลน!” จิ่งเหิงปัวประกาศอย่างรอบคอบว่า “เดินทางจากแคว้นเซียงเถิด ทำตัวไม่สะดุดตาหน่อยก็พอแล้ว ข้าอยากมองเห็นผู้คน”
เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองนาง ภายใต้แสงอาทิตย์สีหน้าของนางซีดเผือดเล็กน้อย ทว่านัยน์ตาสว่างไสว ประดับด้วยแสงเศษเสี้ยวแห่งดวงดารา แตกต่างจากความระยิบระยับยามก่อน เพียงพาให้รู้สึกว่าแหลมคมเสียดแทงดวงใจจนเบื้องลึกภายในใจคล้ายเจ็บปวดทรมาน
ปอยผมกลุ่มหนึ่งร่วงลงมาบนหน้าผากนาง เปรอะเศษหญ้าเล็กน้อย
ก่อนที่ตัวเขาเองจะรู้สึกตัวขึ้นมา มือของเขาก็เอื้อมออกไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว เอ่ยว่า “ผมเจ้ายุ่งเหยิงแล้ว…”
จิ่งเหิงปัวเบี่ยงศีรษะหลบหลีก
ทำให้นิ้วมือของเขาเฉียดผ่านจอนผมของนาง
กลิ่นหอมอบอวล ปลายนิ้วหนาวเย็นเล็กน้อย
เสียงวาจาเจือเสียงหัวเราะของนางดังอยู่ข้างหูว่า “โอ๊ย มือเจ้ามีแต่เกล็ดปลาเต็มไปหมด อย่าเอามาเปื้อนข้าสิ!”
นิ้วมือของเหยียลี่ว์ฉีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็หดกลับมา ตนเองดมกลิ่นนิ้วมือ ก่อนจะเลิกคิ้วยิ้มแย้มแล้วเอ่ยว่า “มือเปื้อนกลิ่นคาวโลหิตเต็มไปหมดใช่หรือไม่”
จิ่งเหิงปัวจ้องมองเขา เพียงหัวเราะไม่เอ่ยวาจา
“เจ้าเกลียดข้าอยู่สินะ?”
“เช่นนั้นเจ้ากำลังชดใช้ความผิดอยู่หรือ” นางเลิกคิ้วยิ้มแย้มเช่นกัน กล่าวว่า “ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรืออย่างไร คุ้มค่าหรือ?”
“อาจจะคิดติดตามเจ้า คอยดูว่ามีโอกาสขุดรากถอนโคนเจ้าหรือไม่” รอยยิ้มเขาน่าหลงใหลภายใต้แสงอาทิตย์ เปล่งประกายเสียยิ่งกว่าเกล็ดปลาสีเงินบนมือ
“เช่นนั้นก็ติดตามต่อไปเถิด” นางยิ้มแย้มทีเล่นทีจริงเช่นกัน กล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะคิดหาโอกาสแก้แค้นเจ้าบ้าง”
“ข้ารอคอยอยู่เสมอ” มุมปากเขาผุดเผยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้าน
“นักการเมืองเช่นพวกเจ้าเหล่านี้จะเอ่ยวาจาจริงใจสักประโยคได้ยามใด?” นางหัวเราะขึ้นมากะทันหัน นิ้วมือเรียวยาวจิ้มหน้าผากของเขาอยู่ห่างไกล กล่าวต่อไปว่า “เอ่ยวาจาจนลึกลับซับซ้อนพาให้คนจับต้องไม่ได้ แท้จริงแล้วเพียงข้าลอบทำร้ายเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าลอบทำร้ายข้าอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ? ข้าเอ่ยว่าเจ้าครอบครองแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมอีกครึ่งหนึ่งข้างล่างกำแพงตี้เกอ เจ้าก็ถูกกำหนดให้ติดอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกตามล่าตลอดทาง เจ้าจึงตามติดข้าเสียเลย หากเจอพวกลอบสังหารพวกเราแบ่งกันครึ่งหนึ่งด้วย คราวนี้ข้านับว่าย้ายก้อนหินมากระแทกเท้าตนเองฮ่าๆๆ…” นางหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง กลับเข้าไปภายในหน้าต่างแล้วปิดบานหน้าต่างดังพลั่ก
บานหน้าต่างกระทบกันเสียงดังกังวาน ดั่งหางเสียงของเสียงหัวเราะเสียงสุดท้ายถูกสะบั้น
[1] สือหรือต้าน (石) เป็นมาตราชั่งตวงของจีนยุคโบราณ ปกติใช้เป็นหน่วยในการตวงข้าวสารหรือธัญพืช 1 สือเท่ากับ 20 ลิตร