เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 41 - 3 ข้าสมรสกับเจ้าดีหรือไม่?
หลังจากที่จัดการสองคนนี้ล้มลง เสียงของท่านอาจารย์จื่อเวยดังก้องทั่วหุบเขา
“ข้อสอบเฉียบพลัน สงครามปกป้องพรหมจรรย์!”
“ไปตายซะ!” ได้ยินหัวข้อนี้ จิ่งเหิงปัวร้องด่าทันที
“ยามนี้เจ็ดสังหาร อิงไป๋ เผยซู และเทียนชี่ถูกพิษของข้าผู้ชราแล้ว ซ้ำยังโดนสัตว์ป่าล้อมโจมตี” ท่านอาจารย์จื่อเวยนั่งอยู่บนยอดไม้ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าผู้ชราจัดเตรียมฝูงสัตว์ที่สอดคล้องกันตามความสามารถของพวกเขาแต่ละคน ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา พวกเขาจะแก้ไขปัญหาของตนเองแล้วตามมาถึงที่นี่ได้ เพียงแต่ยามนี้ปัญหามาแล้ว พวกเขาถูกพิษ ต้องการแก้พิษ ส่วนยาถอนพิษ” เขาดีดนิ้ว “ก็อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้”
“เจ้าต้องเป็นพวกน่ารำคาญกลับชาติมาเกิดแน่แท้” จิ่งเหิงปัวร้องด่า
“น้ำในทะเลสาบนี้ใสเป็นพิเศษ เจ้าเข้าใจสินะ” ท่านอาจารย์จื่อเวยยิ่งยิ้มแย้มเบิกบาน “เพียงแค่พวกเขาพุ่งมาถึงข้างทะเลสาบ เจ้าก็ถูกเห็นอะไรต่อมิอะไรหมดแล้ว ไอ้หยา ถูกเห็นหมดแล้วก็ต้องสมรส ทว่าคนมากขนาดนั้นเจ้าจะสมรสกับผู้ใดเล่า?”
“เจ้ากำลังมองข้าอยู่นะ” จิ่งเหิงปัวก็ไม่โมโหแล้ว ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ข้าสมรสกับเจ้าดีหรือไม่?”
“ข้าสวมผ้าปิดตาน่ะ” ท่านอาจารย์จื่อเวยหัวเราะฮิๆ “สตรีคือจิ้งจอกที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้ ข้าจะไม่รู้จักเตรียมป้องกันได้อย่างไร?”
“เลิกเอ่ยวาจาไร้สาระ” สีหน้าของจิ่งเหิงปัวเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด “นี่เจ้ากำลังทดสอบพวกเขา แล้วข้าเล่า? ข้าใช้วิธีอะไรถึงแก้ไขสถานการณ์นี้ได้? เจ้าคงให้ข้าเสกอาภรณ์จากความว่างเปล่าไม่ได้กระมัง?”
“โอ้” ท่านอาจารย์จื่อเวยเอ่ยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ข้าน่ะ เมื่อครู่แอบปล่อยสัตว์เกราะเงินลงไปในทะเลสาบ เน่ยตาน[1]ของเจ้าตัวนี้เป็นยาวิเศษรักษาอาการบาดเจ็บ หนังนุ่มยิ่งนักซ้ำยังต้านทานอาวุธคมทั่วโลกหล้าได้ อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือพอถลกหนังออกมาก็แยกเลือดเนื้อออกจากกันแล้วใช้สอยได้เลย ฉะนั้นเจ้าเพียงต้องฆ่าสัตว์เกราะเงินตัวนี้ ถลกหนังของมันมาคลุมร่างก่อนที่บุรุษฝูงนั้นจะตามมาร่วมอาบน้ำกับเจ้า เจ้าก็ทั้งมีอาภรณ์ทั้งมีเกราะวิเศษทั้งไม่ต้องสมรสมั่วซั่ว เจ้าดูสิ ยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว ข้าผู้ชราดีต่อเจ้าหรือไม่?”
“ดี! แม่งเอ๊ยโคตรดีเลย! รอให้ข้าหายดีแล้ว ข้าต้องยกเจ้าให้สมรสกับบุรุษสักหมื่นคนให้ได้!”
“พวกเขากล้าสมรสด้วยก็ได้เลย โอ้จริงสิ เล่ากันว่าสัตว์เกราะเงินฟันแทงไม่เข้า ปราดเปรียวดุจมัจฉาแหวกว่าย อยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เป็นหนึ่งในสัตว์ร้ายที่ร้ายกาจที่สุดแห่งเขาชีเฟิงของข้า เจ้าตัวนี้บนบกเป็นสัตว์ร้ายแล้ว ใต้น้ำยิ่งเป็นราชา ไอ้หยา เจ้าไม่มีอาวุธอะไรในมือเลย จะจัดการมันในหนึ่งเค่อได้อย่างไรเล่า? คิดแล้วกลัดกลุ้มยิ่งนัก…ข้าต้องนอนสักตื่นก่อน จะได้คิดแทนเจ้าให้เต็มที่…”
จิ่งเหิงปัวไม่ว่างฟังไอ้แก่หนังเหนียวนั่นเจื้อยแจ้วแล้ว
คลื่นน้ำที่อยู่ข้างหลังเกิดกระเพื่อมผิดปกติ มีตัวอะไรเข้าใกล้อย่างเงียบเชียบแล้ว เจ้าหมาโง่ที่มาด้วยกันกับนางขนลุกขนพอง ถอยไปริมฝั่งทีละก้าว เฟยเฟยกระโดดไปมาบนหินใหญ่ที่ริมฝั่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
เวลาหนึ่งเค่อ
นางต้องฆ่าสัตว์ร้ายโด่งดังตัวนี้ ซ้ำยังต้องถลกหนัง มิฉะนั้นไอ้ฝูงนั้นก็จะพุ่งเข้ามาเห็นนางเปลือยเปล่า
อิงไป๋กับเทียนชี่ก็ไม่เท่าไร เผยซูกับอีชีจะต้องวิ่งเร็วมากแน่นอน โดยเฉพาะเผยซู
ข้างหลัง สันหลังสีครามประกายเงินแถวหนึ่งโผล่ออกมา
…
ห่างจากที่นี่สามสิบลี้ มียอดเขาเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง ยอดเขาราบเรียบยิ่งนัก คล้ายถูกมีดสวรรค์เฉือนไปส่วนหนึ่ง
สองคนนั่งอยู่บนยอดเขา คนหนึ่งนั้นนอนอยู่ในอ้อมแขนอีกคนหนึ่ง
“เสี่ยวฉี” เหยียลี่ว์สวินหรูที่นอนอยู่นั้น หลับตา กระซิบว่า “แสงอาทิตย์ส่องถึงข้างผาแล้วใช่หรือไม่? ทางนั้นมีหินขาวก้อนใหญ่ใช่หรือไม่? ก้อนหินราบเรียบยิ่งนัก คล้ายเตียงหยก?”
เหยียลี่ว์ฉีเชิดสายตามองข้างหน้า ข้างผาที่เตียนโล่งไม่มีอะไรทั้งนั้น ทว่าเขายังยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ใช่แล้ว หินขาวก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เปล่งประกายประหนึ่งหยก”
เขาเงยหน้าขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องกลางดวงตาเขา นัยน์ตาแลคล้ายแวววาวพราวแพรว
“ข้ามีเรื่องจะเล่าให้เจ้าฟัง เกี่ยวกับหินก้อนนี้”
“เรื่องที่ท่านเล่าต้องน่าฟังแน่แท้” น้ำเสียงเขาชื่นชมยิ่งนัก
“ปีนั้นข้าอายุสิบสาม ก่อนตาบอดหนึ่งเดือน” เสียงของเหยียลี่ว์สวินหรูดุจละเมอ “ท่านพ่อท่านแม่เอ่ยว่าจะส่งเจ้าไปเรียนวิชา ข้าไม่พอใจ ทะเลาะกับพวกท่านยกใหญ่ วิ่งออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ก่อนออกเดินทางข้างัดกล่องเครื่องประดับของท่านแม่ ขโมยปิ่นปักผมที่มีค่าไปหลายอัน เตรียมเดินทางไปไกลหน่อย หวังว่าจะไปตี้เกอสักครั้ง”
“ดีแล้วที่ขโมย” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ยามนั้นข้าก็ไม่อยากไปเรียนวิชา สถานที่ที่ฮูหยินผู้นำตระกูลแนะนำจะมีดีอะไร? ไม่ใช่ให้ข้าไปฝึกโดนซ้อมหรือไร?”
นางคล้ายหัวเราะเล็กน้อย ตบมือของเขา “ข้าโมโหยิ่งนัก เดินทางไปไกลเหลือเกิน ระหว่างทางไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย จนกระทั่งถึงเผ่าไต้เม่า ค่ำคืนหนึ่งขณะที่เข้าพักในโรงเตี๊ยม พลันได้ยินบางคนร้องเพลงจิ้งจอกน้อยนอกหน้าต่างข้า”
“จิ้งจอกน้อยอะไร”
นางเริ่มร้องอย่างแผ่วเบา
“จิ้งจอกใหญ่ล้มป่วย จิ้งจอกรองตรวจอาการ จิ้งจอกสามซื้อยา จิ้งจอกสี่ต้มยา จิ้งจอกห้าสิ้นใจ จิ้งจอกหกยกหาม จิ้งจอกเจ็ดขุดหลุม จิ้งจอกแปดฝังกลบ จิ้งจอกเก้าร้องไห้ จิ้งจอกสิบถามว่าเหตุใดเจ้าถึงร้องไห้? จิ้งจอกเก้าเอ่ยว่าเจ้าห้าไปแล้วไปลับ…”
นานหลายปีขนาดนั้น เคยได้ฟังครั้งเดียวขณะที่สะลึมสะลือ นับแต่นั้นนางไม่เคยลืมเลือน
“เพลงนี้ฟังครั้งแรกคล้ายเพลงกล่อมเด็ก ทว่าใคร่ครวญแล้วคล้ายน่ากลัว” เขาวิจารณ์
“ข้าฟังเพลงนี้แล้วเกิดความรู้สึกไม่ต่างจากเจ้า รู้สึกว่าน่ากลัว พลันนอนไม่หลับอีกแล้ว ลุกขึ้นออกไปตามหา ทว่าเสียงเพลงนั้นคล้ายผ่านไปแล้ว คนจากไปก่อนแล้ว ข้างนอกไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย”
เขายิ้มแย้ม สวินหรูใจกล้าตั้งแต่เด็ก แต่ก็เพราะใจกล้าเกินไปใช่หรือไม่ ภายหลังนางถึงได้ประสบเคราะห์กรรมมากขนาดนั้น?
“ข้าไม่ยอมถอดใจ เคยฟังเรื่องลึกลับตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าในเมื่อเสียงเพลงนี้อยู่นอกหน้าต่างข้า แน่นอนว่าต้องชี้ทางให้ข้า ฉะนั้นจึงยืนอยู่ในลานบ้าน โยนเหรียญเงิน เหรียญเงินร่วงลงทางใด ข้าก็คิดจะตามไปทางนั้น”
“จากนั้นท่านตามมาถึงที่นี่?”
“ข้าเดินไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ยามที่ไม่แน่ใจทิศทางข้าก็จะโยนเหรียญเงิน ข้ามอบโชคชะตาให้สวรรค์ อยากรู้ว่ามันจะพาข้าไปถึงที่ใด สุดท้ายข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ สลบไสลที่ข้างล่างเชิงเขาลูกนี้ ฟื้นขึ้นมาก็มองเห็นยอดเขากว้างโล่ง พระอาทิตย์ขึ้นส่องทั่วท้องฟ้า โฉมงามอาภรณ์ม่วงนั่งอยู่บนหินขาวที่ประหนึ่งเตียงหยก โฉมงามกำลังหวีผม หันหน้าหาแสงอาทิตย์”
เขามองทางนั้น ยามนี้ไม่ใช่รุ่งอรุณ แสงสว่างยังคงเจิดจ้า ทำให้จ้องมองโดยตรงไม่ได้
“ยามนั้นข้านึกว่าตนเองมองเห็นเทพเซียน ไม่สิ เทพเซียนก็ไม่ได้งดงามเพียงนี้ ข้าเดินเข้าไป หวังเอื้อมมือลูบผมของนาง ผมของนางงดงามเหลือเกิน เจิดจ้ายิ่งกว่าแพรนิลที่งดงามที่สุด ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดมีผมเช่นนั้น ทว่านางพลิกมือคว้ามือของข้าไว้ จากนั้นโยนข้าลงหน้าผา”
เหยียลี่ว์ฉีร้องอ๊ะ คงนึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้
“ข้าร่วงลงไป ไม่ได้กรีดร้อง เพียงจ้องหน้าของนางเขม็ง ข้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้ ข้าคงมองไม่เห็นสิ่งที่งดงามยิ่งกว่าใบหน้านี้ ก่อนสิ้นใจได้เห็นเต็มตาก็คุ้มค่าแล้ว”
ไม่ใช่ เขาแอบเอ่ยในใจ ผู้ที่งดงามที่สุดยังมีอีกคน นางนั่นเอง
“กระทั่งยามที่ข้านึกว่าข้าตายแน่แล้ว ตรงหน้าข้าพลันมืดมิด พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ข้านอนอยู่บนหินขาวแล้ว ใบหน้าที่ทำให้ข้าวิงเวียนนั้นกำลังหันหาข้า นางยังหยิกหน้าของข้า เอ่ยอย่างแปลกใจนักว่า เอ๊ะ ใจเพชรมาเกิดบนร่างเด็กหญิงน้อยคนนี้ได้อย่างไร?”
“ข้าฟังวาจาของนางไม่เข้าใจ ยามนั้นข้างงงวยโดยสิ้นเชิง ด้วยเพราะเสียงนั้นเป็นเสียงบุรุษ” นางหัวเราะสั้นๆ “ผู้ที่งดงามขนาดนี้ ไม่นึกว่าจะเป็นบุรุษ” นางยกมือลูบใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉี “เสี่ยวฉี ข้ามักเอ่ยว่าเจ้าคือบุรุษที่งดงามที่สุดบนโลกนี้ ข้าโกหกเจ้า ในใจของข้า เขาถึงเป็นผู้ที่งดงามที่สุด ไม่อาจเทียบเทียม”
“พรุ่งนี้ข้าจะกรีดใบหน้าของเขาให้ลายพร้อย” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม “เช่นนี้ผู้ที่งดงามที่สุดก็จะเป็นข้าแล้ว”
“เจ้าคงกรีดหน้าเขาไม่ได้หรอก ข้าเองก็รู้สึกว่ากรีดให้ลายพร้อยได้คงดี มีหน้าตางดงามเช่นนั้น แท้จริงแล้วไม่เป็นมงคล ในใจข้ารู้สึกว่าเขาต้องเป็นคนโชคร้ายเช่นกัน แม้เขาดูท่าทางสง่างามเลิศล้ำยิ่งนัก ในใจเขาคงต้องขมขื่นแน่แท้”
“บนโลกนี้มีคนมากเพียงใดภายนอกสว่างสดใส ทว่าภายในทุกข์ระทม” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ขอเพียงจิตใจไม่ตกต่ำก็ได้ทั้งนั้น”
“หัวใจของข้าร่อนเร่อยู่กับเขาเสียแล้ว” นางหัวเราะเยาะ “ข้ากับเขานั่งอยู่ด้วยกัน ไม่ได้เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว มองพระอาทิตย์ตลอดวัน มองแสงอาทิตย์ผ่านพ้นขอบฟ้าทีละชุ่น มองทะเลเมฆเปลี่ยนไปหลากหลายสีสัน มองแสงทองเชื่อมแสงอาทิตย์ลับฟ้า จากนั้นข้าหลับไป หลังตื่นขึ้นมาแล้วข้านอนอยู่บนหินขาวเพียงผู้เดียว รอบด้านว่างเปล่า ไม่มีคน ไม่มีอุณหภูมิร่างกาย ไม่มีรอยเท้า ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งคล้ายเป็นเพียงความฝันครั้งหนึ่งของข้า”
มุมปากนางโค้งขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นความฝัน เป็นความฝันครั้งหนึ่งที่เกิดจากพริบตาที่งดงามที่สุดในชีวิต ในความฝันนั้น นางบุกป่าฝ่าดง ข้ามน้ำข้ามทะเล รอยเท้าฟันฝ่ายามเยาว์วัย พบเจอคนที่งดงามที่สุดผู้นั้น บนเขาลูกนั้น ชายกระโปรงจูงเมฆหมอก เหนือศีรษะส่องแสงทอง เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา มองแสงนภาผ่านพ้นเจ็ดสีสัน เมฆรุ้งท่วมท้นนัยน์ตา นับแต่นั้นชั่วชีวิตไม่เคยลืมเลือน
ครู่หนึ่งนั้นนางคงไม่เคยคิดแน่แท้ หนึ่งเดือนต่อมา นางจะร่วงหล่นสู่ความมืดมิดชั่วนิรันดร์ ฉะนั้นสีสันงดงามทั่วท้องฟ้าฉากนั้น เงาร่างอาภรณ์ม่วงนั้นท่ามกลางแสงทองเคลื่อนคล้อย จึงไม่สูญสิ้นชั่วนิจนิรันดร์
นางคิดอย่างดื้อรั้นว่านี่คือลิขิตที่สวรรค์มอบให้นาง สวรรค์ต้องการให้นางจำได้ ด้วยเหตุนี้จึงยอมลบสีสันทั้งหมดหลังจากนี้ในชีวิตนางไป หวังให้นางใช้ความมืดมิดทั้งชีวิต ทำให้ฉากนั้นแจ่มแจ้ง ยิ่งเนิ่นนานยิ่งงดงาม
ปีนั้นนางอายุสิบสามปี ช่วงเวลาที่รู้โกรธรู้แค้นไม่รู้รักไม่รู้เกลียด นางไม่รู้ว่านั่นใช่ความรักหรือไม่ ทว่านับแต่นั้นบรรจุความรู้สึกใดๆ นอกจากนั้นไม่ได้อีกแล้ว
“แท้จริงแล้วภายหลังข้ายังได้เจอเขาอีกครั้ง ยามนั้นข้าอายุสิบเจ็ดปี ตาบอดแล้ว” นางเอ่ยว่า “ครั้งหนึ่งถูกพี่สาวฝั่งบิดาลวงออกไป นางผลักข้าลงไปในหลุม ข้างในหลุมนั้นมีก้อนหิน ข้าเจ็บขา ระหว่างรอคอยความตายในหลุมนั้น ผู้อ่อนวัยกลุ่มหนึ่งผ่านมากะทันหัน พวกเขาไม่ช่วยข้า ล้อมรอบข้างหลุมข้า เถียงกันว่าจะฉวยโอกาสขุดดินอีกหน่อยฝังกลบข้าดีหรือไม่ ซ้ำยังมีคนเถียงว่าหรือจะสูบน้ำเข้าไปก็ไม่เลว ดูว่าข้าจะลอยขึ้นมาได้หรือไม่ จากนั้นพวกเขาเริ่มขุดดินกันจริงๆ ข้าก็ย่ำดินเหล่านั้นไว้ใต้ฝ่าเท้า ปีนขึ้นไป พวกเขาขุดมากเท่าใดข้าย่ำมากเท่านั้น พวกเขาหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่าข้าตลกดี ช่วยข้าออกมา ซ้ำยังเอ่ยว่าจะส่งข้ากลับจวน ข้ากลัวเกิดปัญหาจึงปฏิเสธไป ยามนั้นเองข้าได้ยินเสียงของเขา เขาเอ่ยว่าเหล่าลูกศิษย์ อาจารย์หิวแล้ว รีบไปปล้นเงิน”
“พอข้าได้ยินเสียงนี้ก็ชะงักงัน ผ่านไปนานเพิ่งเริ่มรู้สึกตัว หวังจะตามไป ผลลัพธ์ขาเจ็บเคลื่อนไหวไม่ได้ ฟังเสียงพวกเขาจากไป ภายหลังข้าเดินลากขาตามหาอยู่นาน สุดท้ายแล้วหาไม่เจอ หลังจากนั้น ข้านึกว่าข้าจะได้พบเขาอีกครั้ง…เพียงแต่ยามนี้ข้ารู้แล้ว บางครั้งสวรรค์เพียงลิขิตให้ข้าเจอเขาครั้งเดียว ครั้งต่อมาเป็นเหตุสุดวิสัยทั้งสิ้น ข้าไม่ต้องคิดมากอีกแล้ว เดิมทีข้ากับเขาก็อยู่คนละโลก ต่างคนต่างไปคงดีแล้ว”
“หรือว่า…” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ท่านยังจะได้เจอเขา ขอเพียงท่านเดินไปข้างหน้าอีกสักก้าว”
“ไม่ล่ะ…” เหยียลี่ว์สวินหรูชูมือสองข้าง บนมือพิการเว้าแหว่ง รอยม่วงคล้ำตรงนิ้วลามไปถึงส่วนข้อมือแล้ว ส่วนที่เหลือซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร นางใช้มือที่ดูท่าไม่คล้ายมือมนุษย์คู่นี้รับแสงอาทิตย์ไว้ ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ข้าเพียงอยากอยู่ที่นี่ ข้าเพียงชอบที่นี่ ปีนั้นข้าเริ่มต้นที่นี่ บัดนี้ข้าก็อยากจบสิ้นที่นี่”
เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้เบนสายตาออกไป เขาจ้องมือของพี่สาวเขม็ง ทีละตำแหน่ง มองผ่านรอยแผลกับรอยตัดที่เป็นหลุมเป็นบ่อเหล่านั้น
นี่คือรอยแผลกับรอยตัดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาสองพี่น้อง แม้มองปราดเดียวเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ก็ไม่ควรหลีกเลี่ยง
จำไว้ ถึงแก้แค้นได้
“ข้าเองเดินไม่ไหวแล้ว” เหยียลี่ว์สวินหรูหลับตาสองข้าง มุมปากยิ้มแย้มเสียดสี “แม้เขาอยู่บริเวณนี้ด้วย แต่ข้าไม่อยากตามหาแล้ว ใกล้สิ้นใจลากสังขารไปหาบุรุษผู้หนึ่ง คิดจะทำอะไรกัน? จะให้เขาจดจำข้าตลอดไปด้วยเหตุนี้หรือ? ขออภัยด้วย ข้าไม่ทำเรื่องเช่นนี้ ข้าน่ะไม่อยากปรากฏกายต่อหน้าเขาในยามที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตตน ใช้สภาพน่าเวทนาของตนเรียกความสงสารเสี้ยวหนึ่ง หากข้าจะปรากฏกายต่อหน้าเขา ต้องเป็นยามที่ข้าสง่างามเท่านั้น…หรือว่าเป็นยามที่เขาย่ำแย่ยิ่งนักเท่านั้น…”
“ท่านจัดการเขาให้ย่ำแย่ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ…” เขาปลอบนางด้วยวาจานุ่มนวล
“เรื่องนี้ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน เวลาของพวกเราล้ำค่า อย่าสิ้นเปลืองไปในความฝันครั้งเดียว” นางคว้ามือของเขาไว้ “เสี่ยวฉี ฟังข้าสักหน่อย ชอบผู้ใดก็ไปตามจีบเถิด ไม่ต้องสนใจว่าผลลัพธ์มันเป็นอย่างไร ไม่ต้องสนใจว่าหัวใจนางมีเจ้าของหรือไม่ ไม่ต้องสนใจว่าระหว่างทางมันลำบากยากเข็ญเพียงใด จิ่งเหิงปัวคู่ควรกับเจ้า เจ้าก็คู่ควรกับนาง ไม่ต้องสนใจว่าสวรรค์ลิขิตวาสนาครั้งนี้ให้เจ้าหรือไม่ หากเจ้าไม่ลองด้วยซ้ำ ชาติหน้าข้าคงจะเหยียดหยามเจ้าตลอดไป”
“เช่นนั้นชาตินี้ข้ายอมให้ท่านเหยียดหยามข้าสักเจ็ดสิบแปดสิบปี ข้ายอมให้ท่านเหยียดหยามข้าเรื่อยไป” เขายิ้มแย้ม
“ข้าก็อยากเช่นกัน…” เหยียลี่ว์สวินหรูลูบใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา “ชาตินี้พี่ไม่เคยอ่อนโยนต่อเจ้า เจ้าโกรธพี่หรือไม่?”
เขาหันหน้าไปหาแสงอาทิตย์ แสงทองดุจกระบี่ทิ่มแทงนัยน์ตาสองข้าง กลายเป็นน้ำตาคลอเบ้า
ด้วยเพราะแสงอาทิตย์เจิดจ้าเหลือเกิน ไม่ใช่ด้วยเพราะความอ่อนแอในครู่หนึ่งนี้
“ความอ่อนโยนไม่อาจทำให้คนเรามีชีวิตต่อไปได้ คนผู้นั้นที่ข้าชอบ แท้จริงแล้วนางก็ไม่เคยมอบความอ่อนโยนให้ข้า ข้าคงไม่ชอบความอ่อนโยนมาตั้งแต่เกิด” เขาหัวเราะ พลันประคองเหยียลี่ว์สวินหรูขึ้นมา “ท่านพี่ อย่าเพิ่งสิ้นใจ พวกเรายังไม่ได้ทำเรื่องหนึ่ง”
“อืม?” ลมหายใจนางค่อยๆ แผ่วเบาแล้ว
“ยามนั้นหากไม่ใช่เพราะคนของนิกายสวรรค์จิ่วฉงรับเจ้าสามเป็นลูกศิษย์ ครอบครัวผู้นำตระกูลคงไม่กำเริบเสิบสานขนาดนั้น คงไม่กล้ากลั่นแกล้งท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราจนสิ้นชีพ คงไม่กล้าปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนี้ สืบสาวราวเรื่อง เหตุเกิดจากนิกายสวรรค์จิ่วฉง” เขากระซิบข้างหูนางว่า “ยามนี้ ผีดิบตนหนึ่งของนิกายสวรรค์จิ่วฉงมาแล้ว พวกเราจะฆ่ามัน”
นางพลันลืมตาขึ้น
…
[1] เน่ยตาน โอสถทิพย์ในร่างกายที่เกิดจากการฝึกฝนโดยใช้ร่างกายเป็นเตาหลอมและจิตใจเป็นวัตถุดิบ