เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 49-3 พบกัน
“ผู้ที่ผมสีดอกเลาเคราโง้ง สูงใหญ่น่าเกรงขามคือเหมิงเลี่ยหั่วประมุุขพรรคเลี่ยหั่ว ผู้ที่ติดตามข้างกายเขาคือคุณหนูหกของเขา เลื่องนามว่าคุณชายหกเพศหญิง เล่ากันว่าความสามารถเหนือกว่าเหล่าพี่น้องชายหญิง ได้รับความโปรดปรานจากประมุุขพรรคที่สุด เอ่ยกันว่าภายภาคหน้าจะส่งต่อพรรคเลี่ยหั่วให้ธิดาสูงศักดิ์ท่านนี้ นางเคยประกาศก้องว่าจะไม่ออกเรือน จะตบแต่งบุรุษเข้าเรือนเท่านั้น”
“นี่คือเจ้าสำนักหญิงแห่งสำนักหลัวซา เล่ากันว่าก็นามว่าหลัวซา นึกไม่ถึงว่าวันนี้นางจะมาด้วย นางเป็นผู้ดูแลหนึ่งในสามสำนัก ซ้ำยังเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของไต้เม่าเหนือแห่งนี้”
“หลายท่านนอกจากนี้พวกเราก็ไม่รู้จัก อาจเป็นผู้ที่มาจากไต้เม่าใต้กับบึงโคลนเฮยสุ่ย หลายคนอื่นคงเป็นหัวหน้ากลุ่มใหญ่กระมัง…งานเลี้ยงยิ่งใหญ่นัก…”
เด็กหญิงน้อยก็เปล่งเสียงอุทาน คล้ายพวกนางก็นึกไม่ถึงว่างานเลี้ยงในวันนี้จะยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ดูท่าทางพวกนางก็ไม่รู้ว่าวันนี้เชิญใครมา ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ รู้สึกว่าดูถูกกลุ่มอำนาจยุทธภพในไต้เม่าไม่ได้จริงๆ เด็กหญิงน้อยคู่นี้ที่เลี้ยงไว้ในภัตตาคารแห่งหนึ่งในนามกลุ่มเยี่ยนปังที่อยู่อันดับอ่อนแอที่สุด พวกนางคุ้นเคยกับเรื่องราวในยุทธภพและผู้อาวุโสในยุทธภพเหล่านี้อย่างยิ่ง เห็นได้ถึงอำนาจกับความสามารถของคนที่เหลือ
เพียงแต่ แขกที่ก่อให้เกิดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ขนาดนี้กลับยังไม่มา
เห็นได้ชัด เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างล่างพวกนั้นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เหล่าผู้ติดตามที่อยู่ทั่วถนนยิ่งมีสีหน้าดูไม่ได้
จัดงานยิ่งใหญ่เช่นนี้ เชิญแขกที่สะเทือนทั่วไต้เม่าผู้หนึ่งขนาดนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ควรตื่นตะลึงที่ได้รับความเมตตา รออยู่ปากประตูก่อนแล้วถึงถูกต้อง แขกท่านนี้กลับวางมาดใหญ่โตยิ่งนัก ให้เหล่าผู้อาวุโสมากมายเช่นนี้รอคอย!
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ แม้แต่จิ่งเหิงปัวที่อยู่บนหอยังรอจนรู้สึกแปลกใจ…นี่มันนานไปหน่อยแล้วมั้ง เหล่าผู้อาวุโสพวกนี้มีใครเคยรอแบบนี้ด้วย? ท่านนี้คงไม่ได้จงใจหรอกมั้ง? จงใจยั่วโทสะทุกกลุ่มอำนาจยุทธภพในไต้เม่าแห่งนี้? รนหาที่ตายหรืออย่างไร?
ในห้องรับรองห้องหนึ่งข้างล่างหอ เหล่าผู้อาวุโสที่ดื่มชารอคอยจนเต็มท้องเกิดโมโหจนเต็มอก คนส่วนใหญ่หิวแล้ว เริ่มเกิดโทสะเพราะความหิว สายตาของแต่ละคนเปล่งประกายโหดร้าย
“เหตุใดจนบัดนี้ยังไม่มา? ตกลงว่าส่งบัตรเชิญไปถึงแล้วหรือไม่!” ชายชราที่มีเสียงดั่งระฆังใหญ่ผู้หนึ่งตวาดถาม
“เรียนเจ้าสำนักสยง ส่งบัตรเชิญไปถึงแล้ว ส่งถึงประตูของอีกฝ่ายโดยตรง ทางนั้นก็เอ่ยว่าจะมาตรงเวลาแน่แท้” พลันมีคนตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“ตามความเห็นข้า ก็ไม่ควรใช้งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชิญเขา เขาคู่ควรหรือ? พวกเจ้าเอาแต่เอ่ยว่าคนผู้นี้หยั่งรากลึกลงในไต้เม่าที่ซับซ้อนเช่นนี้ของเรา ซ่องสุมสะสมกำลังเช่นนี้ ร้ายกาจประมาทไม่ได้ ต้องจัดงานให้ใหญ่โตเข้าไว้จะได้พิชิตเขาในครั้งเดียว ยามนี้ยังไม่ได้พิชิตผู้อื่น ตนเองกลับถูกผู้อื่นตบหน้าเสียก่อน เหอะๆ…” บุรุษผู้หนึ่งที่หน้าขาวไร้เครา เอวบางดั่งงูน้ำ หางตาปรากฏสีแดงเข้มผิดปกตินิดหน่อย หัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อน
“อาจด้วยเพราะงานใหญ่โตเกินไป คนผู้นี้ตกใจจนไม่กล้ามาแล้วก็ยังไม่รู้แน่ชัด” ชายวัยกลางคนหน้าตาชาญฉลาดผู้หนึ่งยิ้มแย้มเอ่ยวาจา หันหน้ามองชายหนุ่มข้างกายปราดหนึ่ง บุรุษนั้นกลับยิ้มแย้ม เพียงหันมองถนนไกลโพ้นนอกหน้าต่าง
“องครักษ์ใหญ่เอ่ยได้ดีมีเหตุผล” เจ้าสำนักหลัวซาพลันยิ้มแย้มเอ่ยว่า “หากคนผู้นี้ไม่กล้ามาแล้วจริงๆ พวกเรารวมกันพร้อมหน้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือว่าจะเชิญองครักษ์ใหญ่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้พวกข้าฟังหน่อยว่าติดต่อและเอาใจราชินีอย่างไร?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” องครักษ์ใหญ่หัวหน้าสิบสามองครักษ์ชะงักงัน
ข้างกายเขา บุรุษที่มองถนนนอกหน้าต่างตลอดเวลาพลันหันหน้ากลับมา
…
ค่ำคืนฝนตกคืนเดียวกัน ในตรอกที่เปลี่ยวร้างวังเวงสักแห่งในเมืองเหอซิ่ง เหยียลี่ว์ฉีเดินอยู่ใต้ร่มน้ำมันถง
เซียนอวี๋ชิ่งตามหลังเขาอยู่หนึ่งก้าว ถือร่มให้เขา ไม่กล้าเอ่ยวาจาแม้แต่น้อย
ท่านรีบมาเมืองเหอซิ่ง แน่นอนว่าไม่มีเรื่องอะไร เขาเตรียม “หนอนบ่อนไส้” นั้นไว้เอง พอได้ยินข่าวก็หนีไปแล้ว ท่านฉวยโอกาสจัดการธุระในกลุ่มที่เมืองเหอซิ่ง พรุ่งนี้เตรียมรีบไปซั่งหยวน
จัดการเรื่องราวได้ราบรื่นยิ่งนัก ท่านน่าจะอารมณ์ดีไม่หยอก แต่ยามนี้เขารู้สึกได้ว่าท่านมีเรื่องหนักใจ อึมครึมยิ่งกว่าท้องฟ้าคืนฝนต้นฤดูเหมันต์นี้
“เซียนอวี๋” เหยียลี่ว์ฉีพลันปริปาก
“ขอรับ”
“หอเงาของเราซ่องสุมสะสมกำลังที่ไต้เม่ามาห้าปี จนบัดนี้หากหวังยิ่งใหญ่เกรียงไกร คงหลบซ่อนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ยามนี้พวกสามสำนักสี่พรรค น่าจะรู้เรื่องการดำรงอยู่ของหอเงาแล้วกระมัง?”
“ข้าน้อยคิดว่า…รู้แล้ว”
“ในเมื่อเจอแล้วก็ไม่ต้องหลบซ่อน เจ้าคิดว่าหอเงากับข้า ควรปรากฏกายต่อหน้ากลุ่มอำนาจมากมายในไต้เม่าด้วยวิธีใด?”
เซียนอวี๋ชิ่งรู้สึกเพียงว่ามุมปากเจ็บแปลบ โค้งกายต่ำใต้ร่ม
“ทุกสิ่งแล้วแต่ประมุขตัดสินใจ”
“หรือว่าก็ไม่ต้องให้ข้าคิดหาวิธีออกโรง” เหยียลี่ว์ฉีกระซิบว่า “ประมุุขพรรคกับหัวหน้ากลุ่มเหล่านั้น พอรู้ว่าหอเงาดำรงอยู่ จะยังปล่อยไปได้อีกหรือ?”
เซียนอวี๋ชิ่งไม่กล้าเอ่ยวาจา เหงื่อบนแผ่นหลังซึมออกมาทีละชั้น โชคดีที่ฝนหนาวฤดูเหมันต์นี้โปรยปรายติดต่อกัน ทำให้เสื้อคลุมยาวเปียกชื้นก่อนแล้ว ฉะนั้นจึงมองไม่ออก
“เช่นว่า…” เสียงเหยียลี่ว์ฉียิ่งแผ่วเบา “สามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่ร่วมมือกัน จัดงานเลี้ยงใหญ่ครั้งหนึ่ง”
เซียนอวี๋ชิ่งสั่นสะท้าน กัดฟันเงยหน้าขึ้นมา ยามนี้เหยียลี่ว์ฉีกลับหันหน้าไป
เซียนอวี๋ชิ่งมองเงาด้านหลังของเจ้านายอย่างงงงัน เงาร่างของเขาถูกฝนปรอยๆ วาดเค้าโครงมัวสลัว เส้นผมถูกปกคลุมด้วยไอน้ำพร่างพราว
“งานเลี้ยงใหญ่ที่ไม่เป็นมิตรเอย…” เหยียลี่ว์ฉีจ้องทางเหนือ มุมปากค่อยๆ วาดรัศมีโค้งที่เจือด้วยการเยาะเย้ย
“ในเมื่อมีคนโง่เขลาสมัครใจพุ่งขึ้นมารับมีดแทนข้า แล้วเหตุใดข้าจะไม่ยินดีรับน้ำใจเล่า?”
…
ในหออวี้โหลวที่กวนจยาชวน หลัวซายังยิ้มเยาะจ้ององครักษ์ใหญ่ชวีเซ่าหง
นางได้ข่าวว่าราชินีลงเขาตั้งนานแล้ว ซ้ำยังสมคบกับสิบสามองครักษ์ด้วย ยามนี้คนในสำนักนางได้ให้ลูกสาวนายพรานเขาชีเฟิงช่วยไล่ตามราชินี ฉะนั้นนางจึงนึกถึงเรื่องที่ลูกน้องกลุ่มลับรายงานว่าหมู่นี้สิบสามองครักษ์ไปเมืองชีเฟิงบ่อยครั้ง สองเรื่องเปรียบเทียบกัน ย่อมรู้สึกว่าน่าสงสัย
องครักษ์ใหญ่กลับฟังแล้วสับสนงงงวย มององครักษ์รองเจี่ยนจือจั๋วที่อยู่ข้างกายอย่างงงงัน
องครักษ์ใหญ่ค่อนข้างว้าวุ่นใจ หมู่นี้ทุกอย่างไม่ราบรื่น ห้องลับใต้ดินเมืองชีเฟิงถูกทำลาย องครักษ์สิบสองพิการ สูญเสียข้อมูลสำคัญจำนวนมาก สัตว์ร้ายที่ย้ายมาเพาะเลี้ยงก็ทยอยตาย เกิดเรื่องวุ่นวายใจมากขนาดนั้น แต่ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามือสังหารคือผู้ใด แม้พรรคเลี่ยหั่วกับกลุ่มอวี้ไต้ทิ้งเบาะแสไว้ในที่เกิดเหตุ แต่เจ้ารองขวางทุกคนที่โมโหจะไปแก้แค้นไว้ เอ่ยว่าเรื่องนี้ยังมีเลศนัย ต้องปรึกษากันระยะยาว บัดนี้ได้ยินหลัวซาโพล่งถ้อยคำกำกวมขนาดนี้ออกมากะทันหัน พลันรู้สึกว่าแย่แล้ว…เล่นลูกไม้อะไรอีกแล้ว?
ความสนใจของเจี่ยนจือจั๋วกลับยังอยู่บนถนนข้างนอก หว่างคิ้วจริงจังเล็กน้อย
บางคนกระซิบอย่างว้าวุ่นใจว่า “เขามัวทำอะไรอยู่กันแน่!”
…
เขากำลังทำอะไร?
เขากำลังหวีผมประทินโฉม
บุรุษใช้คำนี้คล้ายผิดปกติเล็กน้อย ทว่าท่าทางหน้ากระจกของเขาในยามนี้ก็เยือกเย็นและทรงเสน่ห์
คันฉ่องทองเหลืองสว่างไสวยิ่งนัก สะท้อนรูปโฉมเลิศล้ำของคนในกระจก
ในกล่องน้อยใบหนึ่งข้างกระจกมีแผ่นแปะรูปร่างผิวหนังบางๆ หนึ่งชิ้น เขาปลดสาบเสื้อออก กระจกทองแดงสะท้อนเส้นสีแดงเข้มบนหน้าอกเขา นั่นคือแผลเป็นจากมีด
วันฝนตก บนกระจกไอน้ำมัวสลัว สะท้อนบาดแผลดั่งสีอิงฮวา โศกเศร้างดงาม
เขาใช้ผิวปลอมชิ้นนั้นติดลงบนแผลเป็น ปิดแผลไว้ ตั้งแต่พบว่านางมีนิสัยฉีกเสื้อมองหน้าอก เขาต้องติดก่อนไปข้างนอกทุกครั้ง
ข้างกระจกยังมีหน้ากากผิวมนุษย์บางๆ สองอัน อีกทั้งหน้ากากเงินที่ประณีตยิ่งนักหนึ่งอัน
เขาสวมหน้ากากหนึ่งชั้น ในกระจกทองแดงคือชายหนุ่มรูปงามอ่อนโยนผู้หนึ่ง ใบหน้าอมยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มเขินอายนิดหน่อย
คนเราใช้ใบหน้าเดียวชั่วชีวิต ทว่าในใจร้อยพันใบหน้า สำหรับเขา ใบหน้าทั้งร้อยพันเต็มไปด้วยนามของผู้เดียวเท่านั้น
หน้ากากอันนี้ยาวยิ่ง เชื่อมกับต้นคอกระทั่งถึงหน้าอก ฉะนั้นเขาถอดเสื้อ บรรจงลูบหน้ากากให้เรียบ
นี่คือหน้ากากที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ละเอียดสมจริงยิ่งนัก เผยให้เห็นสีหน้าต่างๆ บนใบหน้าได้ สำคัญยิ่งกว่านั้นคือรอยแกะของหน้ากากนี้อยู่ที่หน้าอก ฉะนั้นหากคิดแกะจากลำคอหรือหลังใบหูตามความเคยชินคงไม่อาจล่วงรู้ได้
ติดอันแรกเสร็จ แล้วค่อยหยิบหน้ากากอันต่อไปขึ้นมาสวม ยังคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ชายรูปงาม เขาคิดเสมอว่าหน้าตางดงามกำจัดความสงสัยที่มากยิ่งขึ้นของนางได้ อย่างไรเสีย ผู้ที่หน้าตาดีส่วนใหญ่ไม่ชอบสวมหน้ากาก
แน่นอนว่าหน้าตาดีเกินไปไม่ได้ด้วย อย่างน้อยก็เหนือกว่าเขาไม่ได้
ตรงตะเข็บของหน้ากากกับต้นคอแทบไร้ซึ่งร่องรอย เขากลับมองซ้ายมองขวา รู้สึกว่าผิวกายของตนขาวเกินไปหน่อย หยิบแป้งเล็กน้อย ค่อยๆ ลูบตรงตะเข็บให้เรียบ
หัวใจดวงเดียว ประทินโฉมร้อยพัน พลิกแพลงทุกสิ่ง เพียงเพื่อกระจกเงาของนางเท่านั้น
สุดท้าย หยิบหน้ากากเงินขึ้นมา
หน้ากากประณีตงดงามยิ่งนัก ทรวดทรงนุ่มนวล ประกายเงินนับว่าเจิดจ้า แต่ก็ไม่ยกตนข่มท่าน
เขารู้ว่าหน้าตาดั้งเดิมของตนเอง แม้งดงามแต่เย็นชา กังวลเสมอว่านุ่มนวลไม่พอ เค้าโครงเสียดสีความอ่อนแอของนาง
ฉะนั้นทำหน้ากากขึ้นมา ดูท่าทางใจดีอ่อนโยน
ทุกอย่างเรียบร้อยเสร็จสิ้น เขามองตนเอง รู้สึกว่าตรงขากรรไกรล่างคล้ายซูบผอมเกินไป เขาคิดอยู่ชั่วครู่ คิดหาวิธีใดที่จะปิดบังไม่ได้ แล้วก็พลันหัวเราะเล็กน้อย…ปิดบังอะไร? ผอมลงก็ยิ่งไม่คล้ายเขา ไม่ต้องเสียแรงปกปิดทีละชั้นแล้วด้วย
เขาลุกขึ้นยืน องครักษ์ส่งผ้าคลุมให้ องครักษ์ข้างกายเป็นพวกที่เลือกมาใหม่ เป็นองครักษ์ลับที่เริ่มฝึกฝนตั้งนานแล้ว ทว่าไม่เคยออกงานเลยสักครั้ง คนแปลกหน้าทั้งสิ้น
ยามที่เขาลุกขึ้น มองผ่านหน้าต่าง เห็นชายวัยกลางคนที่ใบหน้าซูบผอมผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน
“นี่คือผู้ดูแลรองเหลยเซิงอวี่” องครักษ์แนะนำให้เขารู้จัก “ผู้ดูแลใหญ่เซียนอวี๋ออกไปข้างนอก ผู้ดูแลรองเหลยจะคุ้มกันเชิญท่านไปร่วมงานเลี้ยง”
สายตาเขาเฉียดผ่านบนร่างคนผู้นั้น พยักหน้าเล็กน้อย “ดีมาก”
…
ในห้องรับรองหออวี้โหลวแทบทะเลาะกันแล้ว
การรอคอยทำให้ว้าวุ่นใจ หลัวซาจ้ององครักษ์ใหญ่เขม็ง เอ่ยวาจาอ้อมค้อมเป็นนัยให้เขาส่งราชินีออกมา องครักษ์ใหญ่ก็ยืนกรานไม่ยอมรับ สองฝั่งค่อยๆ ขยายเป็นขิงก็ราข่าก็แรง เกิดโทสะในใจ ต่างคิดว่ารอให้ท่านมู่นั้นมาถึงแล้ว จะต้องสั่งสอนเขาอย่างรุนแรงสักครั้ง
องครักษ์รองเจี่ยนจือจั๋วที่ไม่ได้เข้าร่วมการโต้เถียง มองถนนคล้ายคิดบางสิ่งตลอดเวลา พลันเอ่ยว่า “มาแล้ว!”
…“มาแล้ว!” เด็กหญิงน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายจิ่งเหิงปัวบนชั้นสามพลันส่งเสียง
จิ่งเหิงปัวมองลงไปไกลๆ ก็เห็นศีรษะมนุษย์บนถนนแยกกันดั่งน้ำไหล คนหนึ่งขบวนปรากฏตัวออกมา จำนวนคนเดินถนนนั้นไม่มาก เพียงแค่สามถึงห้าคน เดินทอดน่องอย่างไม่สะทกสะท้านบนถนนที่เบียดเสียดแน่นขนัด ข้างหน้าสุดมีชายรูปงามเข็นเก้าอี้เข็นหนึ่งตัว
นางชะงักงัน นึกไม่ถึงว่าคนที่ได้รับเชิญครั้งนี้เป็นคนพิการ?
หน้าประตูหออวี้โหลวกับร้านค้าสองฝั่งถนนจุดตะเกียงขนาดใหญ่ ส่องแสงเงาแดงแวววาวทั่วถนน สะท้อนบนเสื้อคลุมบางเบาสีฟ้าอ่อนของคนผู้นั้น เผยให้เห็นความอบอุ่นท่วมท้น มองจากทิศทางของจิ่งเหิงปัว เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด เห็นแค่ผมดำดั่งสายธารของเขา เก้าอี้เข็นสั่นสะเทือนเล็กน้อยบนเส้นทางพื้นศิลาเขียวครามขรุขระ แสงประกายเงินบางส่วนจึงระยิบระยับตรงปลายผมเขา แลไม่รู้ว่านี่คือแสงสะท้อนวันฝนตกหรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ส่วนเขามีท่าทางเฉื่อยเนือยเล็กน้อย นั่งเอียงค้ำพนักแขนเก้าอี้เข็น แขนเสื้อครึ่งหนึ่งห้อยลงมา เผยให้เห็นกระดูกข้อมือช่วงหนึ่ง เกลี้ยงเกลาปานหยก ประณีตปานรูปสลัก มองจากไกลๆ รูปร่างของข้อมือกับนิ้วมือคล้ายดอกไม้ขาวที่ผลิบานอย่างเงียบเชียบ
นางรู้สึกได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ยากจะอธิบาย
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่นางมาถึง ตอนนี้ถนนก็ฟื้นคืนความเงียบสงบ ถึงขนาดเงียบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ บนร่างชายคนนี้คล้ายมีบรรยากาศอัศจรรย์ ซึมซับความคิดกับลมหายใจของผู้อื่นไว้แน่นหนา
ชั่วขณะนี้ได้ยินเพียงเสียงกึกกักที่ล้อเก้าอี้เข็นย่ำผ่านพื้นศิลา
เหล่าผู้อาวุโสในห้องรับรองก็ตกตะลึงไม่น้อย บางคนถึงขนาดยกก้นโดยสำนึก คิดจะลุกขึ้นต้อนรับ ทว่าพลันหยุดนิ่งในสายตาแปลกใจของผู้อื่น แอบตกใจว่าเหตุใดตนเองพลันเสียกิริยาแล้ว
เจ้าสำนักหลัวซากลับถอนใจแผ่วเบา สายตาเปล่งประกายอัศจรรย์ “นึกไม่ถึงว่าท่านมู่ที่เล่าลือกันจะเป็นผู้มีสง่าราศีปานนี้!”
ทุกคนฟังความอาลัยในน้ำเสียงนาง ในใจแอบหัวเราะเยาะ…นิสัยเจ้าชู้ของเจ้าสำนักหญิงกำเริบอีกแล้ว
ผู้ที่อยู่ในยุทธภพมานานมีสายตาแหลมคม มองออกว่าแม้สวมหน้ากากนั่งเก้าอี้เข็น บุรุษผู้นี้ยังดูดีมีราศีทั่วร่าง ไม่ใช่คนทั่วไปแน่แท้
แม้แต่ธิดาสูงศักดิ์พรรคเลี่ยหั่วที่มีท่าทางหยิ่งผยองนั้นยังจ้องท่านมู่ด้วยความสนใจไม่เบาปราดหนึ่ง เพียงแต่ยามที่สายตานางทอดลงบนเก้าอี้เข็น พลันสะบัดหน้ากลับไปอย่างเย็นชา
ความสนใจของจิ่งเหิงปัวที่อยู่บนหอกลับทอดลงตรงทางเข้าตรอกไกลๆ ฝั่งหนึ่ง
ทางนั้นมีเกี้ยวน้อยหนึ่งคันเข้ามา ประณีตล้ำค่ายิ่งนัก ม่านกั้นสีแดงเข้มห้อยกระพรวนทองคำ มองเห็นโฉมสะคราญสวมอาภรณ์งดงามข้างในได้รำไร
เหล่าสตรีที่มาปรนนิบัติมาถึงแล้ว เวลานี้สตรีที่ยังชักช้ามาสาย น่าจะเป็นสักคนที่สำคัญที่สุดหรือนึกว่าตนเองสำคัญที่สุด
ถ้าให้ยอดหญิงงามคนนี้เข้ามา นางก็ความแตกแล้ว
จิ่งเหิงปัวโบกมืออยู่บนหอสูง
หินลอยได้ก้อนหนึ่งกระเด็นเข้าในเกี้ยว เฉียดหน้าผากสตรีที่ใกล้จะออกจากเกี้ยวนางนั้น สตรีนั้นร้องว้าย ตกใจล้มลงในเกี้ยว
นางหมดสติไปแล้ว คนแบกเกี้ยวได้แต่รีบแบกเกี้ยวกลับไปอีกครั้ง
ฉากหนึ่งนี้อยู่นอกเส้นทาง เกิดขึ้นข้างหลังทุกคน ซ้ำยังรวดเร็วยิ่งนัก ความสนใจของทุกคนบนถนนอยู่ที่ท่านมู่ผู้นั้น ไม่มีคนสังเกต
บนเก้าอี้เข็น ท่านมู่พลันหันข้างมองทางนั้นปราดหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองชั้นสามปราดหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวหดตัวกลับไปแล้ว
แก้ไขปัญหาความแตกที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว นางนั่งนิ่งท่ามกลางความมืดมิด นึกถึงท่านมู่ที่อยู่บนเก้าอี้เข็นคนนั้น ได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้เพิ่งได้เจอตัวจริง
ไม่รู้ทำไม ว้าวุ่นใจนิดหน่อย
ประตูพลันถูกเคาะ เจ้าของร้านเอ่ยอยู่นอกประตูว่า “เชิญแม่นางไปห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง พวกเราจะเลือกโฉมงามทำหน้าที่ยกอาหาร”
…