เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 56-1 นั่งเกี้ยวเจ้าสาวและเข้าห้องหอ
จากนั้นฝ่ามือเขาที่ว่างเปล่าก็เชิดขึ้นเล็กน้อย สะบั้นอากาศส่งพลังฝ่ามือปะทะขึ้นไป กระแสฝ่ามือร้อนผ่าว เห็นได้ชัดว่าเป็นปราณแท้ธาตุไฟหยางธรรมดา
น่ามู่เอ่อร์ที่ตามมาข้างหลังยิ้มเยาะตรงมุมปาก…กําลังภายในแห่งนิกายสวรรค์นับว่าหยินที่สุดในโลกหล้า ไม่ใช่สิ่งที่ปราณแท้ธาตุหยางธรรมดาเหล่านี้จะต่อต้านได้
แต่เขาไม่ได้เห็นว่ามือท่านมู่ที่คว้าหินไว้นั้นเชิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ เล็บบิ่นเล็กน้อย ประกายหิมะน้ำแข็งสายหนึ่งระคนหยดโลหิตกลมดิกหลายหยดพุ่งทะยานออกไป
ลูกศิษย์ในนามสามคนที่ร่วมกันบังคับกระบี่น้ำแข็งมุ่งสมาธิอยู่ที่กระแสฝ่ามือนั่นทั้งสิ้น ร้องลั่นอย่างพร้อมเพรียง แกว่งกระบี่ฟันลงมาอย่างแรง หวังสะบั้นกระแสฝ่ามือนี้ รวมทั้งท่านมู่ผู้นี้ให้แยกเป็นสองท่อน
กระบี่น้ำแข็งหนาวเหน็บใกล้ถึงบนศีรษะ
จิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างล่างได้ยินเสียงผิดปกติ จึงกล่าวด้วยเสียงที่ร้อนรนว่า “เป็นอย่างไรบ้างๆ…” ก่อนจะโบกมือออกแรงกลางอากาศ หวังสะบัดมือสังหารที่อยู่ข้างบนออกไป
พลันได้ยินเสียง เปรียะ! ดังขึ้น
เสียงนั้นเบานัก
กระบี่น้ำแข็งที่ยื่นออกไปอย่างต่อเนื่องพลันหยุดนิ่งเหนือศีรษะของท่านมู่
ลูกศิษย์สามคนนั้นชะงัก ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนหน้าสุดพลันอุทานออกมาว่า “กระบี่!”
สามคนหลุบสายตาลงต่ำก็เห็นกระบี่ยาวในมือคนหน้าสุดนั้นพลันเต็มไปด้วยลายน้ำแข็ง ลายน้ำแข็งเริ่มจากปลายกระบี่แล้วขยายออกไปปานสายฟ้า คล้ายมังกรน้ำแข็งเล็กกระจ้อยตัวหนึ่งว่ายไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เสียงดังเปรียะๆ แผ่วเบาไม่กี่ครั้งก็ถึงด้ามกระบี่ กระบี่ขาวโพลนไปทั้งเล่ม ราวกับหิมะน้ำแข็งตรงปลายกระบี่กำลังย้อนกลับมาทำร้ายตนอย่างรวดเร็ว
ผู้กุมกระบี่รู้สึกเพียงว่าในมือหนาวสะท้านถึงกระดูก เยือกเย็นกว่าไอหนาวที่ตนปล่อยออกมาได้ไม่รู้เท่าใด แช่แข็งจนเขาพลันเหน็บชาถึงโลหิต อยากสลัดกระบี่ทิ้ง กระบี่กลับดั่งติดอยู่บนมือแล้ว สะบัดทิ้งไม่ได้
น้ำค้างแข็งสายนั้นส่งเสียงเปรียะๆ ไม่กี่ครั้ง แช่แข็งจนด้ามกระบี่ร้าว ลุกลามขึ้นต่อไป เสียงดังเปรียะๆ เขาเห็นข้อมือของตนแข็งร่วงลงมาต่อหน้าต่อตา
แข็งร่วงลงมาแล้วยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เขาเห็นโลหิตจากบาดแผลของตนเยือกแข็งเป็นเกล็ดน้ำค้างแข็งสีโลหิตในชั่วพริบตาเช่นกัน เศษกระบี่ครึ่งหนึ่งแนบอยู่บนแขนของเขา เสียงดังเปรียะๆ ไม่กี่ครั้งก็เยือกแข็งออกมาเป็นรูปร่างตัวกระบี่
ตัวกระบี่นั้นพลันเยือกแข็งมาทางหน้าอกเขา!
ใช้วิธีของผู้อื่นปฏิบัติต่อตัวผู้อื่นเอง ฝีมือเลิศล้ำยิ่งกว่า!
เขาตกใจจนหวาดกลัวขวัญกระเจิง อยากถอยกลับถอยไม่ได้ อยากร้องกลับร้องไม่ออก เสียงฉึกดังขึ้นแผ่วเบา เศษกระบี่งอกปลายกระบี่น้ำแข็งโปร่งแสงท่อนหนึ่งออกมา ทะลุผ่านหน้าอกของเขา!
กระบี่น้ำแข็งที่ทะลุผ่านหน้าอกเขากลายเป็นกระบี่น้ำแข็งสีโลหิต พลังเยือกแข็งยังไม่จบสิ้น เสียงฉึกๆ ดังขึ้นแผ่วเบา ทะลุหน้าอกอีกสองคนข้างหลัง!
กระบี่เดียวทะลุผ่านถึงสามคน
เพียงชั่วเวลาฟ้าแลบ
ยามนี้กระแสฝ่ามือขวาของท่านมู่ก็มาถึงแล้ว ร้อนผ่าว เห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นกระแสฝ่ามือของปราณแท้แข็งแกร่ง
เสียงพลั่กดังขึ้น กระแสฝ่ามือกระแทกสามคนที่สิ้นใจแล้วให้ล้มลง กระบี่ยาวกับกระบี่น้ำแข็งแตกละเอียด น้ำแข็งสีโลหิตเหล่านั้นกลายเป็นไอในชั่วพริบตา
ท่ามกลางฝุ่นควันทั่วท้องฟ้า ท่านมู่เหวี่ยงจิ่งเหิงปัวขึ้นไป ส่วนตนเองก็กระโดดตามขึ้นมา “ไป!”
ฟิ้ว! พลังฝ่ามือสะบั้นอากาศพัดฝุ่นควันกระจายไป เงาร่างของน่ามู่เอ่อร์ปรากฏขึ้น พอเห็นว่าในร่องลึกไม่มีคนแล้ว สีหน้าก็พลันอึมครึม
เขาหันหลังพุ่งกลับไปข้างศพสามร่างนั้น บนใบหน้าสามคนยังมีสีหน้าหวาดหวั่นขวัญผวา ปากที่อ้ากว้างคล้ายอยากตะโกนความลับอะไรออกมา ทว่าไม่ทันอีกต่อไปแล้ว
น่ามู่เอ่อร์ร้อนใจ ซ้ำยังเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น เพียงนึกว่าสามคนสิ้นใจใต้พลังฝ่ามือแข็งแกร่งนั่น พลิกศพเรื่อยเปื่อยสักหน่อย ก็ไม่ได้เห็นรอยแผลบนหน้าอก
กระบี่น้ำแข็งบางเกินไป ละลายในชั่วพริบตา แม้แต่โลหิตก็ไม่ได้ไหลออกมามากเท่าใด
น่ามู่เอ่อร์เพียงนึกว่าสามคนนี้สิ้นใจด้วยพลังฝ่ามือสะบั้นอากาศแข็งแกร่งนั่น ในใจเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
แต่ก่อนอยู่บนภูเขา ฟังเหล่าผู้ดูแลอาวุโสในสำนักเอ่ยถึงต้าฮวง น้ำเสียงเช่นนั้น ยุทธจักรแห่งต้าฮวงเป็นมดปลวกทั้งนั้น นิกายสวรรค์ส่งลูกศิษย์ผู้ใดสักคนออกไปยังพอจะสยบทั้งยุทธภพได้
ฉะนั้นลูกศิษย์นิกายสวรรค์รับคำสั่งลงเขา ส่วนใหญ่พกความมั่นใจเต็มเปี่ยม เหยียดหยามสรรพชีวิต นิกายสวรรค์เป็นสำนักนอกแดนมนุษย์ ปุถุชนคนธรรมดาเหล่านั้นไม่มีค่าให้มอง
ทว่าหลายเรื่องในปีนี้ทำให้ทุกคนแปลกใจ ทำให้ทุกคนคิดว่าความรู้สึกต่อตนเองของนิกายสวรรค์เกิดความผิดพลาดใช่หรือไม่
ครั้งแรกเป็นเหยียลี่ว์ถานบาดเจ็บโดยไม่รู้สาเหตุ กระทบต่อการทดลองของผู้อาวุโสหอยา ต่อมาเป็นการหายตัวไปอย่างอัปมงคลของลูกศิษย์ในนามและผู้ติดตาม ปรากฏเหตุการณ์ลูกศิษย์ที่ลงเขาหายตัวไปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นิกายสวรรค์ จากนั้นเป็นตนเอง ลูกศิษย์นอกสำนักที่ส่งออกมาเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี นับว่าเป็นการให้ความสำคัญที่หาได้ยากของนิกายสวรรค์ ไม่นึกว่าล้อมโจมตีคนเจ็บผู้หนึ่งและคนป่วยผู้หนึ่งจะสูญเสียคนมากขนาดนี้ ซ้ำยังแตะต้องผู้อื่นไม่ได้แม้แต่ขนสักเส้น
ต้าฮวงแห่งนี้เปลี่ยนไปแล้วหรือ?
น่ามู่เอ่อร์ค่อยๆ ลุกขึ้นมา ยกเท้าเตะศพสหายทั้งสามเข้าไปในร่องลึกด้วย
เศษสวะไม่คู่ควรจะได้รับการฝังศพให้ดี
เศษสวะตายไปเท่าใดก็ไม่เป็นไร ทว่าจะต้องสำเร็จภารกิจ มิฉะนั้นตัวเขาเองก็เป็นเพียงดินโคลนถมร่องลึก
เสียงของเขาเ**้ยมโหดในความมืดยามราตรี
“ไล่ตามต่อไป!”
…
ความมืดยามราตรีทะมึนทึบ เนินเขาเงียบสงบยิ่งนัก ได้ยินเพียงเสียงดังแกรกๆ ที่เลือนรางบางครั้งบางคราว
หลังจากรอให้คนไปแล้ว จิ่งเหิงปัวกับท่านมู่ก็ปีนออกมาจากในร่องลึก
เมื่อครู่พวกเขาแสร้งเคลื่อนไหว จากนั้นก็พลิกตัวลงมาในร่องลึก ยังไม่ได้ออกไปด้วยซ้ำ
คนเหล่านี้เห็นสหายสิ้นชีพ จิตใจสับสนวุ่นวาย จะตามหาต่อไปโดยสำนึก คงไม่นึกว่าพวกเขายังอยู่ในร่องลึกใต้ฝ่าเท้า
เอ่ยถึงฝีมือและความสามารถของชาวนิกายสวรรค์จิ่วฉง แท้จริงแล้วไม่นับว่าด้อยเลย แต่ปัญหาคือพวกเขาด้อยประสบการณ์ยุทธภพเกินไป เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างที่หลอกมือเก่าไม่ได้ หลอกพวกเขาได้เพียงพอเหลือล้น
ที่ไม่ออกไปยังมีอีกสาเหตุ นั่นก็คือร่างกายของจิ่งเหิงปัวย่ำแย่ยิ่งขึ้น นางไม่มีเรี่ยวแรงอะไรไปหายตัวแล้ว ฟันบนล่างของนางกำลังกระทบกันอย่างแผ่วเบาเพราะความหนาวที่ควบคุมไม่ได้
นางเหลียวมองรอบด้าน ภูเขาไม่ใหญ่ ที่ใต้เชิงเขามีหมู่บ้านเล็กๆ เห็นแสงไฟเล็กๆ น้อยๆ ได้รำไร ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดในชนบทยังมีคนจุดไฟในเวลานี้
เห็นเงาขาวที่ค้นหาทุกแห่งในป่าเขา รวดเร็วยิ่งนัก เห็นแวบแรกก็ทำให้คนนึกว่าเป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อนหลอกหลอน
นางมองท่านมู่ สีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยดี เซื่องซึมกว่าก่อนหน้านี้หน่อยๆ นางเดาว่าอาจเป็นเพราะการลงมือเมื่อครู่ แม้ว่านางจะไม่ได้เห็นเขาลงมือ แต่การฆ่าสามคนในพริบตาเดียว วิธีการแบบนี้ก็น่าจะสะเทือนกําลังภายใน
ว่ากันตามตรงตอนนี้สถานการณ์ไม่ดีนัก นางสูญเสียความสามารถชั่วคราว ท่านมู่เดินไม่ได้ ภูเขาเล็กและเตี้ย ที่ซึ่งซ่อนตัวได้มีน้อยมาก ออกจากภูเขาก็คือทุ่งกว้างโล่งกว่าเดิม
จะทำอย่างไรดี?
“ทางนั้นมีถ้ำ” นางกล่าว ก่อนไอโขลกออกมาสองเสียง “พวกเราไปซ่อนตัวที่นั่น”
ถ้ำนั้นเล็กมากและไม่มีอะไรบังไว้ ดูท่าไม่ใช่ที่ซึ่งเหมาะกับการซ่อนตัวอะไรเลย แต่เขาเอ่ยออกมาว่า “ได้”
นางหลบสายตาของเขา อยากจะแบกเขาขึ้นหลัง แต่เขากลับกดมือของนางไว้ พานางทะยานขึ้นฟ้า
ฝ่ามือแตะเบาๆ บนต้นไม้ตลอดทาง ท่าร่างเหาะเหินของเขาเบาดั่งไร้น้ำหนัก มองไม่รู้เลยว่าพิการ
จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอ่านนิยายกำลังภายในเล่มหนึ่ง พระเอกคนหนึ่งในนั้นก็เป็นคนพิการแต่เก่งกาจวิชาตัวเบา ใช้มือเที่ยวท่องโลกหล้าแทนขา
จินตนาการทุกอย่างย่อมมีความจริงมาพิสูจน์เสมอ
เขาพานางไปข้างถ้ำ ถ้ำนั้นไม่ใหญ่ เป็นถ้ำที่ทอดยาวไปข้างล่าง ข้างล่างมืดสนิท เห็นแล้วดูน่ากลัวนัก ทว่าไม่ไกลจากทางเข้าผนังถ้ำมีหัวโค้ง คนหนึ่งคนซ่อนตัวได้พอดี
ตำแหน่งนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก คนที่อยู่นอกถ้ำจุดคบไฟจะมองไม่เห็น เดินเข้ามาก็ไม่แน่ว่าจะมองเห็น จะถูกถ้ำข้างล่างดึงดูดความสนใจไปก่อนอื่น
เสียดายว่าซ่อนได้แค่คนเดียว
นางกอดอกแน่น หยุดยั้งอาการสั่นเทาสักพัก ร้องบอกเขาอย่างตื่นตกใจขึ้นมาว่า “ดูสิ! ตรงนั้นมีทางออก!”
เขาค้ำผนังถ้ำไว้ ชะโงกหน้าไปมอง
นางผลักเขาลงไปกะทันหัน
เขาไม่ทันได้เตรียมตัว ลื่นลงไปตามผนังถ้ำที่เปียกลื่น ล้มอยู่ข้างในนั้น
เขาคล้ายยังอยากลุกขึ้น แต่จิ่งเหิงปัวชักมีดออกมาฟัน
“ขาเป๋! พิการ! ภาระ!” นางฟันไปด้วยร้องด่าไปด้วย “เจ้าจะเป็นภาระข้าไปอีกนานเท่าไร? พี่ยังป่วยอยู่นะ! หากพี่คนเดียวก็คงหนีไปได้ตั้งนานแล้ว! ยังต้องแบกเศษสวะเช่นเจ้าอีก!”
“เจ้า…” เสียงวาจาของเขาถูกเสียงฟันมีดที่บ้าคลั่งของนางขัดจังหวะขึ้น เขาได้แต่ไถลไปข้างหลัง พื้นที่ในถ้ำคับแคบ มีดของนางก็กวัดแกว่งออกไปไม่ได้ แต่ละครั้งฟันบนผนังถ้ำ แม้ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรแต่ก็ฟันได้อย่างโหดเ**้ยม ใบหญ้าปลิวว่อน ท่าทางมุทะลุดุดันที่ไม่ฟันเจ้าให้ตายไม่ยอมเลิกรา
เขาจ้องมองนางเขม็ง ในถ้ำมืดมิดต่างฝ่ายต่างเห็นแววตาของอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจน นางฟันได้โหดเ**้ยมขนาดนั้น แต่เขากลับพลันยื่นมือมาจูงนาง มีดของนางแทบฟันโดนข้อมือเขา นางได้แต่รีบลื่นโซเซเสียเอง มีดกระแทกบนผนังถ้ำดังเคร้ง นางตกใจจนเหงื่อเย็นซึมทั่วตัว ในใจร้องว่าคนนี้เหมือนจะอ่อนโยน แต่นิสัยดื้อรั้นเหลือเกิน ได้แต่แสร้งใจดำใช้เท้าถีบเข่าเขา ร้องด่าว่า “อย่ามาแตะข้า! ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้ามอมเหล้าข้า มีเจตนาอะไรแอบแฝง! หากเจ้าก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก!”
เขาถูกถีบจนล้มลงไปข้างหลัง กระแทกข้างในสุดของถ้ำ เขาออกมาไม่ได้ชั่วขณะ มีดของนางก็ฟันไม่ถึงเช่นกัน
คราวนี้นางถึงโซซัดโซเซกวัดแกว่งคมมีด ฟันลงไปบนผนังหินตรงหน้าเขา
“ช่วยเจ้าจนถึงยามนี้ ข้าก็มีน้ำใจมากพอแล้ว! จากนี้ต่างคนต่างไป อย่ามาเป็นภาระข้าอีก! ลาก่อน! ไอ้ขาเป๋กินเนื้อคน!” นางสอดมีดไว้ในเสื้อ ก่อนที่จะหันหลังจากไป “แน่จริงเจ้าปีนตามมาสิ!”
ข้างหลังไม่มีการเคลื่อนไหว นางกัดฟันเดินไปข้างหน้า เดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว สุดท้ายแล้วก็อดที่จะเหลียวหลังไม่ได้
เขานั่งพิงผนังถ้ำ นิ้วจิกผนังหินที่เย็นยะเยือก ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงนัยน์ตาของเขาสว่างไสว ลึกซึ้งและเจิดจ้า คล้ายดวงดาวที่กึ่งหลบซ่อนในเมฆหมอกสุดขอบฟ้า
ในแววตานั้นแฝงไว้ด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่เอ่ยได้ยาก อธิบายไม่ได้
ขณะนั้นสายตาประสานกัน สองคนต่างคล้ายสั่นสะท้าน เขายืดตัวขึ้น แต่นางหันหน้าทันที เดินออกไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
พอออกจากถ้ำนางก็โซเซ รีบค้ำกำแพงภูเขาไว้ กลัวว่าจะล้มลงไปตอนนี้ ทุกสิ่งที่ทำมาก็สูญเปล่าแล้ว
ข้างหลังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เขาไม่ได้ไล่ตามออกมา ในใจของนางเจ็บปวดรวดร้าวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกเช่นไร
ทั้งผลัก ทั้งด่า ทั้งฟันรอบหนึ่งเมื่อครู่นั้น ก็ทำให้เจ็บปวดมากเลยสินะ?
หึๆ ทำให้เจ็บปวดก็ถูกแล้ว
ก็ไม่ขอให้ปิดบังเขาได้ ก็แค่ขอให้เขาเจ็บใจสักครู่ ขอแค่ครู่หนึ่งนั้นเขาเจ็บใจ ไม่ตามออกมาทันที นางก็เดินออกไปได้
ภาระ…
นางฝืนหัวเราะในใจ…อีกเดี๋ยวนางก็จะกลายเป็นภาระแล้ว…