เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 56-3 นั่งเกี้ยวเจ้าสาวและเข้าห้องหอ
“พวกเจ้าคิดผิดแล้ว” เสียงหนึ่งกระซิบขึ้นว่า “เขาไม่ตาย ซ้ำยังอยู่ดีมีสุข”
ทุกคนตกใจหันกลับมามองน่ามู่เอ่อร์ที่ส่งเสียง
ท่ามกลางความเงียบสนิท น่ามู่เอ่อร์เอ่ยด้วยเสียงเบา เจือด้วยความอิจฉาและเกลียดชัง “เขาลงเขาไปแล้ว”
ทุกคนเผยสีหน้าเหลือเชื่อขึ้นอีกครั้ง บางคนจะซักถามโดยสำนึก แต่ฟังน้ำเสียงกับเห็นท่าทางของน่ามู่เอ่อร์ รู้สึกได้ว่านี่ต้องเป็นข้อห้ามใหญ่หลวงที่เอ่ยถึงไม่ได้ของนิกายสวรรค์ อย่าว่าแต่ถาม ไม่ควรฟังด้วยซ้ำ
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ท่ามกลางความรู้สึกสงสัยแรงกล้า ภาพลักษณ์นิกายสวรรค์ในใจที่เดิมทีแข็งแรงไม่มีวันแตกสลาย สูงส่งเหนือผู้อื่นล่วงเกินไม่ได้ ถล่มลงมาฝั่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบ
ผู้ใดกัน?
ผู้ใดที่ท้าทายทั้งนิกายสวรรค์ ทิ้งความทรงจำกับความอับอายที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ไว้ให้สำนัก ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของกาลเวลา แตะต้องไม่ได้เลยแม้แต่น้อย?
ผู้ใดที่ท้าทายเช่นนี้แล้วยังรอดชีวิต ส่วนนิกายสวรรค์คล้ายทำอะไรคนผู้นี้ไม่ได้?
ความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสำนักยิ่งใหญ่เหล่านี้ บางที มีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องถึงรู้เรื่อง
“ข้ามักรู้สึกว่า…” น่ามู่เอ่อร์มองหมู่บ้านเล็กๆ ใต้แสงจันทร์มืดสลัวอยู่ไกลๆ สายตาฉายแววกระวนกระวาย “เรื่องนี้ยังไม่จบ ต้องมีสักวัน…”
ทุกคนหนาวสั่นทั้งร่าง ไม่กล้าขานรับ
“เรื่องนี้คิดเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยถึง” น่ามู่เอ่อร์เอ่ยอย่างหมดความสนใจ “ทางนี้เคยดูแล้ว ไปหาอีกฝั่ง ภูเขาทางนั้นยังมีหมู่บ้านเล็กๆ อีกแห่ง”
“ขอรับ”
…
ขบวนแห่รับเจ้าสาวเป่าปี่ตีฆ้องเข้าหมู่บ้านเล็กๆ จากนั้น เจ้าสาวถูกส่งออกมา
ด้วยเพราะกลัวว่าเจ้าสาววิ่งหนี แม่นางที่เป็นอาสะใภ้ลากเจ้าสาวขึ้นจากบนเตียง คลุมผ้าคลุมหน้า ยัดเข้าไปในเกี้ยวอย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่มีแม้แต่การแกล้งเจ้าบ่าวและพิธีกั้นประตูตามประเพณีท้องถิ่น
เจ้าสาวก้มหน้าลงอย่างปวกเปียก ให้ผู้อื่นลากเข้าลากออก กระทั่งเข้าสู่ในเกี้ยวแล้วยังไม่ได้แค่นสักเสียง
ขบวนแห่รับเจ้าสาวแห่ผ่านปากทางภูเขาแห่งหนึ่ง สองหมู่บ้านก็ใกล้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ถูกสันเขาแห่งหนึ่งกั้นไว้ ผ่านปากทางภูเขานี้แล้ว ก็จะเห็นต้นไทรย้อยใบทู่เก่าแก่ของหมู่บ้านเจ้าบ่าวได้
สายลมปากทางภูเขาหนาวสะท้าน พัดก้อนกรวดระหว่างทางขึ้นมา คล้ายเสียงฟิ้วดังขึ้นรำไร มีอะไรสักอย่างพัดอยู่ในสายลม พุ่งมาทางเจ้าบ่าว กระแทกบนท้องน้อยเขาดังเพียะ
การเคลื่อนไหวเหล่านี้ซ่อนอยู่ในเสียงแตรสั่วน่าที่ไม่ไพเราะ
เจ้าบ่าวบนหลังม้าพลันร้องโอ๊ย เอ่ยว่า “ข้าจะไปฉี่!”
“ใกล้ถึงแล้ว ทนหน่อย…” ท่านอาที่อยู่ข้างม้าเจ้าบ่าวปลอบเขา
“ข้าจะไปฉี่!”
ทุกคนจนปัญญา นึกถึงยามที่ไปรับเจ้าสาว หากเจ้าบ่าวตะโกนลั่นว่าจะไปฉี่ เกรงว่าจะยิ่งลำบากใจ จึงได้แต่ประคองเขาลงมา ชี้ที่ลับตาข้างป่าไม้ให้เขาเห็น ให้เขาไปจัดการตนเอง
เจ้าบ่าวต้าฟู่เดินโซเซเข้าไปในป่าไม้ เพิ่งจะถอดเข็มขัดออก ก็พลันเห็นคนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามา
ต้าฟู่หยุดมือ เบิกตาออกกว้าง เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่รู้สึกว่าตนเองพลันเห็นเซียนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นเหยียบย่ำแสงจันทร์มืดครึ้ม หน้ากากเงินบนใบหน้าก็เปล่งประกายสุกสกาวดั่งพระจันทร์ นัยน์ตาดำขลับคล้ายห้วงลึกชั่วนิรันดร์ เพียงปราดเดียวก็ชักนำผู้คนเข้าไป
เขาเชิดนิ้วขึ้น แตะเพียงครั้ง
ต้าฟู่รู้สึกเพียงว่าวิงเวียนศีรษะ ท้องฟ้าพลันล้มลงมา
ก่อนจะหมดสติ เขาได้ยินเสียงรำไรเพียงประโยคเดียว
“ข้าเข้าห้องหอแทนเจ้า”
…
เหล่าญาติพี่น้องที่รออยู่ข้างนอกให้เจ้าบ่าวไปปลดทุกข์กลับมา พลันได้ยินเจ้าบ่าวที่อยู่ในป่าตะโกนลั่นด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ผีหลอก!”
ทุกคนตกใจรีบพุ่งเข้าไป ก็เห็นเจ้าบ่าวหลบอยู่หลังต้นไม้ มองความมืดมิดที่อยู่ไกลออกไปอย่างหวาดกลัว ทั่วร่างสั่นสะท้าน
ทุกคนถอนหายใจเฮือก ในใจคิดว่าเจ้าเด็กโง่ต้าฟู่อาการกำเริบอีกแล้ว
ทุกคนไปจูงเขา ต้าฟู่ใช้สองมือปิดหน้า เป็นตายไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา เอาแต่เอ่ยว่าผีหลอกๆ จะกลับบ้านๆ ไม่ยอมเดินไปข้างหน้าสักก้าว ทุกคนลากเขา เขากลับเกิดเรี่ยวแรงมหาศาล ไม่มีคนลากไปได้
ทุกคนจนปัญญา สุดท้ายจึงตกลงกันว่าให้ลูกพี่ลูกน้องชายในขบวนต้าฟู่ไปรับเจ้าสาวแทนเขา ส่วนต้าฟู่ให้อีกสองคนส่งกลับไป
ไม่ว่าอย่างไรทางนั้นรู้เรื่องต้าฟู่อยู่แก่ใจ อธิบายสักหน่อยก็คงรับได้
ขอเพียงสินสอดมากพอ เจ้าสาวย่อมต้องออกเรือน
ต้าฟู่เมื่อได้ยินว่ากลับบ้านได้ก็วิ่งไปอย่างรวดเร็วโดยพลัน กระทั่งสองคนที่คุ้มกันยังไล่ตามไม่ทัน ต้าฟู่รีบวิ่งกลับหมู่บ้าน เหล่าญาติพี่น้องที่รออยู่ที่บ้านยังเห็นเงาร่างของเขาไม่ชัด เขาละทิ้งทุกสิ่งวิ่งเข้าห้องหอแล้ว ปิดประตูดังพลั่ก
พ่อของต้าฟู่เป็นช่างไม้ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในละแวกนี้ ฉะนั้นในบ้านจึงนับว่ามีฐานะ ขณะนี้อารมณ์ดีมีความสุข ก็ไม่ได้ด่าทอลูกชาย หัวเราะลั่นฮ่าๆๆ เอ่ยว่า “เด็กคนนี้ รีบเข้าห้องหอเสียจริง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าไปกวนเขาเลย รอให้เจ้าสาวเข้าบ้าน ก็เชิญหูจื่อกราบไหว้ฟ้าดินแทนเขาเถิด”
ทุกคนหัวเราะแล้วขานรับ ไม่ว่าอย่างไรผู้ใดก็เข้าใจว่าลูกชายปัญญาอ่อน กราบไหว้ฟ้าดินหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงนอนกับสตรีมีลูกชายได้ก็พอแล้ว
เกี้ยวเจ้าสาวโซซัดโซเซ จิ่งเหิงปัวงีบหลับในเกี้ยวนั้น
เมื่อเข้าสู่หมู่บ้าน เสียงประทัดที่ดังขึ้นก็ทำให้นางตกใจตื่นจากฝัน นางลืมตาขึ้นทันที ปฏิกิริยาแรกคือ บ้าเอ๊ย เข้าหมู่บ้านแล้ว!
นางแง้มม่านรถออก เห็นตรงหน้าเป็นลานน้อยแห่งหนึ่ง ห้องกระเบื้องสามหลัง ดีกว่ากระท่อมบ้านเอ้อร์ยาเมื่อครู่มากนัก ดูท่าบ้านเจ้าบ่าวนับว่าฐานะค่อนข้างดีในหมู่บ้าน
นางแง้มม่านรถ เห็นเด็กหนุ่มกำยำล่ำสันคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมคนอื่น จิ่งเหิงปัวแปลกใจเล็กน้อย นางรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ท่าทางไม่เลว หน้าตาซื่อๆ เรียบร้อย เหมาะกับสาวน้อยนั้นมาก ทำไมสาวน้อยนั้นยอมตายหนีไปไม่ยอมแต่งงานล่ะ?
อีกทั้งยังน่าแปลกอยู่บ้าง ทุกคนต่างชื่นมื่นสุขสันต์ มีแค่เจ้าบ่าวคนนี้คนเดียวที่สีหน้าบนใบหน้าประหลาดมาก ไม่พอใจหลายส่วน โกรธแค้นหลายส่วน ขณะเดียวกันคล้ายยังซ่อนความหวังหลายส่วน…นี่มันหมายความว่าอะไร?
ม่านรถเลิกออก เท้าใหญ่คู่หนึ่งก็เตะเข้ามา ไม่นึกว่ารองเท้าจะเป็นรองเท้าฟาง…หูจื่อรีบมาแทนเจ้าบ่าว ไม่ได้เปลี่ยนรองเท้า
เท้าใหญ่เปื้อนโคลนเหม็นจนจิ่งเหิงปัวผงะ ยกมือเขี่ยออกไปอย่างแผ่วเบา
ตอนนี้นางไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ลงมือย่อมยอดเยี่ยมล้ำเลิศ เด็กหนุ่มที่เตะม่านรถคนนั้นถูกเขี่ยจนเรือนร่างเอนเอียง ก่อนล้มลงกับพื้น เขาไม่รอให้คนประคอง ม้วนตัวลุกขึ้นมา จ้องม่านรถ เอ่ยด้วยเสียงเจ็บปวดว่า “เจ้า…”
เสียงของเขาถูกเสียงประทัดระลอกหนึ่งกลบไป บางคนเข้ามาลากเขาออกไป ซ้ำยังประคองจิ่งเหิงปัวออกจากเกี้ยว ยิ้มแย้มบอกนางว่า “เจ้าสาวยกเท้าสูง วันหน้าเจริญรุ่งเรือง!”
ข้างหน้ามีคลื่นความร้อน จิ่งเหิงปัวอ้าปากหาวอย่างปวกเปียก รู้สึกว่าอบอุ่นมาก เข้าใกล้แหล่งความร้อนนั้นโดยสำนึก นั่งยองๆ ผิงไฟ
…
เสียงโห่ร้องเงียบกริบ เสียงประทัดพลันฟังแล้วประหลาด ทุกคนเบิกตากว้าง มองเจ้าสาวที่ไม่ข้ามกระถางไฟหน้าประตู กลับนั่งยองผิงไฟแทน
จิ่งเหิงปัวผิงไฟ ในใจคิดอย่างพอใจว่าพิธีแต่งงานที่ต้าฮวงนี้ใส่ใจจริงๆ รู้ว่ารับตัวเจ้าสาวก่อนฟ้าสางในฤดูหนาวต้องหนาวมาก ตั้งใจเตรียมกระถางไฟใบหนึ่งไว้ให้ผิงไฟ เข้ากับความต้องการจริงๆ เลย
เฮ้อ เงียบจัง ง่วงจัง ความเหนื่อยล้าที่ต้านทานไม่ได้ นางก็อยากนอนอีกแล้ว
ทุกคนปากอ้าตาค้างมองเจ้าสาวที่ผิงไฟอยู่ดีๆ เรือนร่างก็เริ่มโน้มไปข้างหน้า ศีรษะเริ่มห้อยลงไป…
“แย่แล้ว เจ้าสาวจะกระโดดกระถางไฟฆ่าตัวตาย!” บางคนพลันตะโกนออกมาดังลั่น
เสียงนี้ทำให้ทุกคนได้สติขึ้น ทุกคนรีบกระโดดเข้าไป บ้างก็เตะกระถางไฟ บ้างก็ประคองเจ้าสาว คนเตะกระถางไฟกลัวว่าไกลไม่พอ ใช้เท้าเตะกระถางไฟไปกลางฝูงชน ทุกคนฮือฮากระเจิดกระเจิงอีกครั้ง
ทุกคนรีบดับไฟไปพลาง ซ้ำยังดีใจไปพลาง…โชคดีที่เจ้าสาวลงมือฆ่าตัวตายช้า!
ครานี้ก็ไม่กล้าจัดพิธีใดๆ อีกแล้ว ทุกคนรีบรวบตัวจิ่งเหิงปัวข้ามธรณีประตูโดยเท้าไม่แตะพื้น พ่อแม่สองฝ่ายรีบนั่งข้างบนให้เรียบร้อย ผู้ทำพิธีรีบเตรียมตะโกนกราบไหว้ฟ้าดิน
เด็กหนุ่มที่นามว่าหูจื่อผู้นั้นถูกลากออกมาอีกครั้ง ยังคงยืนข้างจิ่งเหิงปัวด้วยสีหน้าประหลาด
จิ่งเหิงปัวหน้ามืดตาลายครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจรู้ว่านี่คือกำลังกราบไหว้ฟ้าดิน นางอย่างไรก็ได้กับเรื่องนี้ เข้าใจด้วยว่าจะต้องแสดงละครต่อไป ข้างบนมีเสียงลมแว่วไปแว่วมา คนกลุ่มนั้นยังค้นหาบริเวณนี้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องเคยค้นในหมู่บ้านเล็กๆ ทั้งสองแห่งนี้แล้ว ฉะนั้นอยู่ที่นี่ก็ปลอดภัยชั่วขณะ
นางหัวเราะเบาๆ…กราบไหว้ฟ้าดินเหรอ? ไม่นึกว่าจะได้กราบไหว้ฟ้าดินกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่นี่ ต้าฮวงแห่งนี้ น่าจะนับว่านางเคยแต่งงานแล้วสินะ?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ในใจของนางก็รู้สึกสบายใจอยู่บ้าง…หึ ต่อไปหากพวกเจ้ามาก่อกวนอีกครั้ง พี่ก็จะแปะใบเหลือง…นางนี้แซ่หูจื่อ! หญิงมีสามีแล้ว อย่ามารบกวน!
ให้พวกเจ้าเหล่าคุณชายขุนพลน้อย เรียกนายท่านหูจื่อว่าพี่ใหญ่เถอะวะฮ่าๆ ฮ่าๆ
“คำนับฟ้าดิน…” ผู้ทำพิธีร้องตะโกน
นางเตรียมคำนับลงไป มองผ่านช่องว่างผ้าคลุมหน้า เห็นเด็กหนุ่มข้างกายก็งอเข่า…
งอเข่า…งอครั้งเดียวถึงพื้น
พลั่ก! หูจื่อคุกเข่าลงไป ยังคงหันหน้าคุกเข่าไปทางห้องหอ เข่ากระแทกพื้นอิฐเขียว เสียงดังกังวานปานนั้น
ทั้งห้องโถงเงียบกริบอีกครั้ง แม้แต่จิ่งเหิงปัวยังตกใจ
บอกว่าโค้งตัวหน่อยก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ถึงกับต้องคุกเข่าลงไปเลย?
รู้สึกถึงบรรยากาศรอบด้านนิดหน่อย เหมือนว่าทุกคนก็ตกใจมาก หรือว่าเจ้าบ่าวคนนี้ไม่รู้ขั้นตอนพิธีแต่งงานด้วยซ้ำ?
อ้อ ดูท่าทางเรียบร้อย ที่แท้เป็นคนปัญญาอ่อน
“ผู้ใดกัน!” ครานี้หูจื่อที่คุกเข่าอยู่ไม่ได้ลุกขึ้นโดยพลัน ตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม “ผู้ใดชนเข่าข้า?”
จิ่งเหิงปัว “…”
แขกทั้งหมด “…”
เข่าของหูจื่อคล้ายบาดเจ็บไม่น้อย ดิ้นรนหลายครั้งกว่าจะลุกขึ้นมาได้ แต่ยืนตรงไม่ได้ไปชั่วขณะ เห็นได้ว่าการกราบไหว้ฟ้าดินครานี้ ก็กราบไหว้ต่อไปไม่ได้แล้ว
รอบด้านมีคนแอบกระซิบกระซาบ คุยกันเกี่ยวกับเรื่องประหลาดในพิธีสมรสวันนี้
“จะทำอย่างไร” ผู้ทำพิธีถามพ่อแม่ที่อยู่ข้างบน
“เร็วหน่อย ให้บ่าวสาวคำนับกันสักหน่อยก็พอแล้ว” พ่อเจ้าบ่าวค่อนข้างเด็ดขาด
หูจื่อถูกประคองมายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามจิ่งเหิงปัว สีหน้าบนใบหน้าของเขายิ่งประหลาด ทั้งปรารถนาทั้งเจ็บปวดทั้งลังเลหลายส่วน กลอกตาไปมา คล้ายกำลังใคร่ครวญอะไรอย่างเคร่งเครียด
มีคนยืนประกบจิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “เจ้าสาวเจ้าคำนับก่อนนะ”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงรู้ว่าสามีภรรยาคำนับกันในละครย้อนยุคแตกต่างกับที่นี่ชัดเจน ต้องให้เจ้าสาวคำนับก่อน เจ้าบ่าวกึ่งคำนับตอบ พอเจ้าบ่าวกึ่งคำนับ เจ้าสาวคำนับลงไป เพื่อแสดงถึงหลักการเคารพสามี เคารพผู้ชาย
คำนับก็คำนับ นางจึงคำนับลงไปแล้ว ข้างหลังมีคนดันหลังนางอยู่นะ
เอวของนางยังไม่ได้โน้มลงไป รู้สึกทันทีว่าลมหนาวสายหนึ่งเฉียดผ่านข้างเข่า จากนั้นเสียงพลั่กก็ดังขึ้น หูจื่อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามล้มลงไปแล้ว
เสียงศีรษะกระแทกพื้นดังกังวานอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวค้างอยู่ในท่าโน้มตัว เหลียวหลังมอง ข้างหลังเป็นประตูข้าง ห้องหอติดกับห้องข้างนอก
ขณะนี้ในห้องหอน่าจะไม่มีคน
ในโถงพิธีเกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้นอีกระลอก หูจื่อถูกทุกคนประคองขึ้นมาอีกครั้ง ครานี้เขาคล้ายเสียสติไปแล้ว ดิ้นรนพ้นจากการประคองของทุกคนโดยพลัน พุ่งเข้าไปกอดขาของจิ่งเหิงปัวไว้ เปล่งเสียงร้องไห้ดังลั่น “เอ้อร์ยา! เอ้อร์ยา! อย่าโกรธข้าเลย! ข้ารู้ข้าชดใช้กรรมแล้ว! ข้ารู้ข้าไม่ยอมหนีไปกับเจ้า กรรมตามสนองแล้ว! ข้าคิดได้แล้ว! พวกเราหนีไป! พวกเราหนีไปยามนี้! แม้แต่ไหว้ฟ้าดินเจ้ายังไหว้กับข้า ฟ้าลิขิตให้เจ้าเป็นของข้า ยามนี้ข้าก็จะพาเจ้าหนีไป!” เอ่ยพลางลากนางชนทุกคนวิ่งหนีไป
เรื่องราวพลิกผันกะทันหัน แขกทั่วห้องโถงร่างแข็งทื่อ จิ่งเหิงปัวไม่ได้ดิ้นรน หันข้างเล็กน้อย ถอยให้ตำแหน่งประตูข้างที่อยู่ข้างหลัง
นางกำลังรอคอย
อย่างที่คิดไว้ครู่ต่อมา ลมหนาวสายหนึ่งเฉียดผ่าน โจมตีตรงขมับของหูจื่อที่อยู่ข้างหน้าดังเพียะ หูจื่อร้อง “โอ๊ย” ก่อนที่จะล้มหงายหลัง ถูกผู้ทำพิธีที่รีบตามมารับไว้
“รีบเข้าห้องหอ! รีบเข้าห้องหอ!” พ่อเจ้าบ่าวร้องตะโกนสั่นเทิ้ม แม่เจ้าบ่าวกลอกตาขาว หมดสติอยู่บนเก้าอี้แล้ว
หูจื่อถูกลากถอยไป ฟื้นขึ้นมาแล้วยังตะโกนว่าจะหนีไปกับเอ้อร์ยา จากนั้นเสียงอู้อี้ระลอกหนึ่งดังขึ้น น่าจะถูกคนอุดปากไว้
จิ่งเหิงปัวงงงวยนิดหน่อย…โครงเรื่องดำเนินไปถึงขั้นนี้ นับว่าสับสนอลหม่านโดยแท้ เจ้าสาวปลอมเจอเจ้าบ่าวปลอม เกือบโดนลากให้หนีตามกันไป นี่ถ้าถูกลากไปจริงๆ แผนของนางก็สูญเปล่าแล้ว
ตอนนี้ก็มีปัญหาอีกอย่าง คล้ายว่ามีคนอยู่ในห้องหอ ซ้ำยังคล้ายว่าเป็นยอดฝีมือ ยอดฝีมือคนนี้เป็นใครกัน? เป็นไปได้ว่าจะเป็นคนของนิกายสวรรค์!
นางถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างหลังรีบผลักเข้าห้องหอ
ม่านผ้าย้อมครามในห้องหอพลิ้วไหวเล็กน้อย
นางจ้องม่านนั้นอย่างระวัง มือค่อยๆ เอื้อมหยิบกริชที่อยู่ข้างขา
…
น่ามู่เอ่อร์พาคนวนอยู่บริเวณนี้สามรอบแล้ว พลิกแผ่นดินหาทั่วเนินเขาเล็กๆ กระโจนเข้าไปหาแม้แต่ในถ้ำ ก็ยังไม่เจอเงาร่างของสองคนนั้น
เขายิ่งร้อนใจ รู้สึกเพียงว่าในใจคล้ายมีไฟแผดเผา
ข้างล่างยังจัดงานมงคล เขานึกถึงเจ้าสาวงดงามนั้นที่เห็นเมื่อครู่ ไม่นึกว่าจะต้องสมรสกับคนโง่อัปลักษณ์ขนาดนั้น ก็รู้สึกว่าหลายเรื่องในโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลย
นึกถึงยามนั้นนิกายสวรรค์ประทานหญิงอัปลักษณ์ขนาดนั้นให้เขา เขายังดีใจแทบเสียสติ ซ้ำหลายคนยังพากันอิจฉา บัดนี้ลงมาต้าฮวง แม้แต่คนโง่อัปลักษณ์ยังมีวาสนาเรื่องรักมากกว่าเขา
“ศิษย์พี่น่ามู่เอ่อร์…” คนข้างกายสังเกตสีหน้าท่าทาง เอ่ยหยั่งเชิงว่า “หมู่บ้านนั้น จะค้นหาอีกรอบหรือไม่”
“อืม?” เขาเหลือบตามอง “ค้นแล้วไม่ใช่หรือ”
“ในห้องหออาจยังมีคนซ่อนอยู่นะ? ก่อนหน้านี้ห้องหอไม่มีคน พวกเราไม่ได้ค้นให้ละเอียด” คนนั้นหัวเราะแผ่วเบา แววตาเปล่งประกายคลุมเครือ ทว่าสีหน้ายังคงไว้ซึ่งความนิ่งสงบสง่างาม
น่ามู่เอ่อร์หันหน้ามองเขา หัวเราะฮ่าๆ
“เจ้าก็เอ่ยได้ถูกต้อง” เขาพยักหน้า หรี่ตาจ้องอักษรแดงบนห้องหอนั้น “เช่นนั้นข้าไปดูคนเดียว พวกเจ้าไม่ต้องตามมา”
“ขอรับ”