เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 57-2 ป่วนห้องหอและฟังมุมกำแพง
เตียงไม่ใหญ่ ม่านเตียงแน่นขนัด ซ้ำยังมีผ้าห่มกองใหญ่ สองคนเบียดเสียดกัน ลมหายใจของทั้งคู่ก็คล้ายผนึกแน่นบีบรัดพื้นที่ของทั้งสองฝ่าย อากาศคลุมเครือพัวพันในบรรยากาศ ความหอมกรุ่นหวานชื่นของนางกับความสง่างามนุ่มนวลของเขาแยกกันไม่ออก พันธนาการนางกับเขาไว้
ถั่วลิสงกับเม็ดแตงเปื้อนกลิ่นหอมของนาง เขากอบไปไว้มุมเตียงทีละกำมือ คิดอยู่ชั่วครู่แล้วสะบัดฝ่ามือบดขยี้ แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง ฝุ่นผงร่วงทั่วพื้น
เขาไม่อยากเห็นเม็ดแตงกับถั่วลิสงเหล่านี้ ถูกชาวชนบทที่เสียดายธัญญาหารเหล่านั้นเก็บมาแบ่งกันกินหลังพวกเขาจากไป
เมล็ดถั่วลิสงร่วงลงในฝ่ามือ เขาค่อยๆ กินเข้าไป
หอมนัก
เตียงสั่นดัง เอี๊ยดอ๊าด ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ไม่รู้ว่าช่างไม้ยอดฝีมือต่อไว้อย่างไร จิ่งเหิงปัวฟังเสียงนี้แล้วรู้สึกแค่ว่าหน้าแดง ท่านมู่กลับฉวยโอกาสใช้เสียงนี้กระซิบบอกนางว่า “ข้างในมีเสียง คนที่ฟังมุมกำแพงอยู่ข้างนอกก็คงไม่ไป คนของนิกายสวรรค์ผู้นั้นที่อยู่ข้างบนห่วงหน้าตาก็คงไม่ลงมา รออีกเดี๋ยว ฟ้าสว่างแล้ว ลูกไม้หลายอย่างของชาวนิกายสวรรค์ก็ใช้ไม่ได้ พวกเรามีโอกาสชนะมากขึ้นหน่อย”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงเข้าใจเรื่องที่เขาสร้างการเคลื่อนไหวคลุมเครือมากขนาดนั้น เห็นด้วยอย่างยิ่ง พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราทำต่ออีกหน่อย” ก่อนจะยื่นมือผลักเขาลงไป
เขากำลังคุกเข่าอยู่บนเตียง ไม่นึกว่านางจะเริ่มลวนลาม ล้มลงกระแทกไม้พื้นเตียง เสียง แอ๊ด ดังลั่น ทำให้คนกังวลว่าเตียงนี้จะพังลงมา
คนที่ฟังมุมกำแพงอยู่ข้างนอกหัวเราะเอิ๊กอ๊าก บางคนแอบโวยวายอย่างตื่นเต้นว่า “มองไม่ออกว่าเจ้าคนโง่ แรงเยอะชะมัด เพียงแต่ไม่รู้จักทะนุถนอมเจ้าสาวเกินไปหน่อย”
“พรุ่งนี้เจ้าสาวจะยังลุกไหวหรือไม่”
จิ่งเหิงปัวก็อยากจะหัวเราะ นางรู้สึกว่าท่าทางถ่างแข้งถ่างขานอนบนผ้าห่มของท่านมู่นั้นน่ารักมาก
อยากคลึงๆ ขยี้ๆ เขาแล้วม้วนเป็นก้อนแป้งนวดจังเลย
แต่นางเพิ่งยิ้มได้ครึ่งเดียว เขาพลันพลิกตัวทับนางไว้อีกครั้ง
ความร้อนของผิวกายเข้าใกล้ นำมาซึ่งกลิ่นหอมกรุ่นของเขา นางเบิกตากว้างจะต่อต้าน…ไม่จบไม่สิ้นสักที!
เขากดริมฝีปากนางไว้อีกครั้ง “ชู่…”
ข้างบนคล้ายมีเสียงกระเบื้องแตกเล็กน้อย คนผู้นั้นทนไม่ไหวแล้ว
จิ่งเหิงปัวเบนความสนใจไปยังหลังคาห้อง ก็ไม่ได้ระวังว่าท่านมู่ทับนางไว้ สองมือกอดไหล่ของนางไว้ ซบหน้าข้างคอนาง สูดหายใจลึกล้ำ
ห่างหายจากความร้อนและความหอมของนางไปนาน เขาจึงฉวยโอกาสนี้ลิ้มรสอีกครั้ง
ผ่านไปชั่วขณะเขาก็เงยหน้าขึ้น จิ่งเหิงปัวเบนความสนใจกลับมาพอดี ถึงขนาดไม่ได้พบว่าเขาแอบแต๊ะอั๋ง
ข้างนอกพลันมีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ซ้ำยังมีเสียงฝีเท้าหนักหน่วง ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยเสียงดังว่า “นี่ทำอะไรกันอยู่ แยกย้ายไปให้หมด! แยกย้าย!”
คนที่ฟังมุมกำแพงคึกคักไม่เกรงใจกันเลย ทำให้ครอบครัวเจ้าบ่าวรำคาญ เหลืออดเหลือทน ออกมาไล่คนแล้ว
เด็กวัยกำลังโตพวกนั้นโดนไล่ครั้งเดียวก็แยกย้าย จิ่งเหิงปัวแอบร้องในใจว่าซวยแล้ว
อย่างที่คิดไว้ ครู่นั้นที่เสียงฝีเท้าข้างนอกเพิ่งจะหายไป ครอบครัวเจ้าบ่าวกลับห้องไปนอน กระเบื้องข้างบนพลันดังขึ้น แสงท้องฟ้ามืดสลัวเล็ดลอดลงมา
ไม่ใช่แสงท้องฟ้าแต่เป็นคมกระบี่ คล้ายหิมะเหน็บหนาวคล้ายแสงสว่างเจิดจ้า ชั่วขณะหนึ่งเกิดตรงขอบฟ้า ชั่วครู่ต่อมาพุ่งถึงเตียงบ่าวสาว
ท่านมู่พลันกอดจิ่งเหิงปัวลากไปข้างบน
ฉึก คมกระบี่กะพริบผ่าน ไม้พื้นเตียงแยกเป็นสองท่อน
จิ่งเหิงปัวถูกท่านมู่โอบไว้เผชิญหน้ากับเขาอยู่ในอ้อมแขน รู้สึกถึงความหนาวจากไอกระบี่ข้างหลัง เดาจากทิศทางของกระบี่ น่าจะพุ่งมาหาท่านมู่
จากนั้นนางก็ชะงักอีกครั้ง รู้สึกถึงความร้อนผ่าวของเขา นางหน้าแดงซ่านขึ้นมา รู้สึกตัวทันทีว่าท่วงท่านี้ทั้งใกล้ทั้งคลุมเครือเกินไปแล้ว…
นางยังไม่ทันได้คิดให้ชัดเจน เหนือศีรษะมีเสียงดังอีกครั้ง ตรงหน้าสว่างวาบ
ท่านมู่พลันกอดนางไว้ กลิ้งเข้าไปข้างในเตียง
ฉึก ตั้งแต่หลังคาเตียงถึงไม้พื้นเตียงปรากฏเป็นโพรงแบนๆ กระบี่เดียวทะลุทั้งเตียง
จิ่งเหิงปัวเดาทิศทางกระบี่ครั้งนี้ คล้ายพุ่งมาหานาง ถ้ากระบี่นั้นเมื่อครู่ฟันท่านมู่เป็นสองท่อน เช่นนั้นกระบี่นี้ตอนนี้ จะแทงทะลุขาของนาง ตรึงนางไว้บนเตียงพอดี
โหดเหี้ยมไม่เบา
สองคนกลิ้งอยู่ข้างในเตียง ใกล้ถึงขนาดหน้าแนบหน้า ริมฝีปากของเขาทั้งนิ่มทั้งร้อนเฉียดข้างแก้มนาง เมื่อมองผ่านผมดำขลับของเขา ผ้าห่มสีแดงเข้มกองพะเนินอยู่ข้างเท้า แต่คนที่อยู่บนร่างร้อนยิ่งกว่าผ้าห่ม ซ้ำยังหายใจถี่กระชั้น นางเกิดนึกถึงคำว่า ‘ผ้าห่มพลิกตลบดั่งเกลียวคลื่น’ อย่างไม่มีสาเหตุ…
นี่มันเสียเปรียบมากเกินไปแล้ว นางคิด
แต่ตอนนี้ก็ขยับไม่ได้ ทิศทางของกระบี่ทั้งสองเป็นเช่นนี้ เห็นได้ว่าคนที่อยู่บนหลังคาทนไม่ไหวลงมือแล้ว ต่อไป เขาก็จะมาเสวยสุขผลลัพธ์ชัยชนะของเขา
จิ่งเหิงปัวเดาได้อย่างรำไรว่าคนนี้ต้องการทำอะไร
ค่ำคืนแต่งงาน ฆ่าเจ้าบ่าว ตัดขาของเจ้าสาว จากนั้น…
นี่ชื่อว่านิกายสวรรค์? ซ้ำยังนิกายสวรรค์ชั้นเก้า? ครั้งหน้าต้องมอบป้ายแขวนประตูให้พวกเขา เปลี่ยนชื่อเป็นยมโลกชั้นเก้า!
เขาโอบนางไว้ โอบหยกอ่อนอุ่นหอมไว้เต็มอ้อมอก ขณะนี้ในใจอาลัยอาวรณ์หาใดเปรียบ อยากสูดอากาศที่มีนางอยู่ด้วยให้เต็มกำลัง แต่ก็ไม่กล้าออกแรงเกินไป กลัวว่าเหตุนี้จะจุดชนวนความปรารถนาที่แตกหน่อตั้งนานแล้ว เขาได้แต่สูดหายใจทีละเล็กละน้อย สัมผัสอย่างเอาใจใส่ นิ้วกดผ่านแอ่งบนไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา แอ่งบนไหล่เป็นการเว้าลงที่งดงาม หัวใจของเขาก็คล้ายเว้าลงเป็นโพรง เต็มไปด้วยความโหยหา อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือก็โหยหา อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือยิ่งโหยหา
เขาทะนุถนอมช่วงเวลาที่ล้ำค่าเช่นนี้กับช่วงเวลาที่ได้กอดนาง ในใจรู้ดีว่านี่จะเป็นการให้ที่ลดลง จะน้อยลงทุกครั้งที่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง เขาก็เกลียดช่วงเวลาเช่นนี้ด้วยเช่นกัน มันผ่านไปรวดเร็วและช่างแสนสั้น เขายิ่งเกลียดความรู้ดีของตน…ด้วยเพราะรู้ดีเกินไปจึงล่วงรู้ชีวิต ด้วยเพราะล่วงรู้ชีวิตจึงไม่อาจดีใจ
จิ่งเหิงปัวรู้สึกถึงการสั่นระริกของเขา ตอนแรกนึกว่าเขาเกิดอารมณ์ นางอยากผลักเขาออกไปทันที แต่จากนั้นนางก็รู้สึกถึงความรู้สึกของเขา…ความชื่นชอบแรงกล้าและความอ้างว้างเจือจาง ซ้ำยังมีความเศร้าโศกเล็กน้อย
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงมีความรู้สึกแบบนี้ แต่ความรู้สึกแบบนี้ส่งถึงนาง นางก็สงบลงทันที นึกถึงหลายคน หลายเรื่อง นึกถึงคนคนนั้นกับเรื่องเรื่องนั้นที่อยู่ลึกที่สุดในใจ
ท่านมู่ค่อยๆ สงบลง พลันยื่นมือหยิบกริชของนางกดตรงชีพจรข้อมืออย่างแผ่วเบา โลหิตไหลออกมา ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไร จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ราวกับในห้องนี้มีคนตายหลายคน
นางเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายลงมือแล้วจะลงมา ลงมาแล้วไม่ได้กลิ่นคาวเลือดก็จะรู้ว่าไม่สำเร็จ ในใจเกิดความระมัดระวัง
ความระมัดระวังรอบคอบและความชำนาญจากประสบการณ์ยุทธภพของท่านมู่ ทำให้นางรู้สึกเสมอว่านี่คือชาวยุทธ์ที่แท้จริง ถ้าไม่กลิ้งเกลือกในยุทธภพนานหลายปีก็มีความเฉียบแหลมและประสบการณ์แบบนี้ได้ยาก
ที่เหนือศีรษะมีเสียงแผ่วเบา เงาสีขาวลอยลงมาอย่างอ่อนช้อย
จิ่งเหิงปัวบอกเลยว่านางเกลียดเงาสีขาวที่สุด!
นางจะลุกขึ้นแต่ท่านมู่กดนางไว้อีกครั้ง เขายิ้มน้อยๆ ให้นาง ส่งสัญญาณมือว่า ‘พักผ่อนให้เต็มที่’ จากนั้นเขาม้วนผ้าห่ม ยัดหมอนเข้าไป ใช้เข็มขัดรัดให้แน่น กองไว้ข้างเตียง
จิ่งเหิงปัวกำลังสงสัยว่าเขาทำอะไร ก็เห็นคนนั้นนอกกระโจมสะบัดมือ ม่านกระโจมขาดดัง แควก ม้วนผ้าห่มนั่นถูกหอบออกไป ร่วงลงตรงมุมกำแพงอย่างแรง
โอ้ จริงด้วย บนเตียงน่าจะมีศพอยู่ คนนี้จะขึ้นเตียง ย่อมต้องหอบศพออกไปก่อน
ในห้องมืดสนิท แสงเทียนดับไปแล้ว ได้ยินเฉพาะเสียง ม้วนผ้าห่มที่มีหมอนอยู่ข้างในฟังแล้วคล้ายศพจริงๆ หลายส่วน
เงาสีขาวมัวสลัวในห้องนั้นนับว่ารอบคอบ หลังลงมือหอบศพออกไปก็ยืนอยู่กลางห้อง สะบัดแขนเสื้อออกมายาวๆ ยื่นมาบนเตียง
ยามนี้ตำแหน่งที่เขาสืบเสาะไม่มีคน จิ่งเหิงปัวกับท่านมู่หลบอยู่ปลายเตียง
ชั่วขณะนั้นท่านมู่คล้ายลังเล เวลานี้จิ่งเหิงปัวกลับตอบโต้รวดเร็ว ผลักเขาออกไปทันที
ท่านมู่ล้มอยู่บนเตียงอย่างเงียบเชียบ ผมดำสยายทั่วหมอน
ยามนี้แขนเสื้อที่คนในห้องยื่นมาสืบเสาะก็มาถึงแล้ว ‘ลูบคลำ’ ใบหน้าของท่านมู่ แน่ใจว่าบนเตียงมีคน ชักกลับไปอย่างพอใจ
ท่ามกลางความมืดมิด สายตาของท่านมู่ฉายแววจำใจ จิ่งเหิงปัวปิดปากหัวเราะชั่วร้าย นัยน์ตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
เขากลอกตาไปมาอยู่เงียบๆ ในการจำใจก็แฝงไว้ด้วยการตามใจหลายส่วน
คนในห้องเดินมาข้างเตียง ดูจากลักษณะท่าทาง จิ่งเหิงปัวกับท่านมู่แน่ใจว่าคือชายที่เป็นหัวหน้าคนนั้น
คนของนิกายสวรรค์จิ่วฉงมีเอกลักษณ์พิเศษยิ่งนัก นั่นคือผู้ที่มีฐานะแตกต่างจะมีท่าทางที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน ต่อให้เป็นคนนอกก็รู้ความแตกต่างของฐานะพวกเขาจากท่าทางของชาวนิกายสวรรค์จิ่วฉงได้ง่ายนัก ฐานะยิ่งสูงท่าทางยิ่งทระนงตน ท่าทางยิ่งหยิ่งผยอง คางกับรูจมูกยิ่งเชิดขึ้น
สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจฝึกฝน ตัวชาวนิกายสวรรค์จิ่วฉงเองก็คงไม่สังเกตเห็น สิ่งนี้เกิดจากระบบชนชั้นและการเลือกปฏิบัติที่เข้มงวดที่ฝังรากลึกยาวนานในสำนักทั้งนั้น
คนนั้นเดินมาด้วยท่าทางของผู้ชนะที่ควบคุมทุกสิ่ง
เขากำลังจะมาเสพสุขสตรีที่ตนเองหมายปอง
บนเตียงต้องมีผู้หญิงสักคน ท่านมู่จะลุกขึ้นนั่ง จิ่งเหิงปัวนั่งทับขาเขาไว้ไม่ให้เขาลุกขึ้น ส่งสัญญาณมือว่า ‘เจ้าเสียสละหน่อย’
ท่านมู่ก็ไม่ขยับแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้ตนเองเป็นคน ‘โดนลวนลาม’ เช่นนี้ แต่คล้ายยิ่งไม่อยากให้จิ่งเหิงปัว ‘โดนลวนลาม’
ม่านเตียงเลิกออก มือที่ขาวซีดข้างหนึ่งยื่นเข้ามา
น่ามู่เอ่อร์ยืนอยู่ข้างเตียง ในห้องมืดมิด เห็นผมดำสยายยุ่งเหยิงบนใบหน้าคนบนเตียงรำไร เปล่งประกายปานแพรต่วน เผยให้เห็นใบหน้าขาวผ่องครึ่งหนึ่ง แม้เห็นเค้าโครงไม่ชัดเจน แต่รู้ได้ว่าคนนี้หน้าตางดงาม
น่ามู่เอ่อร์ยิ้มอย่างชั่วร้ายและพอใจ ยกมือขึ้น เข็มขัดร่วงหล่น
เขารีบถอดกางเกงอย่างเงียบเชียบ ชุดคลุมยาวข้างนอกก็ยังสวมไว้
ศักดิ์ศรีภายในไม่เอาก็ได้ ศักดิ์ศรีภายนอกต้องดำรงไว้เสมอ
ผ้าม่านเลิกออก ขาอ่อนแข็งแรงยกขึ้น เขาขึ้นมาบนเตียง ยื่นมือไปฉีกกางเกงของท่านมู่
จิ่งเหิงปัวก็ใช้มีดแทงเข้าไป!
กลางหลัง!
ลมหนาวปะทะร่างกาย น่ามู่เอ่อร์พลันตื่นตัวจะทะยานขึ้นฟ้า ท่านมู่ที่นอนอยู่พลันยื่นมือหนีบสองแขนของเขาไว้
การหนีบครั้งนี้ดั่งคีมเหล็ก น่ามู่เอ่อร์พลันหนีไปไม่ได้ ทว่าเขาก็ไม่ใช่ผู้อ่อนแอ สถานการณ์คับขัน เรือนร่างพลันบิดอย่างแปลกประหลาด บิดร่างกายส่วนบนออกนอกเตียงทั้งอย่างนั้น เขาออกแรงบิดเช่นนี้ ทั้งร่างแทบพิกลพิการ จนทำให้กระดูกเอวเปล่งเสียงกร๊อบคล้ายจะหักสะบั้น
ฉึกกก ดังขึ้นยาวนาน กริชของจิ่งเหิงปัวลื่นบนหลังเขา ผ่าลากลงมา เกือบจะผ่าหลังของเขาเป็นสองท่อน!
น่ามู่เอ่อร์เงยหน้าจะร้องโหยหวน ท่านมู่มือไวตาไว คว้าถุงเท้าตรงหัวเตียงขึ้นมายัดเข้าไปในปากเขา
พอเขาปล่อยมือ น่ามู่เอ่อร์พยายามกระโจนขึ้นไป โลหิตโปรยปราย พุ่งไปทางหลังคาเตียง