เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 6 - 2 แย่งผู้ชายกลางถนน
ครู่ต่อมานางเห็นเขายิ้มแย้มเฉกเช่นปกติ แล้วเอ่ยว่า “เสนาหญิง ข้ารู้สึกว่าวาจาเสนอแนะจากเสี่ยวหนานของข้าเป็นประโยชน์ยิ่งนัก พี่น้องร่วมบิดามารดายังต้องคิดบัญชีให้ชัดเจน แต่เดิมระหว่างเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องแสร้งเกรงใจใช่หรือไม่?”
“ได้” เฟยหลัวกัดฟัน เอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านต้องการสิ่งใด”
เหยียลี่ว์ฉีหันหน้ามองจิ่งเหิงปัว แต่จิ่งเหิงปัวยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น นางกลอกตาเพียงครั้งยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ประเดี๋ยวค่อยติดต่อกันอีกครั้งเถิด ท่านอาสมรสกับสามีมาแล้วสามคน แต่ละคนมีอำนาจยิ่งใหญ่ร่ำรวยล้นฟ้า คิดว่าคงมีของดีมากมาย ข้าต้องครุ่นคิดให้ดีจะได้ไม่เสียเปรียบ”
ประเดี๋ยวก็เอ่ยว่าท่านอา ประเดี๋ยวก็เอ่ยว่าสามีสามคน เฟยหลัวมีความเยือกเย็นไม่ต่างจากคนธรรมดาอยู่แล้ว ยามนี้นางก็เหลืออดเหลือทนจนได้ ยกมือชี้หน้าจิ่งเหิงปัวโดยพลัน เอ่ยอย่างน่าครั่นคร้ามว่า “เจ้าระวังตัวไว้ให้ดี!”
“เจ้าก็ระวังตัวไว้ให้ดีเช่นกัน”เหยียลี่ว์ฉีพลันเอ่ยว่า “ข้าขี้ขลาดตาขาว นึกว่าวาจาคุกคามเป็นความจริงได้ง่ายดายยิ่งนัก ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบอยู่แล้ว”
นิ้วมือของเฟยหลัวแข็งค้างอยู่กลางอากาศ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้วางลงอย่างรุนแรง หันกายเดินก้าวใหญ่ออกไป
พิณโบราณไม้เฟิ่งถง[1]มูลค่าเลิศล้ำขวางทางนางอยู่ นางไม่มองเสียด้วยซ้ำ ยกเท้าเตะเพียงครั้ง เครื่องดนตรีที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์เครื่องนั้นก็กระแทกเข้ากับกำแพงจนแหลกละเอียดดังครืน
เสียงหัวเราะออดอ้อนของจิ่งเหิงปัวแว่วตามมาด้วย
“บอกแล้วว่าท่านอาร่ำรวย! ดูสิ! เตะพิณล้ำค่าขนาดนั้นอย่างง่ายดาย! ว่าที่สามี เจ้าว่าพวกเราเรียกร้องสิ่งใดจากท่านอาดีล่ะ…”
เสียงหัวเราะหยุดลงทันทีหลังจากที่เฟยหลัวเดินออกจากประตูไป จิ่งเหิงปัวพลันใช้ฝ่ามือตบลงบนแขนของเหยียลี่ว์ฉีอย่างรุนแรง แล้วกล่าวว่า “ปล่อยนะ!”
“เจ้าว่าพวกเราเรียกร้องสิ่งใดจากนางดีล่ะ” เหยียลี่ว์ฉีไม่ยอมปล่อย โน้มกายกระซิบข้างหูนางว่า “เสี่ยวปัวร์ ก่อนหน้านี้ยามเจ้าเอ่ยว่าเป็นคู่หมั้น ข้าคิดจริง…”
บนศีรษะมีเสียงแกร๊กดังขึ้น กระเบื้องแผ่นหนึ่งพลันร่วงหล่น เหยียลี่ว์ฉีกะพริบกายหลบหลีก จิ่งเหิงปัวจึงฉวยโอกาสนี้ดิ้นรนหลุดพ้นจากเขา
“ข้างบนคือผู้ใดกัน” เหยียลี่ว์ฉีขมวดคิ้วมองดูหลังคา สีหน้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวจ้องมองหลังคาคล้ายครุ่นคิดได้บางสิ่ง ยิ้มแย้มอย่างเชื่องช้า กล่าวว่า “พวกเราขึ้นไปดูด้วยกันดีหรือไม่”
“ไม่ต้องรีบร้อน” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ว่าที่ภรรยา ข้าพลันนึกได้ว่าข้ายังติดค้างของหมั้นหมายเจ้าชิ้นหนึ่ง”
“การหมั้นหมายของพวกเราถูกยกเลิกไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้าสองจิตสองใจพัวพันหญิงอื่นเลยทอดทิ้งเจ้าไปแล้ว” จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมือ กล่าวว่า “เรื่องเช่นแลกเปลี่ยนของหมั้นนั้นก็ช่างมันเถิดนะ”
ทว่าเหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าจริงจังยิ่งนัก จูงนางไว้ในครั้งเดียว แล้วแบฝ่ามือออก
ที่กลางฝ่ามือคือแหวนวงหนึ่ง จำแนกเนื้อแหวนไม่ได้ สาดสะท้อนสีทองแดงเก่าแก่ปานผันผ่านกาลเวลา ประดับด้วยพลอยไพฑูรย์ที่ส่องแสงรุ่งโรจน์เวียนวนเม็ดหนึ่ง แสงสลัวของพลอยตาแมวเม็ดนั้นแวววาวภายใต้แสงไฟเหลืองสลัว ดั่งเกิดภาพมายา
แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นของดี
จิ่งเหิงปัวปฏิเสธทันทีว่า “ข้าไม่ชอบแหวน”
ไม่ชอบแหวนเลย พอมองเห็นของสิ่งนี้แล้วรู้สึกว่าอึดอัดใจ
“เจ้าน่ะมองพลาดแล้ว ของสิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นแหวน” เหยียลี่ว์ฉีโน้มกายลง กระซิบวาจาหลายประโยคข้างหูนาง
ข้างบนคล้ายมีเสียงแผ่นกระเบื้องแตกร้าวอีกครั้ง
แต่สีหน้าของจิ่งเหิงปัวค่อยๆ ผ่อนคลายลงแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่จึงร้อง “อ้อ” ออกมา กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอยืมหน่อยละกัน” เอื้อมมือหยิบแหวนแต่ไม่ได้เอามาสวมใส่ แค่เก็บไว้ในแขนเสื้อ
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มอย่างพึงพอใจยิ่งนัก พานางเหินกายขึ้นมาทอดลงบนหลังคาบ้าน แขกที่ไม่ได้รับเชิญก่อนหน้านี้หายไปแล้ว เทียนชี่ยืนอยู่บนหลังคาบ้านเพียงผู้เดียว อาภรณ์พัดพลิ้ว สวมหน้ากากดินปั้นหน้าตี่จู๋เอี๊ยะที่ดูท่าทางเมตตากรุณาไว้เช่นเดิม
“เอ๊ะ คนเมื่อครู่นี้หายไปไหนเสียแล้ว?” จิ่งเหิงปัวเหลียวซ้ายแลขวา เดินไปข้างกายเขา
เทียนชี่หันกายชี้ไปกลางความมืดมิด จิ่งเหิงปัวพลันยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมเอ่ยวาจาเลยเล่า?”
ยามคำว่า ‘เจ้า’ หลุดจากปาก ในมือของนางมีกริชเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้ว แทงเข้าไปในครั้งเดียว!
เสียง ฟิ้ว ดังขึ้น เหยียลี่ว์ฉีเฉียดกายเข้ามาพร้อมกันปานสายฟ้าแลบ ฝ่ามือหนึ่งคว้ามาทางหน้าผากของเทียนชี่
“เจ้าคือผู้ใด?”
ท่ามกลางเสียงตวาดลั่น เทียนชี่ก็พลันทอดกายไปข้างหลังดั่งสะพานเหล็ก กริชของจิ่งเหิงปัวเฉียดผ่านหน้าอกของเขา นำมาซึ่งแขนเสื้อสีดำผืนหนึ่ง
มือของเหยียลี่ว์ฉีมาถึงแล้วเช่นกัน คว้าหน้ากากของเขาไว้โดยพลัน หน้ากากแตกร้าวดังเพล้ง
เงาร่างเทียนชี่ฉวยโอกาสม้วนร่างกายหลุดพ้นการล้อมโจมตีของคนทั้งสอง ร่วงสู่กลางพุ่มไม้ใต้หลังคาอีกครั้งดังพลั่ก
เหยียลี่ว์ฉีจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร เขาโยนหน้ากากในมือทิ้ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “หากถลกหนังของเจ้าออกมา ดูสิว่าคราวนี้เจ้าจะแสร้งเป็นผู้ใดได้อีก” ขณะชะโงกศีรษะมองดูกำลังจะไล่ตามลงไป ที่กลางพุ่มไม้พลันมีเงาร่างหนึ่งยืนขึ้นมา แหงนหน้าตะโกนด่าว่า “พวกเจ้าสองคนเป็นบ้าอะไรกัน? เหตุใดต้องทำร้ายข้าด้วย!”
จิ่งเหิงปัวชะงักงัน เหยียลี่ว์ฉีที่เฉียดไปถึงขอบสันหลังคาแล้วแทบจะหัวทิ่มลงไป
ทั้งคู่มองดูคนที่ยืนขึ้นมาจากกลางพุ่มไม้อย่างตื่นตะลึง ชัดเจนแจ่มแจ้งใต้แสงจันทร์ นั่นก็คือเทียนชี่มิใช่หรือ?
“เจ้า…เมื่อครู่เจ้า…” จิ่งเหิงปัวชี้ไปที่เขาพลางกล่าวอย่างติดอ่างเล็กน้อย
เมื่อครู่นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเทียนชี่ผิดปกติไป ลักษณะท่าทางของเขาเหมือนจะแตกต่างจากเดิม อีกทั้งเรื่องสำคัญที่สุดคือหลังจากเข้าไปข้างหลังศาลตี่จู๋เอี๊ยะนั้น พอออกมาเขาไม่ได้เอ่ยวาจาอีกเลย ตอนแรกด้วยเพราะกำลังแอบฟัง นางจึงไม่ได้กล่าวอะไรเช่นกันจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่ภายหลังเขาพยายามปกป้องหน้ากากสุดชีวิต ซ้ำยังยอมตายไม่ยอมเอ่ยวาจา ทำให้นางเกิดความสงสัยขึ้นมา
ตอนแรกนางเคยสงสัยว่าเป็น…เขา แต่ภายหลังพบว่าอุณหภูมิร่างกายของเขาอบอุ่น เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่คนผู้นั้น อดจะแอบด่าว่าตนเองเสียสติไปแล้วไม่ได้ ทำไมมองเห็นใครก็ต้องคิดว่าเป็นคนผู้นั้นเสมอ?
เพราะอย่างนั้นตอนที่อยู่ข้างล่าง นางจึงแอบส่งสัญญาณลับให้เหยียลี่ว์ฉี จากนั้นทั้งสองคนจึงขึ้นมาลงมือในขณะเดียวกัน โจมตีหน้ากากของ ‘เทียนชี่’ จนแตกร้าว แต่เดิมนึกว่าจะได้มองเห็นใบหน้าที่แตกต่างออกไป ใครจะรู้ว่าคนที่ยืนขึ้นมาจากกลางพุ่มไม้ยังคงเป็นเทียนชี่
เขาเพิ่งจะร่วงลงไปแล้วยืนขึ้นมาจากกลางพุ่มไม้ทันที ระยะเวลาสั้นเกินไป เทียนชี่เคยหายไปชั่วครู่ที่ศาลตี่จู๋เอี๊ยะทางนั้น หากเกิดปัญหาขึ้นจริง เทียนชี่ตัวจริงควรอยู่ที่ศาลตี่จู๋เอี๊ยะทางนั้นด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฏตัวที่นี่อย่างรวดเร็วขนาดนี้
“เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้น? เมื่อครู่พวกเจ้าพลันลงมือทำร้ายข้าอย่างไม่รู้สาเหตุ เส้นเอ็นเส้นใดวางผิดที่หรือ?” เทียนชี่มีสีหน้าโกรธเคือง กระโจนขึ้นสู่ชายคา
จิ่งเหิงปัวขยี้ใบหน้า พยายามทำให้ตนเองสงบลงมา กลบเกลื่อนอารมณ์แล้วถามว่า “เมื่อครู่เป็นเจ้าตลอดเลยหรือ?”
“ใช่น่ะสิ”
“เช่นนั้นเมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้น” นางถาม
“พวกเราแอบฟังบทสนทนาข้างล่าง จากนั้นก็พบเจอเด็กหนุ่มพิลึกพิลั่น เขาสู้รบกับข้าไปรอบหนึ่ง ข้าก็ถูกบังคับให้ลงจากหลังคาบ้าน แล้วเขาก็ผลักเจ้าร่วงลงไป” เทียนชี่ตอบอย่างรวดเร็ว
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา เริ่มสงสัยในการวินิจฉัยของตนเอง
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมเอ่ยวาจาเลย?”
“ที่ศาลตี่จู๋เอี๊ยะนั่นไม่รู้ว่ามีผู้ใดที่จุดธูปคุณภาพต่ำ ไอควันรมจนคอหอยข้าเจ็บปวดไปหมด ข้าแค่ไม่อยากเอ่ยวาจาก็ไม่ได้หรือ?”
“ได้ๆ” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ข้ายังมีคำถามสุดท้าย เหตุใดเจ้าต้องพลีชีพปกป้องหน้ากากไว้ด้วย?”
“คนไม่เข้าใจวรยุทธ์น่ะชอบถามแต่คำถามโง่เขลา” สีหน้าของเทียนชี่เหนื่อยหน่ายเสียยิ่งกว่านาง แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามองไม่ออกหรือว่าสิ่งที่เขาหวังคว้าไว้ไม่ใช่หน้ากากของข้า ทว่าเป็นใบหน้าของข้า? วรยุทธ์ของเจ้าเด็กนั่นอยู่ที่มือ พลังกรงเล็บขั้นเก้าทั้งมือ หากให้เขาคว้าหน้ากากของข้าไว้ ผิวหน้าของข้าคงต้องหลุดออกมาด้วยแน่ หากดวงพักตร์งามสะคราญปานบุปผาของข้าเสียโฉมไปแล้ว เจ้าทนได้หรือ?”
“จ้าๆๆ ข้าทนไม่ได้” จิ่งเหิงปัวใช้มือตอบรับ จะได้ไม่ต้องมองดวงพักตร์งามสะคราญปานบุปผาที่กำลังบึ้งตึงของเทียนชี่ พึมพำว่า “เมื่อครู่เจ้าปกป้องข้าขนาดนั้น ข้ายังนึกว่า…”
“ข้าปกป้องเจ้ายังผิดด้วยหรือ?” เทียนชี่ไม่ยอมปล่อยผ่าน เอ่ยว่า “ได้เลย ภายหลังข้าจะแอบออกไปข้างนอก แล้วอย่าได้มาหาให้ข้าปกป้องเจ้า ดึกดื่นเที่ยงคืนทะเลาะวิวาทกลางสายลม ซ้ำยังเกือบจะถูกพวกเจ้าสังหารเสียแล้ว งานเช่นนี้ทำไม่ไหว แยกย้าย!” เอ่ยจบแล้วปล่อยมือเดินจากไป
“นี่ๆ อย่าโกรธสิ” จิ่งเหิงปัวได้แต่รั้งเขาไว้ รีบเร่งปลอบโยนกะเทยแสนงอน เอาอกเอาใจอยู่สักพักใหญ่ สีหน้าเขียวคล้ำของเทียนชี่ถึงฟื้นคืนสู่สภาพปกติ สะบัดอาภรณ์ขาดวิ่นช่วงหน้าอก เอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “ชดใช้ด้วยอาภรณ์หนึ่งชุด!”
“ได้”
“เอาชุดกระโปรงแบบแต่ก่อนนั้นของเจ้า” เทียนชี่ได้คืบจะเอาศอก
“เทียนชี่!” เหยียลี่ว์ฉีตวาดโดยพลัน
เทียนชี่พลันรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเอ่ยผิดไปแล้ว จึงรีบเร่งหุบปาก ความเย่อหยิ่งสูญสลายโดยพลัน มองดูจิ่งเหิงปัวอย่างไม่สบายใจอยู่บ้าง
จิ่งเหิงปัวเกิดอาการเหม่อลอยเล็กน้อย
เพียงพริบตาเดียวพลันหวนคืนสู่ถนนใหญ่จิ่วกง นางพาจื่อหรุ่ยอวดโฉมการแต่งกายสมัยใหม่ริมถนนตี้เกอ เบื้องหน้าบ่อน้ำน้อยภายใต้แสงอาทิตย์ พอหันหน้ากลับมาอย่างเชื่องช้า ยิ้มแย้มเพียงครั้งยังเคยล่มนครได้
อ้อ ไม่ใช่สิ แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่ล่มนครได้ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นใจคนที่เปลี่ยนแปลงมากมาย วางกับดักไว้จนทะลุปรุโปร่งพวกนั้น
ไม่รู้ว่าความฝันเกี่ยวกับอาณาจักรธุรกิจของผู้หญิงที่เคยวาดฝันไว้สูญสลายไปตั้งแต่เมื่อไร การแต่งหน้า เครื่องสำอาง เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เคยชื่นชอบเป็นที่สุดเหล่านั้น…พลันถูกสายลมหิมะครั้งนั้นพัดพาไปด้วย เมื่อนางแสดงฝีมือการแต่งหน้าอีกครั้ง ก็ใช้ประโยชน์เพียงเพื่อหลอกลวงสังหาร
สภาพจิตใจกลับตาลปัตรเพียงชั่วทิวาราตรี
พอได้สบสายตาที่ทั้งไม่สบายใจทั้งเป็นห่วงของบุรุษสองคน นางก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างเชื่องช้า หันกายชี้ไปทางตี้เกอ
“เหตุใดต้องกลัวที่จะเอ่ยถึงเรื่องอดีตด้วย? หากยังเผชิญหน้ากับอดีตไม่ได้ ภายหลังจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อย่างไร?”
“มองดูตี้เกอสิ เทียนชี่ เครื่องสำอาง เครื่องประดับและชุดกระโปรงงดงามทุกตัวของข้าอยู่ที่นั่นทั้งหมด สักวันหนึ่ง ข้าจะเอาคืนมาแล้วมอบให้เจ้าต่อหน้าทุกคน”
[1] เฟิ่งถง หรืออู๋ถง ชื่อวิทยาศาสตร์ Firmiana platanifolia ไม้ผลัดใบขนาดใหญ่ ลำต้นตรง เปลือกสีเขียวเรียบรื่น ชาวจีนมองว่าอู๋ถงเป็นสัญลักษณ์ของสิริมงคล เล่ากันว่าหงส์ชอบพักผ่อนอยู่บนต้นอู๋ถง ด้วยเหตุนี้จึงเรียกต้นอู๋ถงว่าเฟิ่งถง