เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 6 - 3 แย่งผู้ชายกลางถนน
ขณะที่ทั้งสามคนกลับสู่โรงเตี๊ยม จิ่งเหิงปัวก็ถามเหยียลี่ว์ฉีว่าเขาพอจะรู้จักเจ้าหนุ่มที่พรวดพราดเข้ามาคือใครหรือไม่
“หน้าขาวหน่อย ค่อนข้างหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาคู่หนึ่งหรี่ลงเสมอเสมือนเมาสุรา ทว่าพอยิ้มแย้มแล้วน่ารักยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวอธิบาย แล้วกล่าวต่อไปว่า “จริงสิ บนร่างของเขามีกลิ่นสุราของจริงด้วยนะ ข้าได้กลิ่น”
“คงไม่ใช่จี้อีฝานกระมัง?” เหยียลี่ว์ฉีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “สหายรู้ใจของยงซีเจิ้ง รองเสนาแคว้นเซียง บุตรชายของภรรยาเอกตระกูลจี้อีซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลขุนนางใหญ่แห่งแคว้นเซียง น้องชายคนสุดท้องของราชินีจี้แห่งแคว้นเซียง เป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์มีชื่อเสียงแห่งแคว้นเซียงอย่างแท้จริงนัก เล่ากันว่าสง่างามรักอิสระตั้งแต่เกิด ชื่นชอบสุราเลิศรสและสตรีเหลือเกิน วันใดไร้สุราไร้สุขสันต์ เป็นพวกผู้ดีเอ้อระเหยลอยชายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองฉงอาน”
“คือเหยี่ยวตัวที่สองในแผนการยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัวของเฟยหลัวสินะ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวต่อไปว่า “เจ้าผู้นี้อยู่ด้วย ซ้ำยังได้ฟังแผนการทั้งหมด คราวนี้สนุกสนานแล้ว”
“ในเมื่อเขาได้ฟังแล้ว เราคงทำตามแผนการของเฟยหลัวไม่ได้อีกต่อไป เจ้ากับข้าน่ะเป็นผู้ดำเนินแผนการของเฟยหลัว พวกเรายังต้องวางแผนฉกฉวยของตอบแทนล้ำค่าจากนางนะ”
“ทั้งต้องหาเงินทั้งต้องกระทำเรื่องราว ทว่ากระทำอย่างไรกันแน่ขึ้นอยู่กับพวกเราเองแล้ว” จิ่งเหิงปัวมองดูเหยียลี่ว์ฉีด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา กล่าวต่อไปว่า “เพียงแต่ข้ามีวาจาประโยคหนึ่งต้องถามเจ้าก่อน…ข้าอยากเป็นศัตรูกับนางผู้เป็นคู่รักตั้งแต่วัยเยาว์คนนั้นของเจ้า เจ้าตัดใจได้หรือ”
“นางไม่ใช่คู่รักตั้งแต่วัยเยาว์ของข้า แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็เห็นนางเป็นน้องสาว ทว่านั่นเป็นเรื่องราวในอดีตไปแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย หันมาเอ่ยต่อว่า “เสี่ยวปัวร์ ชีวิตนี้ข้าก็รู้สึกเสียดายน้อยครั้งยิ่งนัก ทว่าย่อมรู้สึกเสียดายแน่อยู่แล้ว เพียงแต่หากเอ่ยถึงความเสียดายขึ้นมาจริงย่อมมิใช่เสียดายนางเป็นแน่ เจ้าจะลองทายหรือไม่ว่าข้าเสียดายผู้ใดกัน?”
“เจ้าเล่นเสียงสัมผัสหรือ? คำว่าเสียดายมากมายขนาดนี้ฟังแล้ววิงเวียนศีรษะ” จิ่งเหิงปัวสะบัดมือออกทันที ยิ้มแย้มปรีดาสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า
เทียนชี่ทำหน้าทะเล้นใส่เหยียลี่ว์ฉี ใช้ริมฝีปากเอ่ยว่า ‘รักเขาข้างเดียว’
เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม ยืนกอดอกมองดูเงาด้านหลังที่เดินไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวของจิ่งเหิงปัว ภายใต้สีหน้าเกียจคร้านท่วมท้นด้วยความเปล่าเปลี่ยวเจือจาง
พอจิ่งเหิงปัวกลับมาถึงโรงเตี๊ยม นางก็ล้างเครื่องสำอางออกแล้วนอนหลับไปตื่นหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นจึงตื่นขึ้นมาแต่งหน้าอีกครั้ง อยากจะไปคุยกับเจ็ดสังหารสักหน่อย
ไม่ได้คุยว่าต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือ แม้พวกเฮฮาเจ็ดคนนี้จะมีวรยุทธ์เก่งกาจ แต่กลับเป็นจอมทำลายล้าง ทำได้อย่างมากก็แค่ช่วยเหลือในกรณีเร่งด่วนในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น หากใช้ให้ดำเนินแผนการอย่างเป็นรูปธรรม ย่อมไม่ได้เป็นอันขาด
จิ่งเหิงปัวคิดอยู่ว่ามีวิธีอะไรที่จะทำให้พวกเขายอมร่วมมือกับแผนการของนางอย่างเป็นระเบียบเงียบสงบจนสำเร็จเสร็จสิ้นได้ เดินไปไม่ทันถึงห้องของเจ็ดสังหารก็พบว่าห้องของพวกเขาแถวนั้นว่างเปล่าทั้งแถว พอถามเสี่ยวเอ้อร์ เขาก็เอ่ยตอบออกมาว่าแขกหลายห้องนั้นออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เอ่ยว่าค่าเดินทางไม่พออะไรเช่นนั้น จะออกไปแสดงกายกรรมเสียหน่อย
จิ่งเหิงปัวกุมขมับ…ช่วงนี้ค่าเดินทางเพียงพออยู่แล้ว นิสัยอยู่ไม่สุขของเจ้าคนพวกนี้คงกำเริบขึ้นมาจนต้องไปก่อเรื่องอีกแล้วสินะ!
นางถามจนได้ความว่าพวกเขาไป ‘แสดงฝีมือกายกรรม’ ที่ถนนหนานเฉวียนที่คึกคักที่สุด จิ่งเหิงปัวจึงเก็บข้าวของเตรียมจะออกไปดูบ้าง
จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยห้ามปรามไว้เนื่องจากต้องการให้นางพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าด้วยอาการบาดเจ็บของตนเองจะพักผ่อนหรือไม่นั้นก็ไม่แตกต่างกัน อย่างไรเสียตอนอาการควรกำเริบก็ไม่ยอมกำเริบให้เป็นเวลา ตอนอาการไม่กำเริบร่างกายก็เป็นเหมือนปกติ เจ็ดสังหารเอ่ยว่านางแค่ใช้ความสามารถในการหายตัวและควบคุมสิ่งของมากเกินไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นใช้เท่าที่จำเป็นก็พอแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งเมื่ออาการกำเริบ พลังของยารักษาที่เทียนเซียงจื่อเก็บซ่อนไว้จะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน นางรู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่ยาพิษออกฤทธิ์ พลังการปกป้องร่างกายของเทียนเซียงจื่อจะแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ นับเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
เมื่อจิ่งเหิงปัวเก็บกวาดจัดการตนเองเสร็จแล้ว ก่อนออกไปข้างนอก นางก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ควานแหวนที่เหยียลี่ว์ฉีมอบให้นางออกมาจากในห่อผ้าเอามาสวมไว้
ด้วยเพราะเฟยหลัวกลับมาแคว้นเซียงแล้ว เจ้าหมาโง่กับเฟยเฟยจึงถูกบังคับให้อยู่แต่ในโรงเตี๊ยม อย่างไรเสียตอนที่นางอยู่ที่ตี้เกอนั้น สัตว์เลี้ยงข้างกายสองตัวนี้ก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ขุนนางสำคัญ
เจ้าหมาโง่จำเป็นต้องกะพริบตาปริบๆ อยู่กับเฟยเฟยอย่างโศกเศร้า จิ่งเหิงปัวหวังว่ากลับมาคงมองเห็นขนนกของมันยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์
จิ่งเหิงปัวพาจื่อหรุ่ย ยงเสวี่ย เหยียลี่ว์ฉีและเทียนชี่แบ่งออกเป็นสามกลุ่มพากันออกจากโรงเตี๊ยม แล้วแสร้งทำเป็นต่างคนต่างไม่รู้จักกันเช่นเดิม
เดินยังไม่ทันถึงถนนหนานเฉวียนก็เดินต่อไปไม่ได้แล้ว
เส้นทางถูกฝูงชนที่กรูกันเข้ามาขวางเอาไว้
“ข้างหน้ามีการแสดงน่าชมนัก!”
“รีบเข้าไปดูสิ!”
“การแสดงแปลกใหม่ใดกันหรือ การแสดงกายกรรม? บังคับสัตว์? ข้าก็เห็นจนเบื่อหน่ายแล้ว!”
“ไม่ใช่ ขายคนต่างหาก!”
“โอ้ สิ่งนี้แปลกใหม่ ต้องไปดูเสียหน่อย!”
เสียงผู้คนทยอยพุ่งเข้าไปตามถนนหนานเฉวียนดุจกระแสน้ำพัดผ่านทีละคลื่น จิ่งเหิงปัวฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ…ขายคนหรือ?
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็ตบศีรษะครั้งหนึ่ง
พวกเฮฮาเจ็ดคนนั้นคงไม่ได้คิดแผนหลอกล่ออะไรออกอีกแล้วหรอกนะ!
แต่เดิมนางไม่อยากไปร่วมครึกครื้นกับคนหมู่มาก คราวนี้ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าไม่สบายใจ ได้แต่ไหลตามกระแสคนไปข้างหน้า พอเงยหน้าโดยไม่ตั้งใจก็มองเห็นว่าบนโรงน้ำชาแห่งหนึ่งข้างหน้านั้น มีคนผลักบานหน้าต่างเปิดออกเสียงดังพลั่ก กำลังมองลงมาข้างล่างอย่างแปลกใจ เหมือนเป็นเด็กผู้หญิงอายุน้อย จากนั้นก็มีผู้ชายเดินมาข้างกายนาง เอื้อมมือปิดหน้าต่างคล้ายกลัวนางถูกใครมองเห็น
จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ทันทีว่าเงาร่างผู้ชายนั้นแลดูคุ้นตา
เพียงแค่แวบเดียว จากนั้นนางก็ถูกหอบม้วนเข้าสู่กระแสมนุษย์ แทบจะไม่ต้องเดินเองก็ถูกผลักมาถึงทางแยกหนานเฉวียนอย่างรวดเร็วแล้ว แม้อยู่ห่างไกลก็ยังได้ยินเสียงกลองหลัวกู่[1] ซ้ำยังได้ยินลูกคอปานฆ้องแตกนั่นของเอ่อร์ลู่
“ขายพี่ชายน้องชายจ้า! ขายพ่อรูปงามจ้า! พ่อรูปงามเลิศล้ำโลกหล้าจริงแท้แน่นอน หนึ่งตำลึงหนึ่งคืนจ้า!”
จิ่งเหิงปัวสำลักดังพรืด จูงจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยไว้ ร้องว่า “ไป”
พวกเฮฮาฝูงนี้ทำตัวไม่เข้าท่าอีกแล้ว ขายอะไรไม่ขาย คาดว่าคนไหนซื้อไปคนนั้นคงต้องดวงซวย นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย
แต่ว่านางเดินออกไปไม่ได้แล้ว ผู้คนกรูกันเข้ามามากยิ่งขึ้น ซ้ำยังมีสตรีเบียดเสียดเข้ามาด้วยไม่น้อย มองดูพี่ชายน้องชายเจ็ดคนอย่างสนใจยิ่งนัก
แคว้นเซียงมีสตรีค่อนข้างมากโดยแท้ เล่ากันว่ายามสมัยโบราณเรียกว่า ‘แคว้นหอมหวน’ ชื่อแคว้นเซียงได้มาจากพระนามของกษัตริย์องค์แรก กษัตริย์องค์แรกคือขุนพลหญิงอันดับหนึ่งข้างกายจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น ตำแหน่งสูงส่งยิ่งนัก แคว้นเซียงตั้งอยู่ใกล้ตี้เกอ ซ้ำยังมีความสัมพันธ์อันดีกับหลายแคว้นหลายชนเผ่าที่เหลืออยู่ โอกาสดีทำเลดีราษฎร์สามัคคี หลังจากสะสมกำลังทีเล็กละน้อยนานหลายปี เศรษฐกิจพัฒนาเป็นอันดับหนึ่งของหกแคว้น ปกติแล้วสถานที่ซึ่งเศรษฐกิจค่อนข้างแข็งแกร่ง ราษฎรมักค่อนข้างมีความคิดก้าวหน้า เรื่องนี้มองเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่เฟยหลัวสมรสกับสามีสามคนแล้วยังสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงส่งบนสนามการเมืองแคว้นเซียงได้
ได้ยินว่าแคว้นเซียงมีสตรีไม่น้อยสืบทอดกิจการของตระกูล ทำการค้าเล่นการเมือง ตำแหน่งค่อนข้างสูงส่ง
ฉะนั้นยามนี้จึงมีสตรีเบียดเสียดเข้ามาไม่น้อย ต่างชี้ไม้ชี้มือไปบนเวทีด้วยความสนใจไม่เบา
จิ่งเหิงปัวมองดูกลางลานกว้าง นอกจากอีชีแล้ว พี่ชายน้องชายอีกหกคนต่างคนต่างตั้งอกตั้งใจแต่งตัว ลูบศีรษะทำท่าทาง แสดงท่วงท่าเตะต่อยงดงามบ่อยครั้งอยู่กลางลานกว้าง ซ้ำยังแย่งกันโปรยเสน่ห์อย่างชัดเจนยิ่งนัก เจ้ารัวหมัดใส่ข้ากระบวนท่าหนึ่ง ข้าจะใช้วิชาตัวเบากระบวนท่าหนึ่ง เขาจะแสดงกระบองสองท่อน อีกคนหนึ่งฟาดฟันแสงกระบี่แวววาวดุจคลื่นบริสุทธิ์ กวัดแกว่งกลางลานกว้างจนสายลมหวีดหวิว เรียกเสียงกรีดร้องหลายระลอกจากเหล่าแม่นางเหล่าหนุ่มน้อย
จิ่งเหิงปัวสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าเจ็ดคนนี้พนันอะไรกันอีกแล้วใช่หรือไม่…อย่างเช่น เทียบกันว่าใครขายได้ราคาสูงสุด รวมทั้งเทียบกันว่าใครได้เงินที่หลอกลวงมาในตอนสุดท้ายเยอะมากที่สุดอะไรทำนองนั้น
นางยังสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าเฮฮาหลายคนนี้ขายตนเองจะขายออกด้วยหรือ?
เพียงแต่หลังจากนางได้มองดูเจ็ดสังหารในวันนี้โดยละเอียดในที่สุด จำเป็นต้องยอมรับว่าอาจจะขายได้ เป็นไปได้ว่าจะขายได้ คาดการณ์ว่าจะขายได้ ขายออกอย่างแน่นอน
ราคาน่าจะไม่เลวเลยด้วย
เมื่อก่อนทุกครั้งที่พบเจอเจ็ดสังหาร ถ้าพวกเขาไม่โหวกเหวกโวยวายก็ต้องกำลังก่อเรื่อง นางไม่มีอารมณ์จะพินิจพิจารณาพวกเขาอย่างเต็มที่เลย ตอนนี้พอมองอย่างจริงจังถึงกับตกใจว่า…ข้างกายพี่มีพ่อรูปงามเยอะแยะขนาดนี้เลย!
เอ่อร์ลู่มีผิวกายสีทองแดง คิ้วเรียวยาวจอนผมหนา ดวงตาหงส์ริมฝีปากบาง ทั่วร่างท่วมท้นเข้มข้นด้วยกลิ่นอายของบุรุษ
ซานอู่แลดูบอบบางสุภาพเรียบร้อย ลักษณะท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยน พอไม่เอ่ยวาจาแล้วมีท่าทางเฉกเช่นบัณฑิตคงแก่เรียน
ซือซือคือผู้อ่อนวัยที่ผอมเพรียวปานเทพบุตร แม้ไม่ได้อายุน้อยสุด ทว่าดูท่าทางอายุน้อยสุด ผิวกายขาวนวลเนียนแปลกประหลาด นัยน์ตาซ่อนแผงด้วยสีม่วงเจือจางคล้ายมีเชื้อสายต่างแคว้น
อู่ซานเป็นพระปลอมหน้าตาสะอาดหมดจด แก้มชมพูผมดำขลับเปล่งประกาย เล่ากันว่าเขาเอ่ยว่าเขาเสียดายเส้นผมงดงามเลิศล้ำทั่วหล้าจึงไม่ได้โกนศีรษะแม้ออกบวชเป็นพระ เขาคือคนที่ดูท่าทางผ่อนคลายที่สุดในหมู่เจ็ดคน
ลู่เอ่อร์รูปร่างสูงใหญ่กำยำ จมูกตรงโด่งริมฝีปากได้รูป ทรวดทรงทั่วร่างดุจดั่งรูปสลัก เอวผอมเพรียวขาเรียวยาว แลดูมีเสน่ห์โดยกำเนิด หากอยู่ในยุคปัจจุบันเป็นพวกนายแบบระดับโลกได้เลย
ชีอี้มีอายุมากสุด ผมยาวสยายผูกสายผ้าครามรัดหน้าผาก ไว้หนวดรำไรเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อกระชากวิญญาณ ยามมองผู้อื่นแม้ไม่ยิ้มแย้มยังดูเย้ายวน ทั่วร่างเปี่ยมด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวแบบพวกเสเพลสุดขอบฟ้าตกอับจนต้องแบกไหสุราท่องยุทธภพพวกนั้น ดึงดูดสาววัยทองผู้เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวทุกนางได้เป็นที่สุด
ต่างคนต่างมีเอกลักษณ์ นับว่าเป็นรูปโฉมโดดเด่นทั้งสิ้น แม้ว่ายังด้อยกว่าสองมหาราชครูผู้งดงามปานบุปผาหิมะโปรยปราย ทว่าหากอยู่ท่ามกลางฝูงชนธรรมดา แต่ละคนจะโดดเด่นกว่าผู้อื่น พบเจอได้ยากยิ่งกว่านั้นคือผลลัพธ์น่าอัศจรรย์เมื่อพวกเขาอยู่รวมกัน
เพียงแต่ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เอ่ยวาจา
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรวบรวมทั้งเจ็ดประเภทนี้บนโลกนี้ได้ ชื่อยังบังเอิญขนาดนั้น ต้องเป็นรสนิยมยอดแย่ของท่านอาจารย์จื่อเวยแน่นอน เจ้าผู้ชราคนนี้คงไม่ใช่พวกรักเพศเดียวกันหรอกกระมัง?
ขณะที่นางเหม่อลอยอยู่ตรงนี้ ข้างล่างเวทีทางนั้นก็เริ่มตะโกนราคาแล้ว
[1] กลองหลัวกู่ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี ลักษณะคล้ายกลองสีแดง ใช้ไม้ตีสองมือ