เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 9 - 1 ได้พบกัน
จิ่งเหิงปัวกะพริบกายออกมาจากบ่อน้ำ มองดูรอบด้าน เห็นบนพื้นเละเทะระเกะระกะ ทุกหนทุกแห่งบนละอองธุลีหนาหนักคือรอยเท้ายุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ซ้ำยังมีอาวุธกับลูกธนูร่วงหล่นเกลื่อนกลาด ดูท่าทางอีชีคงได้ต่อสู้กับองครักษ์แคว้นเซียงตรงนี้
เพียงแต่บนพื้นดูเหมือนจะไม่มีรอยเลือดอยู่เลย นางรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่าในหมู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮา อีชีไว้ใจได้มากยิ่งขึ้นแล้ว น่าจะเป็นเพราะอยู่ด้วยกันกับตนเองมานาน
นางควานหาเสื้อผ้าของตนเองจากภายในตำหนักหลวงที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ออกมาสวมใส่ให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบยาออกมากินเข้าไป นางรับรู้ถึงความรู้สึกอยู่สักพัก ภายในร่างกายไม่มีความรู้สึกที่ระเบิดคลุ้มคลั่งจากยาวิเศษเม็ดเดียวทะลุถึงเส้นลมปราณเริ่นและตูจนกลายเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้านับแต่นั้นที่นิยายกำลังภายในมักกล่าวไว้ ซ้ำยังไม่มีสิ่งที่เรียกกันว่ากระแสปราณพรั่งพรูหรือของชั้นสูงเลิศล้ำจำพวกกําลังภายในยอดเยี่ยมขึ้นมากะทันหันด้วย ในทางตรงกันข้าม ภายในร่างกายยังรู้สึกเหือดแห้งและร้อนผ่าวเล็กน้อย ไม่ใช่ความรู้สึกที่สบายตัวนัก โชคดีว่าพิษที่กำเริบขึ้นมากะทันหันนั้นถูกสยบลงไปแล้ว ไม่รู้ว่ายาเม็ดนั้นก็ขัดแย้งหรือว่าช่วยเหลือพิษของตนเองกันแน่
แต่อย่างไรก็ตามนางไม่เสียใจที่ได้กินยานั้น แค่เห็นสภาพคลุ้มคลั่งหลังจากที่ได้กินยาเมื่อครู่แล้ว ถ้าให้ขันทีคนนั้นกินเข้าไปแบบนั้นจริง ตอนนี้คนที่โชคร้ายก็คงต้องเป็นนาง
หลังจากนี้ต้องถามชีอี้สักหน่อย กำจัดอาการตกค้างให้หมดไป
นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจว่าจะยังไม่ออกจากวัง แท้จริงแล้วในขั้นตอนการป่วนวังทั้งหมดไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนาง ยงซีเจิ้งอยากจัดการนางเป็นแค่การกระทำส่วนตัว ตอนนี้ถูกเหอหว่านรู้เข้าแล้ว นางอยู่ในวังกลับจะได้รับการปกป้องจากเหอหว่าน
ไม่รู้ว่าตอนนี้เหยียลี่ว์ฉีกับเทียนชี่ก่อเรื่องจนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
นางไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในวังกษัตริย์แคว้นเซียงเลย แต่หลังจากหายตัวเจ็ดแปดครั้งก็หาวังบรรทมของเหอหว่านจนเจอ ดูท่าทางคงเกิดความวุ่นวายไปรอบหนึ่งแล้วกระมัง ดอกไม้ใบหญ้าบนเส้นทางหักสะบั้น แสงตะเกียงภายในตำหนักสว่างไสว เหอหว่านสวมชุดนอนพิงประตูจ้องมองข้างนอก ความตกใจและความโกรธเคืองบนใบหน้ายังไม่จางหายไป มองเห็นจิ่งเหิงปัวปรากฏกายจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กุมมือของนางไว้พลางเอ่ยว่า “นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่? เหตุใดข้านอนหลับเพียงตื่นเดียวก็ถูกจับตัวไว้แล้ว พอกะพริบตาอีกครั้งเจ้าก็หายไปด้วย?”
“คู่หมั้นยี่สิบสี่ยอดกตัญญูผู้นั้นของเจ้าล่ะ?” จิ่งเหิงปัวเหลียวซ้ายแลขวา กลัวว่ายงซีเจิ้งจะโผล่พรวดออกมา
“ใครจะไปรู้ว่าเขาหายไปไหนแล้ว!” เหอหว่านเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์เสียว่า “เขาลงมือต่อสู้กับคนที่จับตัวข้าเหล่านั้นครั้งใหญ่ ต่อสู้จนกลิ้งเกลือกออกจากวังไปแล้ว อีกทั้งคู่หมั้นคนนั้นของเจ้าก็กระโจนออกมาจากภายในห้องมืดปั่นป่วนไปครึ่งพระราชวัง ทำให้เสด็จพ่อข้าเดือดดาลยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะว่าข้าโป้ปดมดเท็จอำพรางไว้ ค่ำคืนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดอยู่อย่างสงบสุขเลย”
“ผู้ใดใช้ให้เจ้าแย่งเขามาล่ะ? ยอมแย่งคนตาบอดดีกว่าแย่งอีชี” จิ่งเหิงปัวโพล่งปากตอบออกไป โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูท่าทางเจ้าหลายตัวนั้นคงไม่เป็นไรสินะ พวกเขาอาจจะยังดักซุ่มอยู่ในวังแห่งนี้ ด้วยความสามารถของพวกเขาคงปลอดภัยไร้ปัญหา
“ค่ำคืนนี้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ พรุ่งนี้ข้าจะตื่นนอนได้หรือไม่เนี่ย…” เหอหว่านจูงมือของนางเดินเข้าไปข้างใน พร้อมอ้าปากหาวไปพลาง
“คู่หมั้นยี่สิบสี่ยอดกตัญญูของเจ้าผู้นั้น เขาก็เฝ้ายามอยู่บนหลังคาตำหนักของเจ้าท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เขาคิดว่าข้ามีเจตนาร้ายแอบแฝง จึงอยากจะสังหารข้า” จิ่งเหิงปัวหัวเราะออกมา แล้วกล่าวต่อไปว่า “ข้าว่านะเหอหว่าน แท้จริงแล้วคู่หมั้นคนนี้ของเจ้านับได้ว่ามีความรักสลักฝังลึกต่อเจ้าโดยแท้ พอเปรียบเทียบกับจี้อีฝานที่ไม่กล้าทำสิ่งใดทั้งนั้น เจ้าอาละวาดอยู่ที่นี่จนฟ้าถล่มยังไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ข้ารู้สึกว่าดีกว่าเป็นร้อยเท่า เจ้าจะไม่ลองพิจารณาสักหน่อยจริงๆ หรือ?”
เหอหว่านสะบัดมือของนางทิ้งโดยพลัน
“เดิมทีข้านึกว่าเจ้าจะแตกต่างจากผู้อื่น แท้จริงแล้วเจ้าเอ่ยได้เพียงวาจาธรรมดาเหล่านี้เช่นกัน” นางหน้านิ่วคิ้วขมวด เอ่ยว่า “ทำดีกับข้าเป็นหมื่นเท่าแล้วอย่างไรเล่า? ข้าก็ไม่ชื่นชอบทั้งนั้น ข้าเกิดมาบนโลกนี้เพียงครั้งเดียว หากแม้ไม่อาจครองคู่กับคนที่ข้าชื่นชอบได้ มีชีวิตอยู่ยังมีความหมายอะไร?”
“เป็นเด็กไร้เดียงสาจริงด้วย” จิ่งเหิงปัวบ่นอุบอิบว่า “บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ได้อยู่ด้วยกันกับคนที่ตนเองชอบ? ขนาดสังคมนั้นของเรา แค่อยากจะเลือกอาชีพที่ชอบยังทำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับมนุษย์ตัวเป็นๆ ได้เจอคนที่ชอบเจ้าสักคนก็แต่งๆ ไปเถอะ ระวังนะคนนั้นที่เจ้าชอบจะทิ้งเจ้าไป”
“เจ้าพึมพำว่าอะไรกัน?”
“ข้าเอ่ยว่าสิ่งที่เจ้าเอ่ยมาถูกต้องยิ่งนัก ชั่วชีวิตคนเรานี้ต้องอยู่ด้วยกันกับคนที่ตนเองชื่นชอบให้ได้ แม้ว่าร่างจะเหลวกระดูกจะแหลกทุกผู้คนตีตัวออกหากด้วยเหตุนี้ ทว่าต้องยืนหยัดต่อไป ยังมีสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่าความชื่นชอบอีก?”
“เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้าเอ่ยสิ่งตรงข้ามกัน?”
“จริงแท้แน่นอน”
“เจนนี่” เหอหว่านเรียกชื่อของนาง คว้ามือของนางไว้โดยพลัน
จิ่งเหิงปัวคิดอยู่ว่าชื่อภาษาอังกฤษของตนเองไพเราะเหลือเกินพลางหันหน้ามาร้องว่า “หืม?”
“เจนนี่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูคล้ายยิ้มแย้มสบายใจ ทว่าแท้จริงแล้วมีเรื่องในใจลึกล้ำยิ่งนัก คงต้องลึกล้ำเหลือเกิน คงต้องเจ็บปวดเหลือเกิน” เหอหว่านทาบมือลงตรงหน้าอกของนาง เอ่ยอย่างจริงจังว่า “จนทำให้เจ้าไม่ปรารถนาแม้กระทั่งหวนรำลึกหรือเผชิญหน้า หัวเราะฮิๆ ฮ่าๆ ใช้รอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าตลอดเวลามาอำพรางบาดแผลใหญ่โตภายในใจ” นางเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับเจ้า แต่ข้าก็รู้สึกได้ว่าตรงนี้มีโพรงใหญ่โต สายลมทะลุผ่านเปล่งเสียงดังกังวาน”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะขึ้นมา
“พวกเราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วยาม เจ้ายังมองออกเลยว่าข้ามีโพรงใหญ่โต มีความเจ็บปวดลึกล้ำ เห็นได้ชัดว่าความเจ็บปวดนี้ช่างตื้นเขินยิ่งนักนะ จุ๊บๆ”
“ไม่ใช่ เพียงแต่ข้าความรู้สึกไวยิ่งนัก ข้าอยู่กับไข่มุกนั้นมานานหลายปี พอเวลาผ่านไปนานเข้า ข้าคล้ายรับรู้ได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกภายในใจของผู้อื่น ประดุจข้ารู้ว่ายงซีเจิ้งคล้ายชื่นชอบข้า ทว่าไม่แน่ว่าจะมีความรู้สึกลึกซึ้งขนาดนั้นเฉกเช่นที่เขาแสดงออกมา ข้ารู้เช่นกันว่าอีฝานชื่นชอบข้า ไม่ได้เย็นชาขนาดนั้นเฉกเช่นที่เขาแสดงออกมา”
จิ่งเหิงปัวไม่กล่าวอะไร รู้สึกว่าคนที่อ่านใจได้อะไรแบบนี้น่ารำคาญที่สุดเลย
“เจนนี่” เหอหว่านเอ่ยกับนางอย่างจริงใจกลางสายลมคืนเหมันต์ว่า “ต่างเอ่ยว่าใจคนเปลี่ยนง่าย ทว่าหากชื่นชอบด้วยใจจริง ใจคนย่อมไม่เปลี่ยนแปลงโดยง่ายดายเช่นนั้น เชื่อตนเอง เชื่อความรู้สึกที่แท้จริงด้วย ได้หรือไม่?”
“เจ้ายังเด็ก” จิ่งเหิงปัวลูบผมของนาง กล่าวว่า “ภายภาคหน้าเจ้าคงเข้าใจแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างบนโลกนี้แข็งแกร่งและชั่วร้าย ประหนึ่งล้อรถ พอหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน พอเคลื่อนไหวกลิ้งทับดังโครมครามตลอดทาง ต่อให้เป็นความรู้สึกที่เข้มแข็งมากเท่าใดต่างเป็นเพียงละอองฝุ่นใต้ล้อรถ…ฟ้าใกล้สว่างแล้ว นอนเถิด”
เหอหว่านคล้ายกำลังใคร่ครวญเรื่องใดอยู่ ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ไม่ได้เอ่ยวาจา สองคนกลับสู่วังบรรทมนอนหลับต่อไป ก่อนเหอหว่านใกล้จะเข้าสู่แดนฝัน จิ่งเหิงปัวถามออกมาว่า “แต่ก่อนเสด็จพ่อเจ้าชื่นชอบกลั่นยาอายุวัฒนะยิ่งนักใช่หรือไม่”
“ใช่เลย!” เหอหว่านยังคงไม่อำพรางน้ำเสียงทั้งเกลียดทั้งชังเอือมระอาแม้อยู่ในสภาพกึ่งสะลึมสะลือ เอ่ยว่า “มีอยู่พักหนึ่งเขาก็หมกมุ่นยิ่งนักอยู่ เลี้ยงดูนักพรตมากมายไว้ในวัง ทำพิธีกันเสียจนควันดำเป็นพิษ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกือบจะกราบไหว้นักพรตท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ แม้แต่ข้ายังต้องหลีกทางให้นักพรตผู้นั้น ภายหลังเป็นนักพรตผู้นั้นนั้นล่ะก่อเรื่องยั่วโทสะเสด็จพ่อ เขาสั่งประหารนักพรต ขับไล่นักพรตเต๋าทั้งหมด ปิดตำหนักกลั่นยา หลังจากนั้นมาไม่ได้กลั่นยาอีกเลย…”
จิ่งเหิงปัวร้องอืมออกมา ในใจคิดว่าคงจะเป็นเรื่องราวนักต้มตุ๋นกับคนถูกหลอกอีกเรื่องหนึ่ง สุดท้ายแล้วลำบากคนนอกเช่นนางนี้
“เหอหว่าน พรุ่งนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไร”
“จะทำอย่างไรได้? ยอมตายไม่ยอมแต่งกระมัง…” เหอหว่านถอนหายใจพึมพำว่า “ได้ยินมาว่าเดิมทีราชครูกงกับราชินีเป็นคู่กัน ผลสุดท้าย…พวกเขาต่างไม่สมหวัง ข้ารู้สึกว่าข้ายิ่งไม่มีความหวังแล้ว…”
นางถอนหายใจออกมาพลางซุกศีรษะเข้าไปในผ้าห่ม คล้ายพอไม่ครุ่นคิด ความกลัดกลุ้มพลันสูญสลาย
จิ่งเหิงปัวหันหน้ามองแสงจันทร์เยือกเย็นข้างนอกหน้าต่าง
ไม่ใช่ พวกเจ้ารักกันอย่างแท้จริง รักแท้ทั้งหมดควรจะได้ครองคู่สมหวัง
…
นอนกลิ้งไปกลิ้งมาตลอดทั้งคืน เมื่อเหอหว่านกับจิ่งเหิงปัวตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็สว่างสดใสขึ้นมาแล้ว
ยามที่เหอหว่านลุกขึ้นนั่งนั้นนางยังไม่ได้ได้สติ ลูบคลำผมอยู่นาน สีหน้างงงัน
จิ่งเหิงปัวมองเห็นนางคล้ายมองเห็นตนเองเมื่อหลายเดือนก่อน อยากจะหัวเราะแต่ในใจเจ็บปวดขึ้นมากะทันหัน
สายตาของเหอหว่านกวาดผ่านนาฬิกาทราย ลุกขึ้นมาโดยพลัน ดวงตาแข็งทื่อ แล้วร้องว่า “แย่แล้ว ซวยแล้ว! สายแล้ว!”
“อะไรหรือ?” จิ่งเหิงปัวรู้สึกประหลาดใจ คิดอยู่ว่างานเลี้ยงในวังเริ่มขึ้นตอนเย็นนะ ต่อให้ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวก็ควรทำตอนบ่าย
ทว่าเหอหว่านไม่ทันได้บอกกล่าวนาง กระโจนลงจากเตียงแล้วรีบร้อนล้างหน้าบ้วนปากแต่งกาย ซ้ำยังเร่งเร้านางอย่างต่อเนื่อง จิ่งเหิงปัวรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง บนใบหน้านางมีเครื่องสำอาง จะล้างออกแล้วแต่งหน้าใหม่อีกครั้งต่อหน้าเหอหว่านดีหรือไม่? แต่ถ้าไม่ล้างหน้า เหอหว่านจะต้องสงสัยแน่นอนเช่นกัน
แต่ก่อนถ้าแต่งหน้าบนใบหน้า นางจะต้องล้างหน้าจนสะอาดสะอ้านถึงจะนอนหลับได้ ด้วยกลัวว่าจะทำร้ายผิวพรรณ แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้คล้ายเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้ว
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงตัดสินใจล้างหน้าทันที นางชอบเหอหว่านมาก สังหรณ์ว่านางคนนี้เป็นแม่นางคนดี
น้ำร้อนพรมลงบนใบหน้า ร้อนผ่าวจนทั่วร่างของนางสั่นสะท้าน ตอนนี้นางชอบความรู้สึกสดชื่นแบบนี้เหลือเกิน
พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง นางก็มองเห็นเหอหว่านกำลังจ้องมองนางอย่างงงงัน
นางยิ้มให้เหอหว่าน
“โอ้สวรรค์…” ภายในเสียงเหอหว่านเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เอ่ยว่า “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะงดงามเช่นนี้! เหตุใดเจ้าต้องประทินโฉมตนเองให้อัปลักษณ์ด้วยเล่า? ทว่าฝีมือการประทินโฉมของเจ้ามหัศจรรย์ยิ่งนัก มองแล้วแตกต่างจากตัวเจ้าเองขนาดนี้!”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มอย่างจริงใจมากยิ่งขึ้น
ปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้หญิงที่มีต่อหน้าตางดงามของคนอื่นสามารถทดสอบจิตใจได้ด้วย นางพึงพอใจกับท่าทางของเหอหว่านอย่างยิ่ง
“ภายหลังหากมีโอกาสข้าจะสอนเจ้า” นางยืมชาดแดงแป้งร่ำครบชุดจากเหอหว่าน แต่งหน้าอย่างเรียบง่ายอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง ในกระจกก็ปรากฏเป็นแม่นางผู้มีดวงตาเรียวยาวผิวพรรณขาวซีด
เหอหว่านคล้ายร้อนใจยิ่งนัก กระหืดกระหอบพลางจูงนางออกนอกวังไปแล้ว ยามอยู่ในวังนางคล้ายมีอิสระยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวอยากออกจากวังเช่นกัน มองดูว่าพวกเหยียลี่ว์ฉีอยู่ที่ไหนกันแน่ นางยังต้องปรึกษาหารือเรื่องราวตอนกลางคืนกันสักหน่อย
เห็นท่าทางร้อนใจของเหอหว่านแล้ว จิ่งเหิงปัวคิดว่านางคงต้องไปหาจี้อีฝานอย่างแน่นอน อยากพยายามเป็นครั้งสุดท้าย พอดีที่นางก็อยากพบกับเจ้าคนนี้เช่นกัน อย่างน้อยที่สุดต้องชำระแค้นที่ถูกผลักลงจากศาลบรรพชนคืนนั้นให้ได้
ออกนอกวังได้ไม่นาน นางก็มองเห็นเหยียลี่ว์ฉี เทียนชี่และอีชีทักทายนางตามสัญญาณมือที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า หลายคนนั้นยืนอยู่ห่างไกล สีหน้าที่มองนางแปลกประหลาดเล็กน้อย จิ่งเหิงปัวไม่ได้คิดมากเช่นกัน ขึ้นรถตามเหอหว่านไป
ตลอดทางเหอหว่านตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก ท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจยังมีความกระวนกระวาย ท่ามกลางความกระวนกระวายยังมีความตึงเครียด สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมามากมายหลากหลายสีสัน จิ่งเหิงปัวแอบหัวเราะอยู่ในใจ คิดว่าแม่นางน้อยยิ่งบาดเจ็บยิ่งแข็งแกร่งเสียจริง เมื่อวานเจอชายคนรักโจมตีครั้งใหญ่ขนาดนั้น วันนี้ฟื้นคืนชีพเหมือนเดิมอีกแล้ว