เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 268 สูญหาย
Sign in Buddha’s palm 268 สูญหาย
“นี่คือกายเนื้อที่ผ่านการแปรสภาพมาหกครั้ง?”
ซูฉินกล่าวเสียงต่ําออกมาในขณะที่แปรสภาพร่างกายจนเป็นผลสําเร็จ
ในตอนนี้ซูฉันรู้สึกว่าร่างกายของเขาได้เข้าสู่ระดับใหม่จนหมดสิ้น เพียงการขยับกายก็ดูเหมือนจะทําลายได้ ทุกสิ่งอย่าง หากซูฉันต้องเจอกับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณอีกครั้ง คงทําลายแสงพุทธคุณได้ในไม่เกินสิบหมัด
“ร่างกายที่แปรสภาพมาหกครั้งยังแข็งแกร่งเพียงนี้ แล้วร่างกายที่แปรสภาพเจ็ดครั้งจะแข็งแกร่งขนาด ไหน?”
ท่าทีของซูฉันเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
หากเป็นเมื่อก่อน การแปรสภาพร่างกายหกครั้งก็เป็นขีดจํากัดของเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้าต่อไป ในช่วงสั้นๆ เว้นแต่จะฝึกภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนถึงความสําเร็จระดับเล็ก และใช้พลังเพลิงตะวันของอีกา ทองคําสามขามาขัดเกลาร่างกายอีกครั้ง ไม่เช่นนั้น การแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดก็จะต้องถูกเลื่อนไปอย่าง ไม่มีกําหนด
แต่ตอนนี้มีแหล่งกําเนิดธาตุดินอยู่ใต้ฝ่าเท้า ท่าให้ทุกสิ่งแตกต่างออกไป
ถ้าซูฉันดูดกลืนพลังงานทั้งหมดจากแหล่งกําเนิดธาตุดิน อาจจะไม่สามารถกล่าวได้ว่าสามารถบรรลุการแปร สภาพร่างกายครั้งที่เจ็ด แต่อย่างน้อยก็มีความหวัง
การแปรสภาพร่างกายเจ็ดครั้ง จะมีร่างกายที่ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เทียบเท่ากับ เซียนเทพปฐพี่จริงๆ แต่อย่างน้อยก็สามารถกวาดล้างตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
“ฝึกฝนต่อดีกว่า”
ซูฉันค่อยๆ หลับตาลง สูดลมหายใจเข้า
ซูม
พลังจากแหล่งกําเนิดธาตุดินนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เปรียบเสมือนวาฬตัวใหญ่กําลังดูดกลืนน้ําเข้าไปในท้อง พลังงานจํานวนมากถูกดูดเข้าไปทั้งทางปากและทางจมูกของซูฉิน พลังงานจากแหล่งกําเนิดธาตุดินยังคงหล่อเลี้ยง เลือดเนื้อของซูฉินในทุกสัดส่วนอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้น เกลียวพลังงานธาตุดินก็ปรากฏขึ้น ซูฉันดูดกลืนอย่างไม่บันยะบันยัง พลังธาตุดินที่ซูฉินดูดกลนมาทั้งหมดนี้เกิดมาจากแหล่งกําเนิดธาตุดินที่สั่งสมมานับร้อยนับพันปี หากมนุษย์ธรรมดากลืนพลังงานธาตุด นทั้งหมดนี้เข้าไป คงไม่อาจเลี่ยงสภาพที่ต้องทรุดร่างลงกลายเป็นแอ่งโคลน
แต่หากคนผู้นั้นโชคดีมากพอ และไม่ได้ปล่อยให้พลังงานธาตุดินอันน่าสะพรึงกลัวนี้มาครอบคลุมเนื้อหนัง แต่ดูดซับมันไว้ได้อย่างสมบูรณ์ มันก็เพียงพอแล้วที่จะผลักดันบุคคลนั้นไปเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และอาจจะทําได้แม้กระทั่งผลักดันคนผู้นั้นข้ามผ่านโซ่ตรวน เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้เลย
แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการจะใช้พลังงานธาตุดินไปกับเรื่องเล็กน้อยอย่างการสร้างตํานานยุทธขึ้นมา
หนึ่งเป็นเพราะผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ไม่สามารถรับพลังงานธาตุดินได้ และประการที่สองคือ การใช้พลังงานธา ตุดินอย่างถูกต้องควรเก็บไว้ให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดสามารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้
แม้ว่าจะมีตํานานยุทธอยู่นับพันนับหมื่น แต่พวกเขาก็ยังด้อยกว่าเซียนเทพปฐพี่เพียงคนเดียว
ดู HENTAI ได้ที่ hanimeza.com
พูดง่ายๆ คือ พลังงานธาตุดินแต่ละเส้นแต่ละแขนงก็เพียงพอที่จะสร้างตํานานยุทธขึ้นมาได้ และแหล่งกํา เนิดธาตุดินนี้ก็มีพลังงานธาตุดินมาจากแขนงแยกย่อยนับพันนับหมื่น?
ซูฉินเพียงผู้เดียวกลับดูดซับพลังงานธาตุดินอันแข็งแกร่งที่คนนับร้อยนับพันสามารถดูดซับได้เข้าไปแล้ว
หวิ่ง!!!
ซูฉันรู้สึกเพียง ร่างกายของเขาถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังงานธาตุดินที่แข็งแกร่งมาก ให้ความรู้สึกสบายอย่าง ไม่เคยพบมาก่อน พลังงานธาตุดินค่อยๆ เปลี่ยนแปลงร่างกายของเขาไป
จิตใจของซูฉินล่องลอย รู้สึกได้ถึงทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
“นี่คือแก่นทะเลปราณ?”
ความคิดของซูฉันคมชัด ขบคิดทุกอย่างด้วยความรอบคอบ
ทะเลปราณแห่งนี้ไม่ใช่ทะเลในโลกแห่งความเป็นจริง มันประกอบขึ้นจากพลังปราณอันไร้ที่สิ้นสุด อยู่ในมิ ติลึกล้ํา แม้ว่ากระแสพลังในทะเลปราณจะเงียบสงบ แต่ก็มีแก่นทะเลปราณอยู่จริงๆ เพียงแต่มันแอบซ่อนตัวอยู่
หากตํานานยุทธขั้นสูงสุดต้องการทําลายพันธนาการ สิ่งแรกที่ต้องทําคือสัมผัสให้ได้ถึงแก่นทะเลปราณ จากนั้นผสานมันเข้ามาในจิตใจ และดึงดูดพลังของทะเลปราณเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย
อย่างไรก็ตาม
พลังของทะเลปราณไม่สามารถตรวจจับเจอได้ที่นี้เลย แล้วการสัมผัสมันจะยากเพียงใด? แม้จะสามารถ สัมผัสได้จริงๆ ก็ยากนักที่จิตใจจะก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ภายในพื้นที่มิติ และทําการหลอมรวมเข้าไปได้
แต่ยามนี้ ซูฉันสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของทะเลปราณได้ด้วยความช่วยเหลือของแหล่งกําเนิดธาตุดิน
แน่นอน ซูฉินเพียงสัมผัสได้ หากเขาต้องการจะผสานจิตใจเข้าไปหามันจริงๆ ความสามารถของเขายังห่าง ไกลที่จะทํามันได้
ประการแรก เนื่องจากแหล่งกําเนิดธาตุดินยังไม่เติบโตเต็มที่ จึงไม่มีพลังเพียงพอที่จะผลักดันให้ซูฉินเข้าสู่ แก่นทะเลปราณ
ประการที่สองคือซูฉันไม่เคยคิดที่จะใช้แหล่งกําเนิตธาตุดินนี้เพื่อมาหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณ
มีทางเลือกที่ดีกว่า อาทิ ภาพดวงตะวันขนาดมหึมา
ทําไมฉันยังจะต้องเลือกแหล่งกําเนิดธาตุดินด้วย?
ขณะที่ซูฉันกําลังฝึกฝนอย่างชําๆ ภายในแหล่งกําเนิดธาตุดิน
บรรพชนหก บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าก็รออยู่ด้านนอกหุบเขาเล็กๆ อย่างเงียบๆ
แม้ว่าซูฉันจะไม่ได้ขอให้พวกเขาอยู่ที่นี่ แต่บรรพชนทั้งสามของวิหารหมื่นพุทธก็ยังคงปกป้องหุบเขาเล็กๆ แห่งนี้อยู่เพื่อให้แน่ใจว่าการปิดด่านฝึกตนของซูฉันจะไม่ถูกรบกวน
“พวกเจ้าจงจําไว้ นี่เป็นโอกาสอันดีของวิหารหมื่นพุทธเรา”
เมื่อบรรพชนหกเห็นว่าซูฉันไม่ได้มีเจตนาจะออกจากการปิดด่านนี้ในช่วงสั้นๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยัง บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้า แล้วกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “ผู้เป็นใหญ่ในโลกได้อวตารร่างลงมาที่นี่ ท่านมีประ สบการณ์มากมายทุกชนิด หากพวกเราคอยช่วยเหลือผู้เป็นใหญ่ในโลกให้บรรลุระดับขั้นได้ อนาคตข้างหน้าเมื่อ ท่านกลับสู่ตําแหน่งผู้เป็นใหญ่ในโลก จะต้องไม่ลืมวิหารหมื่นพุทธอย่างแน่นอน……..”
เมื่อบรรพชนหกกล่าวเช่นนี้ น้ําเสียงของเขาก็เผยให้เห็นถึงการเคารพบูชา
“ร่างอวตาร……
บรรพชนเจ็ดพยักหน้าเล็กน้อย
แม้ว่าระดับพลังที่ซูฉินจะแสดงให้เห็นตอนนี้จะยังไม่ถึงขอบเขตยอดอรหันต์ แต่พลังอํานาจนั้นสูงส่ง โดยเฉ พาะฝ่ามือสีทองในตอนสุดท้ายที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนดิน รวมไปถึงองค์ยูไลทองคําที่ชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือเอื้อมพสุธา ในความเป็นจริงจะมีมนุษย์ธรรมดาคนใดทําได้เช่นนี้ หากไม่ใช่ผู้เป็นใหญ่ในโลก?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าจะคาดเดาว่าซูฉินเป็นร่างอวตาร แต่พวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เดิมที่พุทธศาสนาก็ตระหนักถึงการเวียนว่ายตายเกิด ทั้งยังเข้าใจเส้นทางของสวรรค์และ โลกอยู่แล้ว
“บรรพชนหก เราจําเป็นจะต้องแจ้งแก่บรรพชนลําดับที่หนึ่งหรือไม่?” ในตอนนั้นบรรพชนเก้าอดไม่ได้ที่จะ ถามออกไป
ตามเหตุผลแล้วเมื่อเขาได้พบกับผู้เป็นใหญ่ในโลกจริงๆ ผู้เป็นใหญ่ในโลกที่วิหารหมื่นพุทธใฝ่หามาโดยต ลอด ก็ควรจะส่งข่าวไปยังวิหารหมื่นพุทธโดยเร็วที่สุด
“บอกบรรพชนลําดับที่หนึ่ง?”
ใบหน้าของบรรพชนหกดูลังเลเล็กน้อยและในที่สุดก็ส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า “ผู้เป็นใหญ่ในโลกก็เพิ่งก ล่าวไป ว่าอย่าได้ไปรบกวนคนอื่นๆ
“นั่นสินะ”
บรรพชนเก้าพยักหน้า
แม้ว่าบรรพชนลําดับที่หนึ่งจะเป็นบุคคลที่อยู่ลําดับสูงสุดในวิหารหมื่นพุทธ ทั้งยังมีความแข็งแกร่งสูงที่สุด แต่ผู้เป็นใหญ่ในโลกเป็นตัวตนเช่นไร?
“ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องการปิดด่านฝึกตนของผู้เป็นใหญ่ในโลก”
บรรพชนหกกล่าวบอกอีกไม่กี่คํา ไม่มีอะไรนอกจากปล่อยให้บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ สักจุดในหุบเขาเล็กๆ นี้
บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าก็เลือกอีกสองทิศทางคนละฝั่งกันภายในหุบเขาเล็กๆ
มีอรหันต์สามรูปคอยปกป้องหุบเขาเล็กๆ แห่งนี้ไว้ และแหล่งกําเนิดธาตุดินเองก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดีย วกับธรรมชาติ ซ่อนตัวไว้อย่างแนบเนียน กล่าวได้ว่าการปิดด่านฝึกตนของซูฉินในครั้งนี้ไม่ทางเป็นไปได้ที่จะถู กรบกวน ไม่ว่าในแง่ไหนๆ
ในเวลาเดียวกัน
ภายในพระราชวังถัง
จักรพรรดิถังเดินไปมาภายในโถงชีวิตนิรันดร์ ใบหน้าของพระองค์เต็มไปด้วยความกังวล
นอกจากนี้ ฮองเฮาซูเยวหยุน และตระกูลซูฉินทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ใบหน้าทุกคนบิดเบี้ยวน่าเกลียด
“เจ้าบอกว่าหว่านเอ๋อถูกใครบางคนน่าตัวไป?”
จักรพรรดิถังระงับความโกรธของเขาเอาไว้ มองไปยังขันที่ชุดแดงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นห้องโถง กล่าวเน้นคํา ทุกพยางค์
กว่าหนึ่งเดือนก่อน หลีหว่านแอบออกจากวังหลวงเพื่อลับฝีมือคมดาบของนาง ไม่นานหลังจากนั้นจักรพรรดิ ถังก็ทรงทราบเรื่องทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในยามนั้นจักรพรรดิถังไม่ได้ให้พาหลีหว่านกลับมาในทันที แต่ส่งขันที่ชุดแดงหลายคนให้ แอบตามไปปกป้องหลีหว่าน
หลีหว่านต้องการลับฝีมือดาบของตนเองในการต่อสู้จริง แม้ว่าจักรพรรดิถังจะกังวล แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าเขายับ ยั้งเรื่องนี้มันจะทําให้เกิดผลตรงกันข้าม
นอกจากนี้ จักรพรรดิถังได้ควบคุมทุกอย่างไว้หมดแล้ว และเกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าคิดลงมือกับคนใน อาณาจักรถังก่อน
ดังนั้น เมื่อพิจารณาถี่ถ้วนตามนี้ จักรพรรดิถังจึงยอมให้หลีหว่านออกจากวังไป
แน่นอนว่าถึงจักรพรรดิจะปล่อยไป แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้จริงๆ ยังคงส่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่ หนึ่งและขันที่ชุดแดงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดให้ติดตามไปปกป้องหลีหว่านอย่างลับๆ
แม้กระแสปราณฉีในปัจจุบันจะฟื้นคืนขึ้นมาก มีผู้แข็งแกร่งโผล่ขึ้นมามากมาย แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดก็ ยังเพียงพอที่จะปราบปรามคู่ต่อสู้ได้
ด้วยการปกป้องอย่างลับๆ แม้ว่าหลีหว่านจะก่อความวุ่นวายไปทั่วยุทธภพ แต่ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนาง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จักรพรรดิถังคาดไม่ถึงคือเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา หลีหว่านเจอเข้ากับปัญหาและถูกนําตัว ไปต่อหน้าต่อตาขันที่ชุดแดงทั้งหลาย?
“ทูลฝ่าบาท ชายที่พาองค์หญิงไป มีพลังที่น่าหวาดกลัวยิ่ง ข้ารับใช้เฒ่าเหลือบมองเพียงครั้งเดียว ก็ถูกโจม ตีเข้าอย่างรุนแรง ไม่อาจหยุดมันไว้ได้……”
ขั้นที่ชุดแดงที่กําลังคุกเข่าอยู่กับพื้นตัวสั่นเทา รีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
เขารู้ถึงความสําคัญของหลีหว่านในใจของจักรพรรดิถังดี การสูญเสี้ยหลีหว่านไปย่อมทําให้สถานะของ อาณาจักรถังสั่นคลอนอย่างมิอาจเลี่ยง
“ฝ่าบาทอย่าทรงกร็วไปเลย”
นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออก
เขามองไปยังขั้นที่ชุดแดงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นแล้วกล่าวถามด้วยอาการเคร่งขรึม “ใครกันที่พาองค์หญิงหลี หว่านไป? เจ้าจําได้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นมีลักษณะเช่นไร? เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
“ลักษณะเช่นไร?”
ขันที่ชุดแดงรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “ชายผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดขาว สะพายดาบยาวไว้ด้านหลัง
เมื่อวันที่ชุดแดงกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปชั่วครู่ จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้ เมื่อคนผู้นั้นเห็นองค์ หญิงหลีหว่าน เขาก็พูดอะไรบางอย่างออกมา……”
“ร่างหัวใจดาบ มีชะตาต้องกับนิกายของข้า”
“จากนั้นมันก็พาองค์หญิงไป ข้ารับใช้เฒ่ามสามารถติดตามไปได้ทัน……
ขันที่ชุดแดงพูดทุกสิ่งที่จําได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คําเดียว
ความทรงจําของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาไปไกลโข อาจจะไม่ถึงขนาดจําได้ไม่รู้ลืม แต่มันก็จะไม่ต่างไปจากต้นทางมากนัก ดังนั้นคําบอกเล่าของขันที่ชุดแดงควรจะถูกต้อง
“ร่างหัวใจดาบ?”
“มีชะตาต้องกับนิกายของข้า?”
ท่าทีของนักพรตเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ฝ่าบาท”
“ผู้ชราอาจจะพอทราบแล้วว่าใครเป็นผู้ที่พาตัวหลีหว่านไป”
นักพรตเฒ่าหันไปคารวะให้จักรพรรดิถังเล็กน้อยและกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม
“บอกมาเร็ว” จักรพรรดิถังตกใจและมองไปยังนักพรตเฒ่าในฉับพลัน
“ถ้าจําไม่ผิด คนที่พาองค์หญิงหลีหว่านไปน่าจะมาจากพรรคหมื่นดาบ” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีกล่าวครู่ หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาอย่างช้าๆ
พรรคหมั่นดาบ?
เมื่อสามคํานี้ถูกกล่าวบอกออกมา
โถงชีวิตนิรันดร์ก็พลันเงียบลงอย่างกะทันหัน
ในเวลาเดียวกัน
วิหารหมื่นพุทธในทะเลทรายตะวันตก
บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้ากําลังปกป้องอยู่นอกแหล่งกําเนิดธาตุดินเงียบๆ
ครืน
เห็นว่าแหล่งกําเนิดธาตุดินพลันสั่นสะท้าน
“เกิดอะไรขึ้น?”
บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้ารวมตัวกันด้วยความว่องไว มองไปยังหบเขาเล็กๆ เบื้องหน้าด้วย ความตกใจ
เนื่องจากตั้งแต่ที่เขาค้นพบแหล่งกําเนิดธาตุดินแห่งนี้ก็ยังไม่เคยมีเหตุอันใดเกิดขึ้น ในตอนนี้กลับสัมผัสบางอย่างขึ้นมาได้ ทําให้บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าตื่นตระหนกทันที
ในเวลาต่อมา
ที่ปากทางเข้าหุบเขา ร่างสูงเพรียวก็เดินออกมาช้าๆ
ในขณะที่เห็นร่างนี้เดินออกมา บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้ต่างก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันหนา แน่นราวกับผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ กลิ่นอายที่อันสูงส่งนี้พวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ทั้งยังแผ่พุ่งเข้ากระแทกหน้าพวก เขาอย่างถ้วนทั่ว