เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 282
Sign in Buddha’s palm 282 ประตูเซียน
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับเคล็ดลับจิตวิญญาณเคล็ดหัวใจดาบ]
เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน
“ลงชื่อเข้าใช้ได้จริงๆ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
เมื่อเทียบกับนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดอย่างสํานักผู้วิเศษ หรือสํานักเอกะวิถี พรรคหมื่นดาบมีประวัติความเป็นมาที่สั้นกว่ามาก และตามกฎของเต๋าสะสม ยิ่งสะสมไว้นานเท่าไหร่ รางวัลจากการลงชื่อเข้าใช้ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องแน่นอน เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร พรรคหมื่นดาบก็ดํารงอยู่มานับพันปี และช่วงเวลาส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง ‘เต๋าสะสม’ ที่มีก็น่าจะเพียงพอให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้
“เคล็ดหัวใจดาบ?”
“เคล็ดลับจิตวิญญาณ?”
ซูฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเทพลังงานให้กับรางวัลที่รับมาจากการลงชื่อ
เคล็ดหัวใจดาบเป็นวิชาดาบแต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นวิ าดาบ มันมีรากฐานจิตวิญญาณของตนเอง ควบแน่นออกมาเป็นวิญญาณดาบสามารถตัดได้ทุกสิ่ง
นี่เป็นเคล็ดลับที่น่าสะพรึงกลัวมาก มันเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดในรูปแบบของดาบ ไม่สนใจ การป้องกันใดฟาดฟันโดยตรงเข้าใส่จิตวิญญาณแรกกําเนิดของศัตรู
ปิดกั้นได้ ก็มีชีวิตรอด
ปิดกั้นไว้ไม่ได้ ก็ตาย
แน่นอน
เคล็ดหัวใจดาบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อบกพร่อง มันสุดโต่งเกินไป เมื่อควบแน่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นรูปแบบดาบ เตรียมเข้าโจมตีศัตรู แต่ถ้าจิตวิญญาณแรกกําเนิดของศัตรูแข็งแกร่งพอที่จะขัดขวางดาบจิตวิญญาณและทําลายมันได้ อาจ เป็นซูฉินเองที่เสียหายอย่างรุนแรง
“ถ้าบรรพชนดาบเชี่ยวชาญเคล็ดลับทางจิตวิญญาณนี้ ข้าคงจะต้องปวดหัวอย่างยิ่ง” ใจของซูฉินสั่นไหว
แม้ว่าจะมีองค์ยูไลทองคําคอยดูแลเขาอยู่ภายในกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เมื่อเผชิญหน้ากับ เซียนเทพปฐพีที่ใช้เคล็ดหัวใจดาบนี้ ก็ยังไม่อาจทําให้องค์ยูไลทองคําที่ชี้มือจรดฟ้าสั่นไหวได้
แต่หากบรรพชนดาบหมดหวัง เผาหินดังหยก มันจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินได้อย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็ไม่ได้หลบซ่อนอยู่หลังองค์ยูไลทองคําระหว่างคิ้ว ส่วนใหญ่ยังคงแผ่ออกไปรอบๆ เกาะหมื่นดาบ และบรรพชนดาบจะสามารถตัดเฉือนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์เพียงแค่ใช้เคล็ดหัวใจ ดาบ
“จิตวิญญาณแรกกําเนิด…”
ซูฉินกระซิบคําอยู่กับตนเอง
จิตวิญญาณแรกกําเนิดถูกเปลี่ยนแปลงมาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จํานวนมหาศาล มีความบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อผู้ฝึกยุทธแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว เขาจะบรรลุความสามารถมบางอย่าง ไม่จําเป็นต้องพึ่งพาร่างกายมากนักอีกต่อไป
ยิ่งกว่านั้น จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เหมือนกับร่างลวงตา การโจมตีส่วนใหญ่บนโลกนี้ไม่มีผลกับจิตวิญญาณแรกกําเนิด ตัวอย่างเช่น ซูฉินที่สังหารตํานานยุทธขั้นสูงสุด สิ่งที่ต้องทําก็อาจจะใช้หมัดหรือฝ่ามือ แต่การสังหารบรรพชนดาบที่สูญเสียร่างกายมีเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดกลับเสียเวลาไปหลายชั่วโมง
นั่นก็เป็นเพราะร่างกายของซูฉินได้ก้าวเข้าสู่กายแห่งธรรมชาติแล้วกึ่งหนึ่ง ปราณเลือดที่ท่วมท้นสามารถสะกดข่มจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ในระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้น หากไม่มีเลือดเนื้อ ปราณชีวิตของกายแห่งธรรมชาติ แม้ซูฉินจะเอาชนะบรรพชนดาบได้ แต่เขาก็ไม่สามารถฉุดรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้อยู่ดี
เว้นแต่ซูฉินจะเต็มใจใช้ไม้ตายกันหีบอย่างฝ่ามือยูไล
แต่ที่นี่คือต่างดินแดนที่ไม่รู้ว่ามีบุคคลผู้ทรงอํานาจซ่อนตัวอยู่กี่คน กระบวนท่าของฝ่ามือยูไลนั้นยิ่งใหญ่เกินไป และซูฉินกังวลว่าจะทําให้เกิดปัญหาโดยไม่จําเป็น
“ดูเหมือนเราควรจะพิจารณาเรื่องการแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเสียแล้ว” ซูฉินคิดกับตนเอง
เขาเพิ่งเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าได้ไม่นาน ต้องการจะใช้เวลาอีกสักสองถึงสามปีเพื่อให้ระดับพลังเสถียรเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่เดียว
แต่ยามนี้ดูเหมือนเวลาจะไม่คอยท่า
แม้ว่าซูฉินจะทําลายพรรคหมื่นดาบลงได้ด้วยความราบรื่น ใช้เวลาไม่ทันถึงครึ่งวันด้วยซ้ํา แต่เมื่อเริ่มลงมือ พลังผันผวนน่าสยดสยองก็ได้แพร่กระจายออกไปทุกทิศทางแล้ว
อีกไม่นานคนทั้งดินแดนก็คงจะรู้ว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลาย
ซูฉินยังไม่มีพลังที่จะป้องกันตัวเองได้มากพอ เมื่อต้องเจอกับสายตาสอดส่องของยักษ์ใหญ่แท้จริง ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้มานานนับหมื่นปี
ดังนั้นการแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดจึงต้องถูกร่นเข้ามา
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน หากแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้และรวมกับครึ่งก้าวสู่กายแห่งธรรมชาติ แม้จะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียนเทพปฐพี แต่หากได้พบกับเซียนเทพปฐพีจริงๆ อย่างน้อยก็สามารถทําใจเยือกเย็นขึ้นได้อีกนิด
“ข้าลงชื่อเข้าใช้ที่วิหารการสงครามและได้รับโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดมามากกว่าห้าสิบเม็ด การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด”
ซูฉินขบคิดอยู่กับตนเอง
เป็นเพียงการแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด หาใช่ทะลวงจากตํานานยุทธขั้นสูงสุดเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไม่
ถ้าอย่างหลังล้มเหลว มันอาจทําให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นไม่เหมือนกัน มันเป็นเพียงขั้นตอนความสําเร็จอย่างหนึ่ง อย่างมากสุดก็ทําให้การฝึกฝนช้าลง แต่จะไม่ส่งผลถึงแก่ชีวิต
นอกจากนี้หากมันผ่านไปได้ด้วยดี จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างแน่นอน
“หลังจากแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว แม้ว่าร่างกายข้าจะถูกทําลาย ก็จะยังสามารถเกิดใหม่ได้ด้วยวิชาลับย้ายร่างกําเนิดใหม่”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
แต่การยึดร่างอื่นเป็นทางออกสุดท้าย
หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ซูฉินจะไม่มีวันละทิ้งร่างกายนี้ สุดท้ายแล้วร่างกายนี้เขาก็เสียทรัพยากรมามากมายนับไม่ถ้วน และแม้แต่แหล่งกําเนิดธาตุดินก็กลืนกินมาแล้วหนึ่งแห่งจนกลายมาเป็นครึ่งก้าวสู่กายแห่งธรรมชาติ นอกจากนี้ ร่างกายของคนอื่นๆ แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน จะมาเทียบร่างของตนเองที่ใช้งานได้เป็นอย่างดีได้ อย่างไร?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ซูฉินก็ตัดสินใจ และพร้อมที่จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด
หนึ่งเป็นเพราะพรรคหมื่นดาบ
ก่อนที่ข่าวการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบจะแพร่กระจายออกไปอย่างสมบูรณ์ นิกายใหญ่ที่เหลือจะไม่เข้ามาในบริเวณใกล้เคียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
นี่เป็นการซื้อเวลาให้กับตัวเองของซูฉิน
เวลาเท่านี้ห่างไกลจากคําว่าเพียงพอหากเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ที่ต้องการจะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด แต่ซูฉินผู้ครอบครองโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด สามารถแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น
ประการที่สอง ซูฉินยังต้องรั้งรออยู่ที่นี่สักพัก เพื่อต้องการจะดูว่าสามารถลงชื่อเข้าใช้อีกครั้งได้หรือไม่
เคล็ดหัวใจดาบเป็นเคล็ดลับทางจิตวิญญาณ แม้แต่บรรพชนดาบที่เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดซึ่งแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดมาช้านานก็ยังไม่มีเคล็ดลับทางจิตวิญญาณนี้ สามารถจินตนาการถึงความล้ําค่าของมันได้เลยว่ามากเพียงใด
และพลังของเคล็ดหัวใจดาบจริงๆ แล้วมันก็ยิ่งใหญ่ทีเดียว
แม้ว่ามันจะสุดโต่งและมีข้อบกพร่อง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะใช้เป็นไฟลับใต้แขนเสื้ออีกสักใบ
ซูฉินวางแผนที่จะลงชื่อเข้าใช้อยู่ที่นี่อีกสักสองสามครั้ง เพื่อดูว่าเขาจะได้รับเคล็ดลับที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณแรกกําเนิดอีกหรือไม่
“แต่ก่อนที่จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด……”
ซูฉินเหลือบตามองดูคนไม่กี่คนที่ยืนอยู่ด้วยความเคารพห่างออกไปไม่ไกลนัก
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินหลุมทมิฬเหมือนหลีหว่าน ขณะนี้ซูฉินได้ทําลายพรรคหมื่นดาบไปแล้ว พวกเขาจึงเป็นอิสระ
“คุกใต้ดินพังแล้ว ทําไมพวกเจ้ายังไม่ออกไปจากที่นี่เล่า?” ซูฉินเหลือบมองกลุ่มคนแล้วจึงกล่าวออกอย่างสบายๆ
“นายท่านทรงพลานุภาพสะเทือนสวรรค์ หากไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ต่อให้ข้าจะหลบหนีไปยังสุดขอบโลกจะมีประโยชน์อันใด?” ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวยิ้มอย่างขมขื่น
“ข้ามีความลับสุดยอดที่อยากจะบอกแก่นายท่าน” ชายชราผมขาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันแน่น กล่าวมันออกมา
“ความลับสุดยอด?”
ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขากล่าวทวนอย่างช้าๆ
“มิผิด เป็นความลับใหญ่เลยทีเดียว”
ชายชราผมเคราขาวกล่าวอย่างหนักแน่น “นิกายหมื่นดาบกักขังข้าเอาไว้ในคุกใต้ดินก็เพราะต้องการง้างความลับใหญ่นี้ออกจากปากของข้า แต่ข้าจะยอมให้มันสุขสันต์ได้อย่างไร?”
เมื่อชายชราผมขาวกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็ส่อแววเยาะเย้ย
พรรคหมื่นดาบไม่ได้ใจดีเหมือนวัดเส้าหลินที่สร้างหอคอยสะกดมารขึ้นเพื่อกักขังเหล่ามารร้ายในยุทธภพ
มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้นที่ชายชราผมขาว และคนอื่นๆ ถูกขังเอาไว้ที่นี่
คือพวกเขาต่างมีสิ่งของหรือข้อมูลที่พรรคหมื่นดาบต้องการ
หากคนเหล่านี้ไม่มีค่าต่อพรรคหมื่นดาบ พวกเขาคงตกตายไปนานแล้ว
“เจ้าไม่บอกพรรคหมื่นดาบ แต่เจ้ากลับมาบอกข้าอย่างนั้นหรือ?” ซูฉินยิ้มให้กับชายชรา
“ถ้าข้าบอกความจริงแก่พรรคหมื่นดาบ ข้าจะมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบันได้เช่นไร?” ชายชราส่ายศีรษะ การประชดประชันส่งผ่านออกมาทางน้ําเสียงของเขา
การที่พรรคหมื่นดาบขังชายชราไว้ในคุกใต้ดิน เท่ากับเป็นการฉีกหน้าเขาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าชายชราจะบอกความลับใหญ่เรื่องนี้ไป แต่พรรคหมื่นดาบก็ไม่มีทางปล่อยเขาไป
“แล้วเจ้ามาบอกข้า ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าทิ้งงั้นรึ?” น้ําเสียงของซูฉินราบเรียบ ไม่มีขึ้นมีลง ราวกับความลับจากปากของชายชราที่พรรคหมื่นดาบใฝ่ หาไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
“ด้วยความแข็งแกร่งของนายท่าน หากท่านอยากจะสังหารข้า ท่านคงทําไปเสียเนิ่นนานแล้ว” ชายชรายิ้มอย่างขมขื่น
“พูดเถอะ ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด?” ซูฉินขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่การแสดงออกยังคงไม่แยแส
เขาไม่เชื่อว่าชายชราจะริเริ่มบอกความลับอันยิ่งใหญ่โดยไม่มีเหตุผล เขาจึงต้องถาม
“กระแสปราณฉีฟื้นคืนแล้ว แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ปรากฏขึ้น และพรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลาย ข้ากลัวว่าโลกนี้จะเกิดความสับสนวุ่นวาย แม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่ในยุคนี้ข้าก็ยังไม่อาจจะปกป้องตนเองได้ ข้าหวังว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่จะปกป้องข้า”
ชายชราผมเคราขาวกล่าวด้วยความเคารพ
ตามหลักเหตุและผลแล้ว ตราบใดที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้น ไม่ได้สร้างความบาดหมางกับนิกายใหญ่ มันก็ถือว่าเพียงพอที่จะอยู่ได้ทุกมุมโลก
สุดท้ายในปัจจุบันนี้ นิกายใหญ่หลายแห่งในต่างดินแดน ยกเว้นนิกายใหญ่ระดับสูง ผู้นํานิกาย ก็เป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หก
ตราบใดที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดไม่สร้างปัญหาไปทั่ว โดยปกติแล้วก็ไม่ควรจะตกลงสู่วงล้อมของนิกายใหญ่
เพราะถึงแม้จะเป็นนิกายใหญ่ หากต้องการจะจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดก็จําเป็นต้องจ่ายราคาที่แพงเอาเรื่อง หรืออาจจะต้องทําแม้กระทั่งปลุกบรรพชนให้ตื่นจากหลับใหล
แต่ตอนนี้ ชายชราผมขาวกลับรู้สึกกังวล และเตรียมจะแลกเปลี่ยนความลับใหญ่ที่สุดของตนกับความปลอดภัยจากซูฉิน
อันที่จริง ชายชราก็ต้องวางเดิมพันด้วยว่า หากซูฉินสนใจความลับของเขาจะฆ่าเขาทิ้งหรือไม่
ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ หากชายชราบอกความลับแก่ซูฉินแล้วก็สังหารเขาทิ้งเพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต?
“พูดมาเถอะ” ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ถ้าความลับของเจ้ามีประโยชน์กับข้า ข้าจะลองพิจารณาดู”
สําหรับซูฉิน การดูแลชายชราผมขาวง่ายเพียงแค่คิด ก็แค่โยนไปไว้ในวังหลวง
ชายชราผมเคราขาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลย้อยผ่านหน้าผากไป กลัวว่าซูฉินจะปฏิเสธจึงพูดขึ้นทันทีว่า “นายท่านรู้จักประตูเซียนหรือไม่?”
เมื่อชายชรากล่าวคําว่า “ประตูเซียน” เขาก็เหลือบมองซูฉินอย่างระมัดระวัง
“ประตูเซียน?” ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
บรรดานิกายใหญ่มากมายในต่างแดน ไม่มีขุมอํานาจใดที่ชื่อว่า “ประตูเซียน” เลย แต่ชายชรา กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าประตูเซียนนี้แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
“นายท่าน”
ชายชราผมขาวสังเกตเห็นความสงสัยของซูฉิน จึงกล่าวต่อด้วยความเคร่งขรึม “ตั้งแต่ยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุดจบลง ก็ผ่านมานานกว่าหมื่นปีแล้ว และเกิดเซียนเทพปฐพี่ที่ทรงอํานาจมากกว่าสิบคนในหลายยุคหลายสมัย”
“แต่เซียนเทพปฐพีเหล่านี้เมื่อเข้าสู่วัยชรา พวกเขาจะออกจากนิกายและเดินทางไปทั่วโลกเพื่อมองหาประตูเซียน”