เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 288
Sign in Buddha’s palm 288 ความสําเร็จระ ดับเล็ก
ไม่ใช่เพียงนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ จากต่างแดน ก็ได้ส่งบรรพชนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขามา
ณ เขตแดนน้ําแข็งขั้วโลกตอนเหนือ ไม่รู้ว่าด้านนอกตําหนักเทพเจ้าหิมะมีหญิงสาว ในชุดชาววังคนหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด
หญิงที่แต่งกายในชุดชาววังยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ กลิ่นอายดูอ่อนแอราวกับคนธรรมดาทั่วไป แต่ถ้ามองดีๆจะพบว่านัยน์ตาของหญิงสาวชุดชาววังมีเขตแดนน้ําแข็งกําลังเบ่งบานอยู่ภายใน
เมื่อเห็นหญิงในชุดชาววังผู้นี้ ศิษย์สาวกรวมถึงผู้อาวุโสทั้งหมดในตําหนักเทพเจ้าหิมะรีบออกไปด้านนอก ต่างพากันก้มลงกราบไหว้
“ท่านบรรพชน ที่ท่านตื่นขึ้นและเดินทางมาในครั้งนี้ เป็นเพราะจุดเปลี่ยนผ่านของกระแสปราณฉีที่กําลังจะมาถึงใช่หรือไม่?” รองหัวหน้า ตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวถามหญิงในชุดชาววังอย่างระมัดระวัง
“มิผิด” หญิงสาวในชุดชาววังยังคงเฉยเมย ราวกับภูเขาน้ําแข็งที่จะอยู่ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์และกระซิบคําต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม ตัวข้าและสหายเต่ําอีกสองสามคนจะไปพบตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังสักเล็กน้อย”
รองหัวหน้าตําหนักเทพเจ้าหิมะตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องนี้ กล่าวออกอย่างรวดเร็ว “แต่ท่านบรรพชนเพิ่งบอกว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันเพิ่งจะทําลายพรรคหมีนดาบด้วยพลังของเขาเอง ความแข็งแกร่งของเขานั้นมิอาจหยั่งรู้ได้……”
รองหัวหน้าตําหนักเทพเจ้าหิมะลังเล และกล่าวออกอย่างไม่แน่ใจ
เมื่อนางรู้จากปากของหญิงสาวชุดชาววังว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงภายใต้น้ํามือของซูฉิน นางก็ตกใจอย่างมาก
ตอนนี้พอได้ยินว่าบรรพชนต้องการจะพบซูฉิน ใจก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
“สบายใจได้”
หญิงที่แต่งกายด้วยชุดชาววังส่ายศีรษะเล็กน้อย และพูดอย่างดูถูก “พรรคหมื่นดาบสืบทอดมรดกมาเพียงสี่พันกว่าปีเท่านั้น จะเทียบกับตําหนักเทพเจ้าหิมะของเราได้เช่นไรกัน?”
“ในพรรคหมื่นดาบทั้งหมดตลอดช่วงสองพันปีที่ผ่านมา มีเพียงบรรพชนดาบเท่านั้นที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้”
“แต่กระนั้นร่างของบรรพชนดาบก็เสื่อมสลายไปนานแล้ว หากปราศจากการหล่อเลี้ยงจากร่างกาย จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เหมือนกับจอกแหนที่ไร้ราก จอมยุทธเช่นข้า หากต้องการจะใช้กระบวนท่าขั้นสูงสุดทั้งหลาย ก็ต้องอาศัยกายเนื้อ”
“บรรพชนดาบไม่มีกายเนื้อ ด้วยเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิด แน่นอนเขาสามารถรักษาพลังการต่อสู้ส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่การต่อสู้ของจอมยุทธในระดับเดียวกัน ความผิดพลาดเพียงนิดอาจกระทบต่อผลแพ้ชนะได้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียร่างกายเลยมิใช่หรือ?”
น้ําเสียงของหญิงสาวในชุดชาววังนั้นเรียบง่าย ไม่มีความผันผวนขึ้นลงแม้แต่น้อย
บรรพชนดาบเป็นเพียงร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด สามารถจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่อยู่ต่ํากว่าระดับการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับเดียวกัน ย่อมอ่อนแอกว่าเมื่อเข้าประมือ
เรื่องที่ซูฉินนั่นศีรษะบรรพชนดาบ หญิงสาวในชุดชาววังไม่แปลกใจ เพราะนางมั่นใจว่านางสามารถทําได้เช่นกัน ส่วนการทําลายพรรคหมื่นดาบ……
ท้ายที่สุดพรรคหมื่นดาบก็เป็นนิกายที่เซียนเทพปฐพีสร้างขึ้น ซูฉินสามารถทําลายพรรคหมื่นดาบได้ ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเหนือธรรมดาและแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วอย่างแน่นอน
แต่คราวนี้หญิงสาวในชุดชาววังไม่ได้ไปที่เมืองฉางอันเพียงลําพัง แต่ไปกับสหายเต่จากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆอีกสองสามคน
ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณได้ แล้วรวมพลังกัน แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่ง ตราบใดที่ไม่ได้เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี พวกเขาย่อมไม่หวั่นเกรงอย่างแน่นอน
นี่เป็นความมั่นใจอันใหญ่ยิ่งของหญิงสาวในชุดชาววัง
และในตอนนี้
ที่เมืองฉางอัน
ภายในวังหลวง
ซูฉินปิดด่านอยู่ชั่วระยะหนึ่ง หลังจากปรับสมดุลจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว เขาก็กลับไปยังพระราชวังตะวันออกเพื่อชี้แนะแนวทางการฝึกฝนให้กับตระกูลซู
เป็นเวลาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ซูฉินเดินทางไปต่างดินแดน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะติดตามความคืบหน้าด้านวิทยายุทธของตระกูล
“ฉินเฮ่อ เจ้าทะลวงขั้นอีกแล้วงั้นหรือ?” ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา ซูชื่อหมินกําลังฝึกหมัดอรหันต์
หมัดอรหันต์เป็นเคล็ดหมัดมวยที่ซูฉินนําออกมาจากวัดเส้าหลิน มันเป็นวิธีการออกหมัดพื้นฐาน แต่ในขณะนี้เมื่ออยู่ในมือของซูชื่อหมิน มันมีท่วงท่าที่แตกต่างออกไป คล้ายคลึงกับผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเขตอรหันต์ตัวจริงเลยทีเดียว การเหวี่ยงหมัดเรียบง่ายและสง่างาม พลังฟ้าดินจํานวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ปรับปรุงการฝึกฝนของซูชื่อหมินอยู่ตลอด
“ทะลวงขั้นเล็กน้อย” ซูฉินกล่าวอย่างสบายๆ
สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อก่อเกิดจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่ากับกําจัดโซ่ตรวนทางกาย เดินทางท่องทั่วไปได้หลายพันลี้ มันราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
แต่ในสายตาของซูฉินมันเป็นเพียงความก้าวหน้าเล็กน้อย” ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจอะไรนัก
“ฉันเอ่อ ความก้าวหน้าเล็กน้อยของเจ้า ในสายตาคนธรรมดาอย่างเรา เกรงว่ามันจะเป็นความก้าวหน้าที่เทียบได้กับคนธรรมดาก้าวเดินไปจนถึงขอบเขตตํานานยุทธ……”
ขณะที่ซูชื่อหมินกําลังพูดไปนั้น เขาก็ยังคงออกหมัดอรหันต์อย่างต่อเนื่อง
“ท่านพ่อ ความแข็งแกร่งของท่านกําลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธในเร็ววันแล้ว” ซูฉินเหลือบมองหมัดอรหันต์ของซูชื่อหมิน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซูชื่อหมินได้ไต่จากระดับชั้นที่ห้าจนมาเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง มีเพียงเส้นขั้นบางๆ ก่อนจะกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะกระแสปราณฉี และเคล็ด วิชาร่วมกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินมอบให้ แต่ ความอุตสาหะของซูชื่อหมินก็เป็นส่วนหนึ่งที่ สําคัญ
“แม้ว่าพ่อจะชอบวิทยายุทธ แต่ก็รู้ดีว่าความสามารถมีจํากัด แต่ตอนนี้ที่พ่อได้รับความช่วยเหลือจากฉันเอ่อ หากยังไม่มีการพัฒนา เห็นทีคงต้องกลับไปนอนอยู่บนกองเงินกองทองดีกว่า ลืมชีวิตที่ต้องดิ้นรนนี้ไปเสีย”
เมื่อซูชื่อหมินกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง ราวกับกําลังคิดอะไรบางอย่าง ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “น่าเสียดายที่หยวนเอ๋อไม่สนใจวิทยายุทธ ไม่เช่นนั้นคงจะลากตัวมาซ้อมมือกับพ่ออย่างแน่นอน”
หยวนเอ๋อ’ จากปากของซูชื่อหมินก็คือองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ถัง
เมื่อเทียบกับหลีหว่านที่หมกมุ่นอยู่แต่กับวิทยายุทธมาตั้งแต่เด็ก คอยเดินติดตามซูฉินตลอดทั้งวัน หลี่หยวนนั้นตรงกันข้าม ไม่สนใจเรื่องราวของวิทยายุทธเลย อุทิศตนให้กับวิชาการบ้านการเมืองเสียมากกว่า
“ทุกคนมีทางของตนเอง” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ
เขาให้ทางเลือกแก่หลี่หยวนไปแล้ว และอีกฝ่ายก็ยืนกรานที่จะไม่เดินไปในเส้นทางการฝึกยุทธ ดังนั้นซูฉินจึงไม่คิดจะพูดอะไรอีกต่อไป
หลังจากนั้น
ซูฉินก็พูดคุยกับซูชื่อหมินอีกนิดหน่อย แล้วก็ปลีกตัวเดินเล่นไปรอบๆวัง จากนั้นจึงกลับมายังโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านอีกครั้ง
“จัดตั้งตะเกียงพุทธนี่เสียก่อน”
กระแสจิตจากซูฉินสั่นไหว ทันใดนั้นก็เห็นตะเกียงพุทธค่อยๆลุกไหม้ขึ้นอย่างช้าๆที่เบื้องหน้า
ตะเกียงพุทธนี้ คือตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณที่ซูฉินได้รับมาจากวิหารหมื่นพุทธ
เมื่อไส้ตะเกียงติดไฟแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะบุกรุกเข้ามาได้
แน่นอนว่าเรื่องที่ไม่สามารถบุกเข้ามาได้ ก็ไม่ใช่ทุกกรณี อย่างน้อยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้ก็ไม่สามารถหยุดการรุกรานจากซูฉินได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ตะเกียงพุทธนี้ก็ยังเป็นสมบัติ พุทธคุณที่หายากชิ้นหนึ่ง
หลังจากแขวนตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณไว้บนยอดพระราชวังอันสูงตระหง่าน และปล่อยให้แสงพุทธคุณกระจายล้อมรอบโถงทั้งหมดแล้ว ซูฉินก็ดึงธงสีเหลืองออกมา
มันคือธงวู่ถู
ธงวู่ถูเป็นอาวุธวิเศษที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ที่แหล่งกําเนิดธาตุดิน ภายในมีค่ายกลขนาดใหญ่หลายประเภท ที่ต้องทําเพียงแค่ปักธงวู่ถูไว้เท่านั้น และค่ายกลจะทํางานโดยอัตโนมัติ ไม่จําเป็นต้องกังวลสิ่งใด
หวิ่ง!
เมื่อธงวู่ถูปักลงไปบนโถงหลัก ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยแสงสีเหลืองนวลจางๆ คล้ายสีของชั้นดิน
เมื่อถูกปกคลุมไว้ด้วยค่ายกลขนาดใหญ่ภายในธงวู่ถู พระราชวังสีดําใต้ดินทั้งหมดราวกับอันตรธานหายไปอย่างอย่างสิ้นเชิง แม้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะชําเลืองสายตามองมา ก็ไม่สามารถสังเกตเห็นได้
“ไม่เลว”
“มันยังมาพร้อมลูกเล่นที่ซ่อนอยู่ด้วย” รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
แม้ด้วยความรู้เรื่องค่ายกลที่มีอยู่มากมาย การจะก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการซ่อนเร้นย่อมง่ายดายเพียงแค่คิด
แต่เมื่อก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินสําเร็จแล้ว จะต้องคอยปรับปรุงอยู่เป็นระยะจะไปเหมือนธงวู่ถูนี้ได้อย่างไร ตราบใดที่ตัวอาวุธไม่ถูกทําลาย ค่ายกลก็จะยังคงอยู่ตลอดไป นี่ไม่ใช่ว่าสะดวกสบายอย่างมากหรอกหรือ?
“ตอนนี้จิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว อาณาเขตก็มั่งคง ถึงเวลาที่จะทะลวงขอบเขตยอดอรหันต์แล้ว” ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หยุดพักการฝึกมานั่งขบคิดแทน
“หากต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณดึงพลังฟ้าดินอันอนันต์มาหล่อเลี้ยงร่างกาย…”
“แต่ทะเลปราณนั้นมีทั้งจุดที่ลึกและจุดที่ตื้น พลังของทะเลปราณเขตล็กกับทะเลปราณเขตตื้นนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด”
ซูฉินครุ่นคิดเงียบๆ
เมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ มาถึงขอบเขตเชียนเทพปฐพี ตราบใดที่สามารถหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณได้สําเร็จ นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว จะกล้าพิจารณาเข้าไปในส่วนลึกของทะเลปราณได้อย่างไร
“เดิมที ข้าวางแผนจะใช้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเป็นรากฐาน และใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดรวมเข้ากับทะเลปราณ”
“ภาพดวงตะวันขนาดมหึมามีแก่นแท้มาจากอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในธาตุไฟ มันสามารถนําจิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลปราณได้อย่างแน่นอน”
“แต่ตอนนี้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของข้าเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น ความสําเร็จระดับนี้ทําให้มีกลิ่นอายอีกาทองคําสามขา แต่ไม่สามารถมีบทบาทในการช่วยให้เข้าสู่ทะเลปราณได้…”
ซูฉินหรี่ตาลงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
หากเพียงแค่ต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ซูฉินสามารถทําได้ตั้งแต่อยู่ในแหล่งกําเนิดธาตุดินตอนที่เดินทางไปเยือนวิหารหมื่นพุทธ
แต่ซูฉินเลือกที่จะไม่ทํา
แม้แต่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี ก็มีความแตกต่างระหว่างระดับสูงและระดับต่ํา
หากซูฉินต้องการจะมุ่งหน้าเข้าสู่ขอบเขตนี้ เขาหวังว่าตนจะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมจนทิ้งเซียนเทพปฐพีอื่นไว้เบื้องหลัง
“อย่างน้อยก็ต้องถึงความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา จึงจะช่วยให้ข้าครอบครองความสามารถของอีกาทองคําสามขา และนั่นจะพาข้าไปสู่ห้วงลึกของทะเลปราณ”
ความคิดของซูฉินผันผวน
การฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแบ่งออกเป็นสามระดับ
เริ่มต้น ความสําเร็จระดับเล็ก ความสําเร็จชั้นยอด
ตราบใดที่ฝึกภาพดวงตะวันฯจนถึงความสําเร็จชั้นยอด เทียบเท่ากับฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้จนสําเร็จครบถ้วนทุกกระบวนความ ในเวลานั้นซูฉินจะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขา ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิงได้ตามใจนึก
สําหรับการเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็ก….
ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาในระดับเริ่มต้น สามารถทําให้ซูฉินมีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขา
และความสําเร็จระดับเล็ก ทําให้ซูฉินมีความสามารถพิเศษและพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างของอีกาทองคําสามขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ได้ตรวจสอบพื้นที่ระบบ และมองไปยังจุดหนึ่ง โอสถศักดิ์สิทธิ์และสมบัติธาตุไฟกองซ้อนทับกันอยู่อย่างกับภูเขา
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปภายในภูเขาไฟใต้ดินของเมืองอินจีในโลกถ้ําปีศาจทําให้ได้ โอสถธาตุไฟและสมบัติธาตุไฟมาเป็นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่แน่ใจว่าโอสถปีศาจธาตุไฟและสมบัติเหล่านี้จะสามารถผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็กได้หรือไม่
เนื่องจากเวลาในการลงชื่อเข้าใช้ภายในภูเขาไฟใต้เมืองอินจีแห่งโลกถปีศาจนั้นสั้นเกินไป
ถ้าเขามีเวลาอีกสักสิบปีในการลงชื่อเข้าใช้และได้รับโอสถและสมบัติธาตุไฟเพิ่มเติม ซูฉินมั่นใจว่าจะผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปถึงความสําเร็จระดับเล็กได้
“ไม่ต้องสนใจ”
“ก็แค่ลองดูก่อน”
ซูฉินสงบใจลง และตัดสินใจทุกสิ่งด้วยหัวใจของเขาเอง
ต่อจากนั้น ซูฉินก็ปิดด่านฝึกตนอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหกเดือน ในช่วงระยะเวลาหกเดือนนี้ซูฉินได้กลืนกิน โอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟและสมบัติจํานวนนับไม่ถ้วน จนผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเข้าใกล้ความสําเร็จระดับเล็กอย่างต่อเนื่อง
วันหนึ่ง
ซูฉินเปิดเปลือกตาของเขาขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
ปร็ด!!
เสียงก้องคํารามพลันระเบิดออกมา และส่วนลึกภายในดวงตาของซูฉิน ดวงตะวันขนาดมหึมาที่ร้อนแรงแผดเผาก็โผล่ขึ้นมาจางๆ
ในส่วนลึกของดวงตะวัน อีกาทองคําสามขากู่ก้องคํารามโบยบินไปบนฟากฟ้า เปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้นในทันที แผดเผาฟ้าดินจนสิ้น