เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 299.1
Sign in Buddha’s palm 299 (I) เริ่มสงคราม ครั้งใหญ่
“เป็นสงครามหรือสันติภาพ?”
ซูฉินไม่ได้แสดงท่าทีใด
ทันทีที่สังเกตเห็นเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางซ่ อนตัวอยู่ในวังหลวง ซูฉินก็คาดเดาเจตนาของอีก ฝ่ายไว้แล้ว
“ถูกต้อง”
ใบหน้าของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางดูเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจังว่า “แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่มีความสําคัญอย่างยิ่งเหล่านิกายใหญ่ ต่างไม่ยินยอมที่จะนั่งดูสหายเต่าครอบครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ แต่เพียงผู้เดียว”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวเช่นนี้ก็หยุดไปชั่วครู่แล้วกล่าวต่อไปว่า “จุดเปลี่ยนผ่านแรกของกระแสปราณฉีมาถึงแล้ว และโลกอันยิ่งใหญ่กํา ลังอยู่ในจุดเริ่มต้น หากสหายเต่เต็มใจยอมมอบพื้นที่ที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบันมาสักแปดส่วน เหล่านิกายใหญ่ก็จะไม่ทําให้เจ้าอับอาย”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวออกอย่างจริงจัง
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวออกอย่างจริงจัง
อันที่จริง การที่เหลือพื้นที่ไว้ให้ซูฉินถึงสองส่วน สําหรับนิกายใหญ่ก็ถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่
ต้องรู้ว่านิกายใหญ่ก็ไม่ใช่เล็กๆ ยังต้องแบ่งสัด ส่วนของแผ่นดินแห่งพลังยุทธระหว่างกันด้วย ขนาดพื้นที่กว่าสองส่วนที่ซูฉินจะได้ครอบครองนั้นเทียบเท่ากับพื้นที่ที่จัดสรรให้กับนิกายใหญ่ระดับสูง ซึ่งมีเบื้องหลังกว่าหมื่นปีอย่างสํานักผู้วิเศษ
“งั้นรึ?”
“ข้าสังหารพวกเจ้าไปตั้งหลายคนแล้ว นิกายใหญ่ไม่สนใจเรื่องราวเหล่านั้นหรือไร?” ซูฉินถามอย่างสบายๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนที่ท่าอะไร
ไม่ต้องพูดถึงพรรคหมื่นดาบที่ถูกทําลายจนสิ้นซาก แม้จะยังมีศิษย์พรรคหมื่นดาบหลงเหลืออยู่ในต่างแดน ถึงซูฉินไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แต่คนอื่นย่อมอยากรู้และต้องการมรดกของพรรคหมื่นดาบ
เมื่อยามที่พรรคหมื่นดาบยังมีอํานาจอยู่ในต่างดินแดน ไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวว่าตนต้องการจะจัดการกับศิษย์พรรคหมื่นดาบ แต่ตอนนี้พรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงแล้ว สําหรับจอมยุทธต่างแดน ศิษย์พรรคหมื่นดาบไม่ต่างไปจากสมบัติเคลื่อนที่
นอกเหนือจากพรรคหมื่นดาบ ซูฉินยังสังหารบรรพบุรุษเหลยสิง ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลง จิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ไปแล้ว
ไม่ใช่แค่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงนิกายเฮยหยวนที่ยังคงอยู่ เมื่อพวกเขารู้ว่าบรรพชนของตนตกตายด้วยน้ํามือของซูฉิน พวกเขาจะตัดใจยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?
“ตราบใดที่สหายเต่เต็มใจที่จะสละพื้นที่แปดส่วน ข้าจะช่วยสหายเต่ําเกลี้ยกล่อมนิกายเทพ เจ้าสายฟ้าและนิกายใหญ่แห่งอื่นๆให้เอง”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางดูเหมือนจะไตร่ตรอง ถึงปัญหานี้อยู่ก่อนแล้ว กล่าวออกโดยไม่มีความลังเล
“ตราบใดที่สหายเต่เต็มใจที่จะสละพื้นที่แปดส่วน ข้าจะช่วยสหายเต่ําเกลี้ยกล่อมนิกายเทพ เจ้าสายฟ้าและนิกายใหญ่แห่งอื่นๆให้เอง”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางดูเหมือนจะไตร่ตรอง ถึงปัญหานี้อยู่ก่อนแล้ว กล่าวออกโดยไม่มีความลังเล
ในสายตาของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและนิกาย เฮยหยวนที่สูญเสียตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ไปนั้น นับว่าเป็นความเจ็บช้ําทุกข์ทรมานไปถึงกระดูก แต่เรื่องใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือการจัดสรรปันส่วนแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ
ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับผู้ทรงพลังอํานาจอย่างซูฉินได้ เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะต้องได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน
แม้ว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะคิดว่าตนเองไม่ได้อ่อนแอกว่าซูฉิน แต่สุดท้ายชีวิตนั้นก็สั้นนัก เมื่อเทียบกับปราณเลือดที่มั่งคั่งของซูฉิน ความสามารถในการลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมทรงพลัง เขาอาจจะด้อยกว่าหนึ่งช่วงตัว
แม้ว่าจะมีสหายในระดับเดียวกันหลายคนยืนอยู่ เบื้องหลังเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ทําให้ได้เปรียบด้านปริมาณ อาจจะทําให้ชนะศัตรูได้จริง แต่ก็ต้องแลกมากับความสูญเสียอย่างมากมาย ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรทํา
“ถ้าข้าปฏิเสธเล่า?”
น้ําเสียงของซูฉินสงบนิ่งราวกับบ่อน้ําที่ใสกระจ่าง
“ปฏิเสธ?”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางขมวดคิ้ว
เขาคาดไว้แล้วว่าซูฉินอาจจะปฏิเสธ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาไม่อยากเห็นมากที่สุด
“หากสหายเต่ปฏิเสธมันก็คงมีแต่สงครามแล้ว”
“แม้ว่าสหายของข้าและตัวข้าเองจะเข้าสู่วัยชรา ปราณเลือดก็ไม่แข็งแกร่งเท่าสหายเต่า แต่เมื่อร่วมมือกัน เว้นแต่สหายเต่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้กับพวกข้าได้เลย”
เมื่อเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวออกเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็มีร่องรอยแห่งความภาคภูมิใจปรากฏขึ้น
ขนาดที่เคยตัดผ่านก้าวไปแตะขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ได้ หลอมรวมเข้ากับทะเลปราณมาแล้ว มองเห็นเส้นทางของเซียนเทพปฐพี ถ้าจะให้กล่าวจริงๆ เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ไม่นับว่าเป็นตํานานยุทธอีกต่อไปแล้ว
เป็นจุดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างขอบเขตเซียนเทพปฐพีกับตํานานยุทธ หรือเรียกอีกอย่างว่าครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมีปราณเลือดที่เสื่อมโทรมลง ปิดผนึกตนเองด้วยวิธีลับเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เกรงว่าซูฉินคงจะต้องเกรงกลัวบ้าง
“เซียนเทพปฐพี่?”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าไม่ใช่เซียนเทพปฐพี่?”
ซูฉินค่อยๆ หันหลังกลับมามองที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางแล้วกล่าวเบาๆ
“สหายเกล่าวถึงแหล่งกําเนิดธาตุไฟหรือ?” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางยังคงส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าก็รู้สึกได้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุไฟถูกดูดซับไปแล้ว มันคงจะเป็นฝีมือของสหายเต่สินะ?”
“สหายเกล่าวถึงแหล่งกําเนิดธาตุไฟหรือ?” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางยังคงส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าก็รู้สึกได้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุไฟถูกดูดซับไปแล้ว มันคงจะเป็นฝีมือของสหายเต่สินะ?”
“แต่ก็เท่านั้น แหล่งกําเนิดธาตุไฟนั้นสามารถช่วยให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพได้อย่างแน่นอน แต่มันก็มีประโยชน์แค่ช่วยให้จิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าไปสู่แก่นทะเลปราณได้เท่านั้น”
“สําหรับขั้นตอนต่อไป แม้ทุกอย่างจะราบรื่น แต่ก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีในการดึงพลังของทะเลปราณมาขัดเกลาร่างกาย”
“สหายเต่ใช้เวลาเพียงปีเดียวกันการเดินออกมาจากแหล่งกําเนิดธาตุไฟ สันนิษฐานว่าคงลองตัดผ่านแล้ว แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว?”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกะพริบตาพร้อมกับ พูดไปด้วย และเมื่อการตัดผ่านไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ล้มเหลว มันย่อมไปถูกฟันเฟืองบางอย่างในทะเลปราณ พลังชีวิตของเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ ปราณเลือดเริ่มเสื่อมสลาย ในเวลาเดียวกันทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะถูกทําลายในทันที”
“ต่อให้สหายเต่ํามีแหล่งกําเนิดธาตุไฟคอยช่วย พวกมันก็จะปิดกั้นฟันเฟืองส่วนใหญ่ได้เท่านั้น คงจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างในเวลานี้…”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จ้องมองซูฉินเขม็ง
นี่เป็นเหตุผลที่เขาเข้ามาในวังหลวงเพียงผู้เดียว ประการแรกเพราะเขามีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง อาจจะไม่ถึงกับเอาชนะซูฉินได้ แต่อย่างน้อยการหลบหนีก็คงไม่มีปัญหา
ประการที่สองคือแหล่งกําเนิดธาตุไฟ เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางคาดการณ์ว่าซูฉินคงได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถออกไม้ออกมือได้เต็มที่
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพูดคุยกับซูฉินจบ เขาก็สามารถยอมรับผลที่ตามมาได้
“ฮ่าฮ่า……”
ซูฉินหัวเราะเบาๆ
ในทางหนึ่ง เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็พูดถูก ซูฉินไม่ใช่เซียนเทพปฐพี ไม่มีอาณาเขตขนาดใหญ่ ไม่มีกายแห่งธรรมชาติ แต่ซูฉินรวมเข้ากับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา เขาไม่มีความกลัวแม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพี
“เอาล่ะ”
“เอาล่ะ”
“เจ้ากลับไปเถอะ”
ซูฉินขี้เกียจจะพูดคุยเรื่องไร้สาระกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางแอบเข้ามาในวังโดยไม่ทําร้ายใคร และไม่มีความคิดที่จะคุกคามชีวิตทุกคนในวัง เขาจะพูดคุยกันอย่างสงบเหมือนอย่างตอนนี้ได้เช่นไร?
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางแอบเข้ามาในวังโดยไม่ทําร้ายใคร และไม่มีความคิดที่จะคุกคามชีวิตทุกคนในวัง เขาจะพูดคุยกันอย่างสงบเหมือนอย่างตอนนี้ได้เช่นไร?
เป็นธรรมดาที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่รู้ว่า พฤติกรรมที่ทําไปโดยไม่ตั้งใจของตน ได้ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้
อันที่จริง เหตุผลที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่ ได้ข่มขู่ซูฉินด้วยผู้คนภายในวัง เพราะในสายตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง สําหรับคนแข็งแกร่งอย่างพวกเขา หลงลืมความรักใคร่ใยดีไปนานแล้ว
“สหายเต่ นี่คือการปฏิเสธใช่หรือไม่?”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางถอนหายใจเบาๆ ฉากที่เขาไม่อยากจะเห็นในที่สุดก็มาถึง
แม้ว่าเขาจะคาดเดาว่าซูฉินนั้นได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็เพียงแต่คาดเดา ไม่อาจแน่ใจ ขณะที่พูดก็ลังเลใจกับสิ่งที่ตนพูด แต่ซูฉินไม่เผยได้แม้แต่น้อย ทําให้เขาไม่สามารถตัดสินได้
นอกจากนี้ แม้ว่าซูฉินจะล้มเหลวในการตัดผ่านจริงๆ แต่ด้วยแหล่งกําเนิดธาตุไฟที่ป้องกันร่างกายจากการตัดผ่าน ช่วยลดอาการบาดเจ็บจากสิบจนเหลือหนึ่ง หากไม่สนใจสิ่งใด ก็สามารถระเบิดพลังที่ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพีออกมาได้
“เมื่อเป็นเช่นนั้น”
“ข้าหวังว่าสหายเต่จะไม่เสียใจในอนาคต”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวด้วยความเคร่งขรึม
เมื่อมันเกี่ยวข้องกับแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแค่ตัวเขาเท่านั้น แต่นิกายใหญ่ต่างแดนแห่งอื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมถอย นี่เป็นโอกาสอันดี อาจมีโอกาสที่ข้องเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพี หรือขอบเขตที่สูงกว่าซ่อนอยู่ และนั่นนับเป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งบนโลก
เมื่อมันเกี่ยวข้องกับแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแค่ตัวเขาเท่านั้น แต่นิกายใหญ่ต่างแดนแห่งอื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมถอย นี่เป็นโอกาสอันดี อาจมีโอกาสที่ข้องเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพี หรือขอบเขตที่สูงกว่าซ่อนอยู่ และนั่นนับเป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งบนโลก
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซูฉินยังไม่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้ซูฉินจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว พวกเขาก็จะกัดฟันสู้ไม่ยอมให้โอกาสต่างๆและสมบัติเหล่านั้นต้องหายไป
“อะไร?”
“เจ้าข่มขู่ข้าหรือ?”
ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นอายที่ยากหยั่งถึงพลันแพร่กระจายออกมา
“ไม่กล้าไม่กล้า”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางปฏิเสธทันควัน “สหายเต่ทรงพลังมาก ข้าจะกล้าข่มขู่ได้อย่างไร น่าเสียดาย ถ้าสหายเต๋ายอมรับข้อเสนอของข้า ก็ไม่จําเป็นต้องต่อสู้ฆ่าฟันกัน”
“ในเมื่อสหายเต่ไม่เห็นด้วย ข้าจะขอจากไปก่อน สําหรับการมาเยือนครั้งนี้ ขอขอบคุณสหายเต๋าที่เป็นเจ้าภาพต้อนรับอย่างดี”
ขณะที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพูด ร่างของเขาก็ละลายหายไปกับความมืดอย่างสมบูรณ์
ในการรับรู้ของซูฉิน เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง กําลังพุ่งตัวออกไปนอกเมืองฉางอันด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว