เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 300
Sign in Buddha’s palm 300 ปิดล้อมสังหาร อีกครั้ง
เมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีมันเป็นเพราะความบังเอิญที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดได้หลอมรวมเข้าสู่ทะเลปราณ กล้าดีอย่างไรที่จะเรียกร้องสิ่งอื่นเพิ่มเติม? แต่ซูฉินกลับสงสัยว่าหากเขาผสานจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลปราณจะเป็นเช่นไร
ทะเลปราณนั้นอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าเหมือนกับวิหารการสงครามที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้สิ่งมีชีวิตทั่วไปยากที่จะเข้าถึงมันไปตลอดชั่วชีวิต เฉพาะเมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดหมายจะทะลวงผ่านโซ่ตรวนใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดอันสมบูรณ์พุ่งเข้าไปในความว่างเปล่าสัมผัสถึงทะเลปราณอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้นจึงจะสัมผัสได้
แม้ว่าทะเลปราณจะไม่ใช่ทะเลจริงๆ แต่ก็คล้ายกับทะเลอย่างมาก เป็นทะเลที่ประกอบขึ้นมาจากพลังงานฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุด
ด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดของตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆมีความสามารถในการสัมผัสเพียงแค่พื้นผิวของทะเลปราณเท่านั้น
พลังงานฟ้าดินบริเวณพื้นผิวของทะเลปราณนมีอยู่มากมายก็จริง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับในส่วนลึกแล้วย่ําแย่กว่ามาก
แน่นอน
สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั่วไป ย่อมไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเพียงแค่ผสานเข้ากับพื้นผิวของทะเลปราณก็ต้องใช้พลังไปแทบทั้งหมดแล้ว แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป
ด้วยพลังของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําซูฉินมีพลังเทียบเคียงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แม้จะยังไม่ได้หลอมรวมเข้ากับทะเลปราณ ถ้าเป็นเหมือนตํา นานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆก็ทําได้แค่สัมผัส บริเวณขอบนอกแต่ทําไมซูฉินจะต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ด้วยวิธีเช่นนั้น?
“พลังงานฟ้าดินเปรียบประดุจมหาสมุทรกว้างยิ่งลึกลงไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องทนแรงกดดันมากเท่านั้นการผสานพลังเข้าไปจะยิ่งมีความอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆและหากไม่ระวังคงจะถูกบีบอัดเป็นผุยผงด้วยพลังของทะเลปราณทั้งหลาย”
ซูฉินดูเคร่งเครียด
นี่เป็นเหตุผลที่ทําไมเขาจึงไม่พยายามทะลวงขั้นทันทีหลังจากได้รับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําแม้ว่าร่างกายของซูฉินจะมีพลังมหาศาลแม้แต่กายแห่งธรรมชาติของเซียนเทพปฐพีทั่วๆไปก็ไม่สามารถต่อกรได้แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดยังไม่ได้มีการแปรสภาพครั้งใหญ่
นอกจากนี้ แม้ซูฉินจะสามารถแปรสภาพจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ หากไม่ถึงขั้นทําลายล้างผืนดินได้ในความคิดเดียวมันก็ยังเปราะบางยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าทะเลปราณซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังงานฟ้าดินในโลกหล้านี้
“กระแสปราณฉีกําลังฟื้นคืน ทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าก็ทรงพลังขึ้นเช่นกันในเวลานี้หากจิตวิญญาณหลอมรวมเข้าไปและพบกับคลื่นพลังที่เปลี่ยนแปลงไป เกรงว่าจะถูกซัดจนแหลกสลาย…”
ซูฉินขบคิดอยู่เงียบๆ
แม้กระแสปราณฉีที่ฟื้นคืนจะส่งผลต่อทะเลปราณแต่เมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดต้องการจะทะลวงผ่านมันจะรับรู้ถึงความผันผวนของทะเลปราณได้ง่ายขึ้นเป็นผลดีในการผสานเข้าหามัน
แต่ในข้อดีก็มีข้อเสีย
ได้ผลประโยชน์ก็ย่อมมีความเสี่ยง
“ร่างกายในปัจจุบันของข้า ที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าสู่สภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํามันสามารถควบคุมพลังงานธาตุไฟระหว่างฟ้าดินได้อย่าง ง่ายดาย และไวต่อพลังงานของทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าเป็นอย่าง ยิ่ง…”
การแสดงออกของซูฉินเต็มไปความรู้สึก
ในสถานการณ์เช่นนี้ซูฉินสามารถก้าวเข้าสู่ขอบ เขตเซียนเทพปฐพีได้เพียงแค่ใจคิดโดยไม่มีข้อผิดพลาดใดสาเหตุที่แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าสา มารถช่วยให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดฝ่าฟันไปได้ก็เพราะมันมีพลังงานของธาตุทั้งห้าอยู่อย่างมหาศาลจนสามารถสัมผัสได้ถึงทะเลปราณในส่วนลึก ของความว่างเปล่าด้วยวิธีนี้สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดก็เป็นเหมือนเครื่องนําทางป้องกันความ เสี่ยงที่หลงทางในส่วนลึกของความว่างเปล่า
แต่ตอนนี้ร่างกายของซูฉินได้เข้ามาแทนที่แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าเรียบร้อย ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อเทียบกับแหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าแล้วร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําสามารถสัมผัสทะเลปราณได้ แม่นยํายิ่งกว่า
ไม่ว่าแหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าจะมีค่าเพียงใดจะมาเปรียบเทียบกับร่างกายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร? แม้ว่าร่างกายของซูฉินจะยังคงเป็นร่าง กายมนุษย์ แต่ในบางแง่เขาก็เป็นประหนึ่งลูกรักของพลังงานธาตุไฟไปแล้ว
ขณะที่ซูฉินกําลังคิดว่าจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้อย่างไรโดยไม่ล้มเหลว
นอกเขตแดนอาณาจักรถัง
ภายในหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีกลิ่นหอมของโอสถลอยโชย
ร่างของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ปรากฏขึ้นเงียบๆ
“ชิงหมาง เจ้ามาแล้วรี? ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังยอมรับข้อเสนอของเราหรือไม่?” ไม่นานหลังจากเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางปรากฏกายเสียง ของคนแก่ก็ดังขึ้น ชายชราในชุดขาวค่อยๆเดินออกมาถามไถ่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง
ไม่เพียงแค่ชายชราที่สวมชุดขาวเท่านั้น ยังมีร่างอื่นๆ อีกหลายร่างปรากฏตัวขึ้นอย่างแผ่วเบาจ้องมองมาที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง
“ดูเหมือนจ้าวโอสถจะฟื้นตัวดีแล้ว?” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเหลือบมองชายชราที่สวมชุดขาวรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า “ตํานานยุทธอาณาจักรถังไม่ยอมรับข้อเสนอของเรา”
“หึ!”
“ในเมื่อไม่รับข้อเสนอก็จงไปลงนรกซะการผนึกกําลังของนิกายใหญ่ ต่อให้เป็นเซียนเทพปฐพีก็เพียงพอจะต่อกร ยังจะต้องกลัวตํานาน ยุทธขั้นสูงสุดคนหนึ่งงั้นรึ?” จ้าวโอสถในชุดสีขาว ยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างบางด้านข้างก็เปล่งเสียง เย็นชาราวกับกําลังประกาศชะตากรรมที่ซูฉินจะต้ องเผชิญ
“ถูกต้อง”
“เราได้ให้โอกาสสหายเต่ําจากอาณาจักรถังแล้
ชายชราในชุดคลุมสีขาวพยักหน้าเล็กน้อยร่องรอยความเห็นอกเห็นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “น่าเสียดายที่สหายเตผู้นี้โลภมากจนเกินไป เขาต้องการจะกลืนแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่เอาไว้คนเดียว…”
เมื่อร่างอื่นๆ ได้ยินคําพูดนี้ ท่าทีของพวกเขาก็ ดูเหมือนจะเห็นด้วย
ซูฉินแข็งแกร่งมากสามารถสังหารตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสามซึ่งรวมถึงบรรพบุรุษเหลยสิ่งได้เกรงว่าคนผู้นี้จะเป็นเหมือนพวกเขาที่ก้าวเข้าสู่ชายขอบของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้ว
แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักเพียงใดจะเทียบกับนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมานับหมื่นปีได้หรือ?หากเป็นโอกาสหรือสมบัติอย่างอื่นนิกายใหญ่เหล่านี้อาจจะยอมปล่อยมันไปแต่แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯนั้นแตกต่าง
“เมื่อไหร่กันที่เราจะมุ่งหน้าสู่อาณาจักรถัง”ในเวลานั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“อีกเจ็ดวันต่อจากนี้” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้ายังต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันในการปรับตัว”
แม้ว่าจะบ่มเพาะมากว่าหนึ่งปี ความแข็งแกร่งของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเองก็ได้รับการฟื้นฟูเกือบจะเต็มที่แล้วทว่าหลังจากหลับใหลมานานกว่าสองพันปี เขายังต้องการเวลาในการปรับตัวต่อโลกภายนอกอีกสักพัก
“ดี”
“กําหนดการจะเริ่มต้นขึ้นในอีกเจ็ดวัน”
“จะให้ตํานานยุทธอาณาจักรถังได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกเจ็ดวัน”
เสียงที่เย็นชาในตอนแรกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
คําที่กล่าวออกมา
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง และคนอื่นๆ ไม่มีใครโต้ตอบกลับไป ราวกับมันตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขามันคงจะถึงเวลาตายของซูฉินเสีย แล้ว เมื่อพวกเขารวมพลังมุ่งหน้าไปยังเมืองฉางอันจริงๆ
มันย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอน
ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มากกว่าห้าคนร่วมมือกัน ควบคู่ไปกับสมบัติล้ําค่าจากนิกายใหญ่นอกเหนือจากเซียนเทพปฐพีใครเล่าจะสา มารถเป็นศัตรูกับพวกเขาได้?
ไม่ว่าปราณเลือดของซูฉินจะแข็งแกร่งเพียงใดเขาก็ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีอย่างแท้จริงจะอยู่รอดได้อย่างไรเมื่อเจอกับการ กดขี่เช่นนี้?
อาณาจักรถัง
เมืองฉางอัน
เป็นปกติที่ซูฉินจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นเหมือนกับคนตายในสายตาของเหล่าจอมยุทธครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีจากนิกายใหญ่
แม้ว่าซูฉินจะรู้ แต่เขาคงส่งยิ้มเย็นๆไปให้
เหตุผลที่เขาไม่แสดงความแข็งแกร่งของเขาต่อหน้าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเพราะเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่ได้ลงมือลงได้ภายในวังหลวงทั้งยังมีเหตุผลอีกอย่างที่สําคัญกว่าคือซูฉินต้องการจะจัดการผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหมดในคราวเดียว
ถ้าซูฉินลงมือกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง เหล่าจอมยุทธครึ่งก้าวสู่เซียนเทพปฐพี่จะยังกล้ายืนหยัดต่อสู้ต่อไปอีกหรือ?
ในเวลานั้น หากอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและจัดการกับอาณาจักรถังอย่างเงียบๆซูฉันคงจะต้องใช้เวลามากมายไล่ล่าอีกฝ่ายมันจะไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ?
ในวันนี้เอง
ซูฉันกําลังเดินเล่นไปรอบๆ วังหลวงพร้อมกับเยวหยุนและจักรพรรดิถัง
หลังจากรวมเข้ากับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําในที่สุดซูฉินก็มีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับนิกายใหญ่ทั้งหลายนอกจากนี้เขาก็กําลังพิจารณาอยู่ด้วยว่าจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างไรโดยไม่ล้มเหลวดังนั้นตัวเขาจึงระงับการฝึกฝนมุ่งความสนใจให้กับครอบครัวแทน
“พี่สาม เหล่าจอมยุทธจากต่างแดนล้วนบอกว่าท่านได้ทําลายล้างพรรคหมื่นดาบนี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” ฮองเฮาซูเยวหยุนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
ทุกวันนี้ การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตํานานยุทธจากต่างดินแดนพากันหลั่งไหลเข้ามาในอาณาจักรถังมากขึ้น และแม้แต่ตํานานยุทธจากนิกายเล็กๆในต่างแดนก็หันมาสนใจอาณาจักรถัง
ในยุทธภพต่างแดน นิกายใหญ่ต่างอยู่เหนือทุกสรรพชีวิตอย่างแน่นอน แต่นอกเหนือจากนิกายใหญ่ก็ยังมีนิกายย่อยจํานวนมาก
นิกายเล็กๆ เหล่านี้ด้อยกว่านิกายใหญ่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกลี้ภัยมาอยู่อาณาจักรถัง
อาณาจักรถังเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้
ด้วยพลังอํานาจของซูฉิน นิกายเล็กๆ เหล่านี้ย่อมไม่กล้าเล่นกลอุบายใด
เมื่อนิกายเล็กๆเหล่านี้เริ่มที่จะมาเข้าร่วมซูเยว่หยุนก็เริ่มรู้ถึงความสําเร็จของซูฉินในต่างดิน แดน
เสียงของซูเยวหยุนเพิ่งจะจบไป
จักรพรรดิถังก็เงี่ยหูฟังในทันทีเห็นได้ชัดว่าอยากทราบเรื่องนี้ไม่น้อย
ด้วยการติดต่อกับตํานานยุทธจากต่างดินแดนเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง จักรพรรดิถังจึงตระหนักถึงน้ําหนักของนิกายใหญ่ในต่างแดน
แม้แต่นิกายใหญ่ที่อ่อนแอที่สุดก็สืบทอดมรดกต่อมาเป็นเวลาหลายพันปี เหนือกว่าอาณาจักรถังหลายเท่า
หากไม่มีซูฉิน ศิษย์นิกายใหญ่ระดับล่างก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างอาณาจักรถังเหยียบย่าจักรพรรดิอย่างตัวเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า
“ก็เป็นจริงดังว่า” ซูฉินยิ้มแล้วกล่าวออกอย่างเป็นกันเอง
หลังจากได้รับการยืนยันจากซูฉินจักรพรรดิถังและซูเยวหยุนก็มองหน้ากัน แสดงสีหน้าตกใจ
แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันเรื่องราวนี้มาก่อนแล้วพวกเขาก็ยังคงเสียอาการเล็กน้อยหลังจากได้ฟัง คํายืนยันจากซูฉิน
นั่นคือนิกายใหญ่ที่ได้รับการสืบทอดมานับพันปีมีภูมิหลังนับไม่ถ้วน และมีตัวตนที่แข็งแกร่ง กําเนิดขึ้นมากมายพูดมาได้อย่างไรว่าถูกทําลาย ลงแล้ว?
“พี่สาม พี่กลายเป็นเทพเซียนแล้วหรือ?” ซูเยว่หยุนสงบใจลงและถามอย่างไม่แน่ใจ
“ข้าไม่ใช่เทพเซียน นั่นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตํานานเท่านั้น ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธ
ซูฉินส่ายศีรษะ
ตามความเข้าใจของซูฉินเกี่ยวกับการฝึกฝนวิทยายุทธแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่ใช่เทพเซียนที่แท้จริงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ซูฉินยังไม่ได้เป็น แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ด้วยซ้ํา
ด้วยร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําซูฉินสามารถเทียบเคียงได้กับเซียนเทพปฐพีแต่ก็ไม่ใช่เซียนเทพปฐพี
ซูเยวหยุนและจักรพรรดิถังเมื่อได้ยินดังนั้นพวกเข้าก็พยักหน้าตามคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
เมื่อซูเยว่หยุนต้องการจะกล่าวต่อ
ซูฉินก็เงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ พร้อมกับมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
“ในที่สุดก็มากันหมดแล้ว”ซูฉินกระซิบคํา
“มากันหมดแล้ว? พี่สาม ท่านกําลังพูดถึงใครหรือ?”จักรพรรดิถังไม่ทันรับรู้สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า
นอกจากพวกเขาแล้ว ก็มีทหารลาดตระเวนอยู่แถวนี้ยังมีใครอื่นอยู่แถวนี้อีกหรือ?
ในขณะที่จักรพรรดิถังและซูเยวหยุนยังไม่เข้าใจเรื่องราว
จากอากาศอันว่างเปล่าเสียงที่ดูไม่แยแสก็ดังขึ้นในทันใด
“ฮ่าฮ่าฮ่า เคยได้ยินชิงหมางกล่าวถึงเมื่อนานมาแล้วสหายเต่ช่างมีสัมผัสที่เฉียบแหลมดูเหมือนจะไม่ธรรมดาจริงๆ”
จากนั้นจักรพรรดิถังและซูเยว่หยุนก็พากันเบิกตากว้างตื่นตกใจ
เห็นส่วนลึกของความว่างเปล่ามีร่างคนค่อยๆออกมาทีละคนจนสุดท้ายก็เผยตัวออกมาถึงเจ็ดร่างลอยอยู่สูงเหนือพระราชวังมองลงมาประหนึ่งทวยเทพมองมดบนดิน
ทันทีที่ร่างทั้งเจ็ดปรากฏขึ้น รัศมีพลังของพวกมันก็พุ่งสูงขึ้นราวกับจะทําลายสิ่งกีดขวางทุกสิ่งจนเผยให้เห็นทะเลปราณอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด 24