เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - ตอนที่ 316 ฟ้าดินอลหม่าน
“เข้ามาหาเรื่องตาย!”
เมื่อคํากล่าวได้หลุดออกมา ทุกคนในที่แห่งนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี เหลยเฉียนจือที่มีท่าที่สงบ และลึกล้ําก็เริ่มเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด
ตั้งแต่เหลยเฉียนจือถมทะเลด้วยแผ่นดินขยายเกาะเทพเจ้าสายฟ้าด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ จนมันขยายออกไปหลายร้อยล์ในฉับพลัน ในยุทธภพต่างดินแดนมีใครไม่รู้บ้างว่าเหลยเฉียนจือเป็นเซียนเทพปฐพีแล้ว?”
ซูฉินกลับบอกให้เซียนเทพปฐพี เข้ามาหาความตาย ด้วยน้ําเสียงที่หนักแน่นเช่นนี้ หากมองไปทั่วยุทธภพต่างแดน ในรอบหลายพันปีที่ผ่านมานี้ เกรงว่าคงจะไม่มีคนที่สองที่ทําเช่นนี้
รู้หรือไม่ว่านี่คือเซียนเทพปฐพีไม่ใช่หมาแมว เซียนเทพปฐพี่ทุกคนเป็นตัวตนที่ไม่มีใครเทียบเทียม มีอํานาจเหนือผู้คนบนโลก แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นตัวตนระดับสูง เซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุดอย่างจ้าวทะเลบูรพายังยึดครองน่านน้ําทะเลบูรพาจับภูตอสูรไปเป็นทาสอย่างป่าเถื่อนได้ด้วยซ้ํา
“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังไม่รู้หรือว่าเหลยเฉียนจือ ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว?”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? ไม่ต้องกล่าวถึงข่าวที่เหลยเฉียนจือถมทะเลด้วยแผ่นดินนั้นแพร่ก็จะไปทั่วมาตั้งนานแล้ว แม้ว่ามนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะไม่รู้จริงๆ แต่เหลยเฉียนจือก็ได้มาถึงที่แห่งนี้แล้ว ด้วยกลิ่นอายระดับนี้ มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะไม่รู้ได้อย่างไร?”
จอมยุทธหลายคนมองไกลออกไป กล่าวออกด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา
เซียนเทพปฐพีอย่างเหลยเฉียนจือนั้น ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเขาได้รับการขัดเกลาด้วยทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าแล้ว และในบางแง่มุมมันย่อมเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไป
เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนเช่นนี้ ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่และชั้นที่ห้าคงไม่เป็นอะไร อย่างดีที่สุดก็แค่สามารถสัมผัสได้ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หกไปจนถึงตำนานยุทธขั้นสูงสุด ย่อมจะสัมผัสถึงกลิ่นอายของเซียนเทพปฐพี่ที่แสนน่าสะพรึงกลัวได้
กลิ่นอายนี้คล้ายเป็นการรวมตัวกันของมนุษย์และฟ้าดิน เป็นตัวแทนของโลกทั้งใบ มันทรงพลังถึงขนาดที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองโดยตรง
ตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเซียนเทพปฐพี ไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนอย่างซูฉินที่เทียบเคียงเซียนเทพปฐพีจะไม่รู้ได้อย่างไร?
เกรงว่าเมื่อเหลยเฉียนจือก้าวเข้าสู่แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ คงจะทําให้มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังตื่นตัวตั้งแต่แรกแล้ว
แต่กระนั้น หลังจากมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังรู้ถึงความแข็งแกร่งของเหลยเฉียนจือ เขาก็ยังทิ้งประโยคอย่างเข้ามาหาเรื่องตายเอาไว้ ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
นอกเมืองฉางอัน
สีหน้าของเหลยเฉียนจือกลับมาสงบอีกครั้ง เขาเหลือบมองไปยังส่วนลึกของเมืองฉางอันก้าวเท้าและหายตัวไปจากที่เดิมทันที
“เข้าไปแล้ว”
“เหลยเฉียนจือเข้าไปแล้ว”
“เกรงว่าจะมีการแสดงดีๆ ให้ได้รับชมในภายหลัง
“พวกเราออกห่างหน่อยดีกว่า กรณีที่ทั้งสองต่อสู้กัน ผลจากการต่อสู้คงจะรุนแรงยิ่ง ต่อให้ข้ามีสิบชีวิตก็คงต้องตายอยู่ดี”
จอมยุทธนับไม่ถ้วนดูเคร่งเครียด ถอยห่างออกไปหลายอย่างรวดเร็ว ความคาดหวัง ปรากฏขึ้นในแววตามองเข้าไปในเมืองฉางอัน
แม้ว่าจะเป็นนิกายใหญ่ ก็คิดเห็นว่าการที่เหลยเฉียนจือมาพบมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังเช่นนี้ หรือแม้แต่จอมยุทธธรรมดาที่ไม่รู้อะไรเลยก็ยังตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ประกอบกับวลีที่ว่า ‘เข้ามาหาเรื่องตาย” ที่เอ่ยออกมาโดยมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังซึ่งไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย การเผชิญหน้ากันระหว่างมนุษย์สวรรค์ทั้งสองอาจจะเริ่มต้นขึ้นนานแล้วก็เป็นได้
ด้านนอกวังหลวง
ซูฉินในชุดดํายืนอยู่บนอากาศ มองลงไปที่เหลยเฉียนจอที่กําลังเดินอย่างช้าๆเข้ามาหา
“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง เจ้าปล่อยให้ข้าเข้ามาตาย ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะใช้อะไรในการสังหารเซียนเทพปฐพี่”
เหลยเฉียนจือมองตรงไปที่ซฉิน รัศมีพลังของเขาส่องประกายเผยให้เห็นถึงพลังทําลายล้าง
“ใช้อะไรในการสังหาร?”
ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ก็ตามปกติ สังหารด้วยมือนี้แหละ”
“ฮ่าฮ่า”
ดวงตาของเหลยเฉียนจือเย็นชา ในตอนนี้เขาไม่สามารถปกปิดจิตสังหารในใจได้อีกต่อไป ไอพลังอันน่าสยดสยองแพร่กระจายออกไปในทันที เมฆก้อนใหญ่มารวมตัวกันทั่วเมืองฉางอัน และมองเห็นทะเลปราณอันไร้ที่สิ้นสุด
“เป็นวาจาที่ใหญ่โตเหลือเกิน
เสียงของเหลยเฉียนจือแผดคํารามราวกับฟ้าร้อง “ข้าฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสามร้อยปีในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ ไม่รู้ว่าเจอวิกฤติความเป็นความตายมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ในที่สุดข้าก็เข้าใจแก่นแท้ของหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์และได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก่อนจะออกมา”
“แม้แต่ดินแดนต้องห้ามก็ไม่สามารถสังหารข้าได้ แล้วมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะสังหารข้าได้อย่างไร?”
เสียงของเหลยเฉียนจือที่เหมือนกับฟ้าร้อง ดูเหมือนจะตั้งคําถามกับซูฉิน แต่ในความเป็นจริง มันกําลังวัดพลังของตนเอง
การเผชิญหน้าระหว่างเซียนเทพปฐพี่เมื่อเทียบกับตํานานยุทธยุทธแล้วนั้น จะให้ความสําคัญกับจิตใจและจิตวิญญาณแรกกําเนิดมากกว่า ในขณะที่ตํานานยุทธจะวัดกันที่อาณาเขตและร่างกายเพียงเท่านั้น
“หุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์?”
“ไม่คาดคิดเลยว่าเหลยเฉียนจือจะถูกกักขังอยู่ในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์?”
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่จะออกจากเมืองฉางอันไปเพื่อชมการต่อสู้จากระยะไกล เพราะพวกเขากลัวว่าจะได้ผลกระทบ แต่ยังมีจอมยุทธที่กล้าเข้าใกล้ นอกจากนี้ บรรพชนจากนิกายใหญ่ทั้งหลายก็ยืนอยู่ไม่ไกลเช่นกัน
“แน่นอนว่าหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์นั้นเป็นดินแดนต้องห้ามในต่างดินแดนที่เซียนเทพปฐพีก็ไม่กล้าเข้าไป เหลยเฉียนจืออยู่ในนั้นมาสามร้อยปีโดยไม่ตกตาย ทั้งยังได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเช่นนั้นหรือนี่?”
มีบรรพชนมองขึ้นไปบนฟ้าและถอนหายใจ ทอดถอนอารมณ์ออกมา
ในต่างดินแดนมีสถานที่ต้องห้ามเก้าแห่ง ดินแดนต้องห้ามทั้งเก้าแห่งนี้เกี่ยวข้องกับยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนต้องห้ามอันดับหนึ่ง หุบเหวลึก ที่เป็นสนามรบที่มนุษย์และปีศาจจากโลกถ้ําปีศาจจํานวนนับไม่ถ้วนต่อสู้กัน
ไม่ต้องกล่าวถึงตํานานยุทธ แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่ยอมเข้าใกล้พื้นที่ต้องห้ามเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล
ส่วนหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์เป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสายฟ้า ในส่วนลึกของหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ก็มีแม้แต่ร่องรอยของสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มีเซียนเทพปฐพี่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าต้องการจะใช้พลังจากหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ในการฝึกเคล็ดวิชา แต่ผลที่ได้กลายเป็นต้องรับบาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าใครก็คงนึกภาพความน่ากลัวของดินแดนต้องห้ามนี้ได้
บรรพชนทั้งหลายไม่เคยคาดคิดว่าเหลยเฉียนฉือจะพบโอกาสที่ดีเช่นนี้
ขณะที่ความคิดของผู้คนกําลังหลั่งไหลนั้น
นอกวังหลวง เหลยเฉียนจือก็ยกมือขวาขึ้น ค่อยๆดึงดาบยาวสองเมตรที่อยู่ด้านหลังออกมา
“ใครๆ ต่างก็คิดว่าหุบเขาสายฟ้าเป็นสถานที่ต้องห้าม แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ที่เข้าไปภายในยังบาดเจ็บสาหัส แต่ในความเป็นจริง ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด หุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดได้ทิ้งมรดกเอาไว้”
“พลังสายฟ้าในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์เป็นเพียงบททดสอบของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้น”
น้ําเสียงของเหลยเฉียนลือเย็นชาและไม่แยแส บอกความลับอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยท่าทีเฉยเมย
ไม่รู้ว่ามีสายฟ้าสะสมอยู่ภายในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์มากแค่ไหน แม้แต่เซียนเทพปฐพีจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็เข้าไปด้านในสุดไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนอื่น
แม้ทุกคนจะรู้ว่าหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์เป็นสถานที่สืบทอดมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแล้ว มันอย่างไรเล่า?
“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด?”
หัวใจของซูจินกระตุก
ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสามารถทะลวงผ่านความว่างเปล่า และเปิดโลกใบเล็กอย่างประตูเซียนขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงยุคกระแสปราณฉีเงียบงันได้ วิธีการดังกล่าวไม่ต่างไปจากเทพเซียนไม่ใช่หรือ?
และตอนนี้เหลยเฉียนซื้อกล่าวว่าหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์นั้นเกี่ยวข้องกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ทั้งยังเป็นถึงสถานที่สืบทอดมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด เป็นธรรมดาที่จะสร้างคลื่นลมขึ้นในใจของซูฉิน
เหลยเฉียนจือเพิกเฉยต่อท่าทีของซูฉิน แล้วดึงดาบยาวกว่าสองเมตรที่อยู่ด้านหลังออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าดาบเล่มนี้มาจากไหน?”
“ข้าทนทุกข์ทรมานในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์มาเป็นเวลากว่าสามร้อยปี นอกจากการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว ก่าไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือมันนี่แหละ”
“ดาบเล่มนี้คือดาบสายฟ้า ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดถึงขนาดหล่อหลอมมันอย่างเต็มที่ด้วยสายฟ้า สวรรค์เก้าชั้นฟ้า แม้ว่าจะไม่ใช่สมบัติล้ําค่า แต่ก็อยู่ไม่ไกลมากแล้ว”
เหลยเฉียนจือถือดาบสายฟ้ายาวสองเมตรในมือขวาแล้วสะบัดออกอย่างสบายๆครีด
เมื่อคมดาบฟาดผ่านอากาศ ภายในความว่างเปล่าก็เหมือนกับมีสายฟ้าสีม่วงแลบออกมา ไม่ถึงขนาดฉีกความว่างเปล่าออก แต่ก็น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย
เหลยเฉียนจือไม่ได้ใช้พลังอะไรของดาบสายฟ้า เพียงแค่โบกมันเบาๆ ก็ถึงกับเกิดฉากดังกล่าวขึ้น แสดงว่าพลังสายฟ้าที่มีอยู่ภายในดาบสายฟ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อมันปลดปล่อยพลังจริงๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะคุกคามเซียนเทพปฐพี
“เกินหนึ่งหมื่นปีแล้ว”
“ดาบสายฟ้าเล่มนี้หลับใหลมานานกว่าหนึ่งหมื่นปีในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ และตอนนี้ข้าจะปล่อยให้มันได้ดื่มเลือดมนุษย์สวรรค์”
พลังสายฟ้าของเหลยเฉียนจ่อยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีสายฟ้าจริงๆ อยู่ภาย ในกลิ่นอายพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ทะลักท่วมทุกพื้นที่ ราวกับเทพเจ้าสายฟ้าตัวจริงมาอยู่ที่นี่
ในเวลาเดียวกัน
ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ แม้แต่อากาศโดยรอบยังแข็งตัว
พลังปราณฉีฟ้าดินโดยรอบนั้นไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างเต็มที่ รอบตัวในระยะร้อยล์ที่เหลยเฉียนจ่อยืนอยู่ เขาควบคุมทุกสิ่งราวกับเป็นพระเจ้า พลังต่างๆ ถูกเขาควบคุมไว้หมด
อาณาเขตขนาดใหญ่!
หากเป็นอาณาเขตขนาดเล็กของต่านานยุทธขั้นสูงสุดจะสามารถครอบคลุมได้เพียงระยะร้อยจ้าง หากชํานาญหน่อย ระยะร้อยจ้างนั้นก็สามารถควบคุมปราณฉีไว้ได้ทั้งหมด
ส่วนอาณาเขตขนาดใหญ่ของเซียนเทพปฐพี่ไม่เพียงแต่ใหญ่กว่า มีระยะร้อยล์ไปจนถึงหลายร้อยลี้ แต่ในแง่ของการควบคุม มันยังมีอํานาจเหนือกว่าอาณาเขตขนาดเล็กไปไกลโข
หลังจากที่เหลยเฉียนจ่อดึงดาบออกมา เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะเก็บออมกําลังของตนไว้ และเลือกปราบปรามซูฉินด้วยอาณาเขตขนาดใหญ่โดยตรง
แม้ว่าในสายตาของเหลยเฉียนจือ ซูฉินจะเป็นเซียนเทพปฐพีและมีอาณาเขตขนาดใหญ่คอยคุ้มกัน แต่อาณาเขตขนาดใหญ่แต่ละอันนั้นก็แตกต่าง
ตัวอย่างเช่น เหลยเฉียนจือเป็นเซียนเทพปฐพีวิถีสายฟ้า อาณาเขตขนาดใหญ่ของเขาเชียวชาญในการโจมตีมากกว่า จะเข้าใกล้ศัตรูทีละนิดด้วยสายฟ้าที่เลื้อยเข้าไปราวกับง
“ไร้สาระ
ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง และก้าวไปด้านหน้าเล็กน้อย
ตึง!
จังหวะนั้นเหมือนเหยียบเข้าไปโดนจุดใดจุดหนึ่ง เปลือกตาของเหลยเฉียนจือถึงกับกระตุก รู้สึกว่าอาณาเขตขนาดใหญ่ของเขาไม่สามารถปราบปรามซูฉินได้
การย่างก้าวของซูฉินนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจ แต่จริงๆแล้วมันเหยียบลงบนรากฐานอาณาเขตขนาดใหญ่ของเหลยเฉียนจือ โชคดีที่อาณาเขตขนาดใหญ่นั้นเสถียรมาก ไม่เช่นนั้น หากมันถูกเปลี่ยนเป็นอาณาเขตขนาดเล็ก ป่านนี้คงพังทลายลงไปแล้ว
“มอบชีวิตมาให้ข้า!!” เหลยเฉียนจือตะโกนออกมาทันที ยกดาบสายฟ้าแล้วฟันไปทางซูฉินโดยไม่ลังเล
บูมบูม
ดาบสายฟ้าในมือของเหลยเฉียนจือปล่อยพลังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับมันเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ต้องการจะมอบความพิโรธแห่งสวรรค์มาลงโทษซูฉิน
ในเวลานี้เหลยเฉียนจือได้ถ่ายเทพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมดของเขาเข้าไปในดาบสายฟ้าโดยตรง ซึ่งทําให้สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภายในดาบสายฟ้าถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ไอพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นน่าสะพรึงกลัวจนทําให้ชั้นฟ้าดินสั่นสะเทือน
“มาได้ดี!!”
ดวงตาของซูฉินไม่มีความผันผวน แต่เลือดในกายของเขาเริ่มเดือดพล่าน ก้าวเท้าเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พร้อมกับชกหมัดเข้าใส่เหลยเฉียนจือที่ถือดาบสายฟ้าอยู่
บูม
อากาศเดือดพล่าน พลังพลุ่งพล่าน และพลังฟ้าดินในรัศมีหลายร้อยล์เริ่มสั่นไหว เมื่อเท้าของซุฉินแตะลงไปบนช่องว่างของความว่างเปล่า กลิ่นอายของเขาก็ยิ่งใหญ่ ราวกับเทพเซียนท่องลงมาบนโลก
ความว่างเปล่าอันเงียบสงัด ทันใดนั้นก็สั่นสะท้าน บรรพชนทั้งหลายที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ไม่ไกลก็รู้สึกว่าฟ้าดินปั่นป่วนอลหม่านกลับหัวกลับหางไปหมด ประหนึ่งโลกเข้าใกล้จุดสิ้นสุด