เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 12 ร่างเงา
Sign in Buddha’s palm 12 ร่างเงา
ซูฉินแลกเปลี่ยนวาจากับหัวหน้าตำหนักลานจิปาถะจากนั้นจึงค่อยจากไป
ก่อนจะจาก ซูฉินถามหัวหน้าตำหนักว่าช่วงนี้มีอะไรที่เขาอยากจะทำเป็นพิเศษหรือไม่
เพราะซูฉินได้เห็นแล้วว่าเวลาของหัวหน้าตำหนักลานจิปาถะล่วงเลยจนถึงบั้นปลายชีวิตแล้ว
ในโลกยุทธภพนี้ ช่วงชีวิตของชาวยุทธนั้นแน่นอนว่ายาวนานกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงระดับตำนานยุทธหรือระดับอรหันต์ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็มีอายุขัยไม่เกินไปกว่าสองร้อยปี
แล้วสองร้อยปีนั้นก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาอย่างนานที่สุด ความเป็นจริงคือ มีผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หนึ่งจำนวนมากยังห่างไกลจากการมีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุสองร้อยปี
เนื่องจากผู้ฝึกวิทยายุทธทุกคนล้วนมีอาการบาดเจ็บตกค้างภายในกายกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย ซึ่งนั่นเองที่เป็นเหตุทำให้อายุขัยสั้นลง
“ทุกสิ่งอย่างยังคงเดิม เปลี่ยนไปก็เพียงแค่ผู้คน…”
ซูฉินเดินเชื่องช้าไปตามทางเดินสีเขียวอันร่มรื่นของวัด ครุ่นคิดลึกซึ้งในอารมณ์
หัวหน้าตำหนักลานจิปาถะสามารถพูดได้เลยว่าเป็นผู้แนะนำของเขา เป็นผู้นำทาง หากไม่มีหัวหน้าตำหนักคนนี้ล่ะก็ ซูฉินจะไม่แม้แต่พำนักอยู่ที่วัดเส้าหลินได้
แต่ตอนนี้ สิบปีให้หลัง หัวหน้าตำหนักใกล้ที่จะมรณภาพเต็มที
“ว่ากันว่าตราบใดที่ขึ้นไปถึงระดับอรหันต์หรือก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธ จะเป็นหนุ่มสาวไปตลอดโดยที่ระบบการทำงานในร่างกายจะย้อนกลับคืนสู่จุดสูงสุดและมีช่วงชีวิตยาวนานถึงห้าร้อยปี”
บัดนั้นซูฉินก็นึกถึงบันทึกในคัมภีร์
คำนึงถึงองค์ความรู้เหล่านี้ ต้องยกย่องวัดเส้าหลินในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพ มีข้อมูลลับสุดยอดมากมายเกี่ยวกับวิชายุทธที่หาอ่านได้ในวัดเส้าหลินนี่เอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลเกี่ยวกับระดับ ‘อรหันต์‘
“อรหันต์” ของเส้าหลินเทียบเท่ากับตำนานยุทธ ในยุทธภพ
ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับเหล่าตำนานยุทธเก็บเป็นความลับสุดยอดของสุดยอด
“อายุยืนยาวถึงห้าร้อยปี…”
ซูฉินรู้สึกอิจฉามากทีเดียว
ถึงแม้ว่าซูฉินจะฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] จนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ กายเนื้อของเขาคงสภาพอยู่ในระดับสูงสุดตลอดเวลาและเขายังเป็นหนึ่งในยอดปรมาจารย์ส่วนน้อยที่สามารถมีอายุยืนถึงสองร้อยปีได้จริงๆ แต่อายุยืนสองร้อยปีจะไปเทียบอะไรได้กับห้าร้อยปีกันเล่า
อย่างหลังมันมากกว่าสองเท่าของอย่างแรกอีกนะ
“ระดับอรหันต์อย่างนั้นสินะ…”
ความคิดของซูฉินเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง
ตลอดมาตั้งแต่ที่ซูฉินเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง มันเห็นได้ชัดว่าความเร็วในการฝึกตนได้ลดต่ำลง
“ช่างมันประไร”
“ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า”
“ข้าอายุเพียงยี่สิบปีในยามนี้ ยังมีชีวิตได้อีกตั้ง 180 ปี ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะไม่สามารถข้ามผ่านไปได้”
ซูฉินขบคิดเงียบงัน
จังหวะนั้นเองซูฉินก็ได้เข้ามาในศาลาพระคัมภีร์
[ระบบ ลงชื่อเข้าใช้ที่นี่]
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้งานสำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา “ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ”]
“ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ?”
ซูฉินดีใจมาก
ท่ามกลางเคล็ดวิชาในวัดเส้าหลิน [ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ] เป็นเคล็ดวิชาที่ดีมากสำหรับการสังหาร เมื่อฝึกฝนจนเข้าสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มันสามารถบีบอัดพลังของทัณฑ์ทรมานและฆ่าคนจากระยะไกลแสนไกลได้ผ่านอากาศ
หวึ่ง!
ฉับพลัน ความเข้าใจในวิชา [ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ] ก็เข้ามาในมโนจิตของซูฉิน
[ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ] ไม่ได้แข็งแกร่งเท่า [ฝ่ามือยูไล] ดังนั้นด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินที่เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันก็ง่ายสำหรับเขาที่จะบรรลุวิชา [ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ] ไปถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
“ไร้รูป ไร้เสียง”
“สังหารได้เพียงพริบตา”
“ช่างน่าสงสัยในจิตใจของศิษย์พี่ผู้คิดค้นเคล็ดวิชาจริงๆ ว่ามันเป็นอย่างไร…”
ซูฉินยิ้มน้อยๆ มีพลังเจือจางอยู่ระหว่างนิ้วของเขา ตราบที่ซูฉินมีความตั้งใจจะทำ เขาสามารถสังหารผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ด้วยใช้ออกเพียง [ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ]
ตอนที่เขากำลังชื่นชมกับทักษะยุทธอันใหม่ พลันรับรู้บางสิ่ง
ในตอนนั้น
การแสดงออกของซูฉินก็เปลี่ยนไป
“มีคนแอบย่องเข้ามาในวัดเส้าหลินรึ?”
…
ในเวลาเดียวกัน
เงาดำย่องเงียบเชียบ เข้ามาด้านในศาลาพระคัมภีร์
“อาการธาตุไฟเข้าแทรกของท่านประมุขพรรคยากเย็นนักที่จะฟื้นตัว ว่ากันว่าวิชาอี้จินจิง (คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น) ของเส้าหลินมีผลอันยอดเยี่ยมสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทั้งยังครอบคลุมถึงอาการบาดเจ็บหนักด้วย”
“ตราบเท่าที่ข้าทำตามที่ประมุขพรรคได้กล่าวใช้ให้มาขโมยอี้จินจิง ข้าก็จะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม!” ร่างนั่นบ่นพึมพำกับตนเอง
วัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคที่ตกต่ำลงในช่วงร้อยปีนี้ เป็นที่แน่นอนว่ามันดึงดูดความสนใจจากกองกำลังต่างๆ ในยุทธภพ รวมไปถึงพรรคฝ่ายอธรรมที่อยู่เบื้องหลังร่างสีดำนั่น
เวลานี้ ประมุขพรรคมารได้ให้ร่างเงาดำนั่นมาที่นี่ นอกเหนือจากฉกฉวย [คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น] เพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บแล้ว เขายังต้องการทดสอบกำลังของวัดเส้าหลิน
“ยิ่งไปกว่านี้ ที่มากไปกว่าคัมภีร์อี้จินจิง วัดเส้าหลินยังมีเคล็ดวิชาชั้นสูงอีกตั้งเจ็ดสิบสองวิชาที่โด่งดัง ถ้าข้าได้รับไปสักหลายคัมภีร์หน่อย ไม่ใช่ว่าต่อไปข้าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรอกหรือ?”
ดวงตาของเงาร่างนั้นสาดประกายความโลภ
ในการฝึกฝนวิชายุทธ นอกจากความเพียรและพรสวรรค์ส่วนตนแล้ว มันยังต้องการโอกาสจากภายนอกร่วมด้วย
สำหรับร่างเงาที่ลอบเร้นมา ศาลาพระคัมภีร์ตรงหน้าคือโอกาสชั้นยอดนั้น
แต่เมื่อร่างสีดำจะสำรวจศาลาพระคัมภีร์ มันเห็นพระกวาดลานห่มจีวรสีเทากำลังเดินอย่างเชื่องช้า
“พระกวาดลาน?”
“โชคไม่ดีจริงๆ ทำไมเจ้าต้องออกมาเวลานี้ด้วย”
ร่างเงานั้นขมวดคิ้วมุ่น มันทำได้เพียงอดทนและต้องการจะรอจนกว่าพระกวาดลานจากไปจึงค่อยเข้าไปด้านในศาลาพระคัมภีร์
วิชาฝึกตนของร่างเงานั้นค่อนข้างพิเศษ เมื่อใช้ออกจนสุด มันสามารถกลมกลืนไปกับเงาจนเกือบแยกไม่ออก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนพยายามเพ่งหาก็ไม่มีทางมองหาร่างเงานั้นได้พบ
นั่นเป็นสาเหตุทำไมประมุขพรรคมารจึงส่งบุคคลผู้นี้มา
ในแง่ของการซุ่มซ่อนลอบเร้น ร่างเงานั้นนับว่าเหนือไปกว่าสามระดับบนเสียอีก
อย่างไรก็ตาม
แม้ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ร่างเงาพบว่าไม่เพียงพระกวาดลานนั่นจะไม่จากไป ยังกวาดมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับมัน
นอกจากนี้ มันไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่ร่างเงารู้สึกได้ตลอดว่าพระกวาดลานผู้นี้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันหลบเลี่ยงตัวของร่างเงาที่ซ่อนอยู่ไปตลอดการปัดกวาด
“พระกวาดลานนั่นคงไม่ได้พบตัวข้าเข้าให้แล้วหรอกกระมัง?”
ร่างเงารู้สึกไม่แน่ใจและเจตนาฆ่าฟันก็ก่อตัวขึ้นในใจ
ถ้าเป็นไปตามที่มันคิด พระที่กวาดลานอยู่นี่ คงปล่อยไปไม่ได้
หากปล่อยอีกฝ่ายไปแล้วมันพยายามพูดเรื่องโง่เง่าหลังจากไปแล้วล่ะก็ จะต้องดึงดูดความสนใจจากเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินแน่ๆ แบบนั้นแผนการขโมยคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นก็ล้มเหลวสิใช่ไหม?
คิดได้ดังนั้น ร่างเงาตัดสินใจจะจบชีวิตพระกวาดลานนี่ก่อนที่จะเข้าไปในศาลาพระคัมภีร์
แต่เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นมาข้างหู
“นี่คือพื้นที่หลักของวัดเส้าหลิน ประสกลอบเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตและละเมิดกฎเกณฑ์”
“นั่นใครพูดน่ะ?”
เสียงดังหึ่งๆ ในหูของร่างเงาและบังคับดึงเขาออกจากสถานะลอบเร้น ร่างเงาถึงกับตื่นตระหนก
น่าเหลือเชื่อที่มีใครสามารถดึงเขาออกจากการลอบเร้นเพียงใช้เสียง
ระดับชั้นที่สาม?
ระดับชั้นที่สอง?
หรือว่า…
ร่างเงาไม่อาจกล้าจะคิดต่อไปอีก
อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ทำให้ร่างเงาเหลือเชื่อขึ้นไปอีกนั่นก็คือพระจีวรเทาที่กำลังกวาดพื้น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาของทั้งคู่สบกัน
“เป็นท่าน?!”
ร่างเงาหน้าเปลี่ยนสีจ้องมองตรงไปที่พระกวาดลาน
ร่างเงานั้นสามารถรู้สึกได้ว่าพระกวาดลานตรงหน้าตนนั้นแสนจะธรรมดา ไม่มีความผันผวนของกำลังภายใน
ถ้าเป็นก่อนหน้า ร่างเงาคงคิดว่าพระรูปนี้เป็นคนธรรมดาจริงๆ
แต่ตอนนี้มันไม่มีความคิดนั้นเลย
คนธรรมดาจะมองผ่านการลอบเร้นของเขางั้นหรือ?
คนธรรมดาจะสามารถบังคับดึงเขาออกจากสถานะลอบเร้นได้หรือ?
หนังศีรษะของร่างเงาชาวาบ และเกือบจะวิ่งหนีไปด้วยความผวาแล้ว
ซูฉินรู้สึกว่ามันช่วยไม่ได้
ถ้าร่างเงาเพียงเข้าศาลาพระคัมภีร์มาโดยตรง ซูฉินจะทำเป็นว่าไม่เห็นอะไร
ตราบที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำลายศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินหน่ายเกินกว่าจะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือซูฉินนั้นไม่ต้องการเข้าไปยุ่งแต่ร่างเงายังคิดที่จะฆ่าเขาแบบนี้…..