เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 126 ทิพยอํานาจ กายเนื้อกําเนิดใหม่
Sign in Buddha’s palm 126 ทิพยอํานาจ! กายเนื้อกําเนิดใหม่!
ในขณะที่แก่นแท้แห่งพลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง ซูเยว่หยุนก็รู้สึกง่วงงุน และผล็อยหลับไปภายในไม่นาน
“หยุนเหนียงคงทรมานไม่น้อยเลย”
หลังจากที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงเฝ้ามองซูฉินอยู่สักพัก เขาก็เบนความสนใจไปที่บุตรและบุตรีฝาแฝดที่อยู่ข้างๆ
ซูฉินเองก็ชําเลืองมองดูเช่นกัน
“เอ๋?”
ซูฉันรู้สึกประหลาดใจ
เด็กทั้งสองคนเป็นทารกแรกเกิด แต่เมื่อซูฉินมองไปก็พบว่าเด็กผู้ชายนั้นปกติดี แต่เด็กผู้หญิงนั้นมีร่างกายที่ปลอดโปร่งอย่างยิ่ง
“อัจฉริยะด้านการฝึกยุทธ?”
ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตามีแววครุ่นคิด
โดยทั่วไปของคนปกติ เส้นลมปราณทั้งหมดจะถูกปิดกั้นตั้งแต่กําเนิด และมีเพียงการฝึกฝนวิทยายุทธต่อไปเรื่อยๆ ถึงจะค่อยๆ เปิดเส้นลมปราณเหล่านั้นได้
แน่นอนว่าจะมีบางคนที่เกิดมาโดยมีร่างกายที่ไม่ถูกปิดกั้นเส้นลมปราณเลย คนเหล่านี้เมื่อเดินในเส้นทาง การฝึกยุทธจะสามารถเติบโตก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็จะไปถึงขอบเขตสามระดับบนโดยไม่มีปัญหาใด
ซูฉินไม่คิดว่าบุตรีของซูเยว่หยุนจะเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกยุทธเช่นนี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าซูฉินจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันผิดแปลกแต่อย่างใด
ในระดับของซูฉินนั้น เขามีความสามารถเหนือกว่าเหล่าอัจฉริยะมาตั้งนานแล้ว แม้ว่าจะมีดวงใจพุทธะ เช่น เฉียนขู่ ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของซูฉิน
สําหรับผู้ฝึกยุทธ พรสวรรค์ที่เหนือกว่าก็แค่ช่วยให้ใช้เวลาน้อยกว่าในการฝึกฝนวิทยายุทธ แต่ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝน ไปจนถึงขีดสุดหรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงพลังจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพึ่งพาเพียงแค่พรสวรรค์ได้
ซูฉินรอคอยอยู่พักหนึ่งและหลังจากแน่ใจแล้วว่าซูเยว่หยุนสบายดีเขาก็จะกลับไปยังตําหนักชุนฝั่งขวา
ส่วนองค์จักรพรรดิถังหลี่เชิง เขากําลังมองไปที่ทารกฝาแฝดด้วยหัวใจอันเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น
ซูฉินเดินออกจากพระราชวังคุนหนึ่งไปอย่างช้าๆ และแวะหยุดพักเมื่อผ่านไปถึงจัตุรัสหยกขาว
“วันนี้ข้ายังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้เลยนี่นา…”
ซูฉินเหลือบมองไปที่จัตุรัสหยกขาว และพูดขึ้นภายในใจเงียบๆ “ระบบลงชื่อเข้าใช้”
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับทิพยอํานาจ ‘กายเนื้อกําเนิดใหม่’]
“ทิพยอํานาจ?”
จิตวิญญาณภายในของซูฉินถึงขั้นตกตะลึง
หลังจากลงชื่อเข้าใช้มามากกว่าสามสิบปี ซูฉินได้รับเคล็ดวิชามหัศจรรย์ โอสถ สมบัติฟ้าดินและสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย
แต่เคยได้รับทิพยอํานาจเพียงแค่ครั้งเดียว
นั่นคือดวงตาแห่งสัจจะที่ลงชื่อได้มาจากวิหารพระสหัสพุทธ
การที่ได้รับมาเพียงครั้งเดียวภายในเวลาสามสิบปี จะเห็นได้ว่าทิพยอํานาจนั้นหายากเพียงไร
แต่ตอนนี้ที่จัตุรัสหยกขาว ซูฉินได้รับทิพยอํานาจมาอีกครั้ง
“ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ทิพยอํานาจมา!”
ดวงตาของซูฉินสว่างขึ้น ความคิดสับสนวกวน
“กายเนื้อกําเนิดใหม่?”
จิตใจของซูฉินกะพริบวูบไหวรับเอาพลังวิเศษอันนี้มา
กายเนื้อกําเนิดใหม่นั้นตรงตามชื่อ เป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับกายเนื้อ
แม้ว่าร่างกายจะแหลกสลายแต่ตราบใดที่ส่วนสําคัญของร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ พลังวิเศษนี้ก็จะสามารถใช้ในการฟื้นฟูร่างกายใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้หมายความว่าอะไร?
นี่คือร่างกึ่งอมตะ!
แม้ว่าอรหันต์หรือตํานานยุทธจะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เช่นกัน แต่การกระทําอย่างเช่น งอกแขนใหม่ งอกขาใหม่ สําหรับตํานานยุทธและอรหันต์ก็นับว่าเป็นการใช้พลังไปอย่างมหาศาล
อาจจะต้องใช้พลังที่สั่งสมมา อาจจะแค่ไม่กี่เดือนไปจนถึงหลักหลายปี หลักสิบปี
และสุดท้าย แม้แต่แก่นแท้แห่งพลังก็ต้องถูกนำออกมาใช้
แต่กายเนื้อกําเนิดใหม่นั้นต่างออกไป
ไม่เพียงแต่จะดีกว่าในด้านการฟื้นฟูร่างกายหรืองอกอวัยวะขึ้นมาใหม่ ในแง่ความเร็วจะยังรวดเร็วกว่าจนทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น
การที่ซูฉินมีทิพยอํานาจอันนี้ควบคู่ไปกับการมีร่างกายที่ทรงพลังจนน่ากลัวนั้น ความสามารถในการต่อสู้ของเข้าย่อมพุ่งสูงขึ้นไปอีกอย่างน้อยหนึ่งระดับ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“ด้วยทิพยอํานาจอันนี้ ข้าก็มีไพ่ลับเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งใบ”
ซูฉินพอใจมากกับกายเนื้อกําเนิดใหม่ ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือในการพิชิตศัตรูเท่านั้น แต่ยังใช้ในการบ่มเพาะได้ด้วย
ก่อนที่จะได้ทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่อันนี้มา ซูฉิน ฝึกฝนอย่างระมัดระวัง กลัวว่ามันจะเป็นการทําให้ร่างกาย บาดเจ็บจนเกิดเป็นบาดแผลแฝงเร้นไปแต่ตอนนี้ด้วยกายเนื้อกําเนิดใหม่ หากมีอาการบาดเจ็บใดเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ร่างกายจะถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
“ว่ากันว่านอกจากทิพยอํานาจอย่างกายเนื้อกําเนิดใหม่แล้ว ยังมีทิพยอํานาจหยดเลือดกําเนิดใหม่” อยู่อีกด้วย…”
ท่าทางของซูฉินดูหลงใหลไปกับมัน
หากการมีกายเนื้อกําเนิดใหม่เทียบเคียงได้กับเป็นกิ่งอมตะ ฉะนั้นหยดเลือดกําเนิดใหม่ก็แทบจะเป็นอมตะเลยทีเดียว
ตราบใดที่ยังคงมีเลือดอยู่ มันก็สามารถฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วราวกับเทพปีศาจผู้เป็นอมตะ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สามปีผ่านไปภายในพริบตา
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังได้ครองราชบัลลังก์อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังนาราชวงศ์ถังไปสู่ความรุ่งโรจน์ผ่านการออกราชโองการอย่างต่อเนื่อง
“พี่สาม”
ในวันนี้จักรพรรดิถังอย่างหลี่เชิงก็มายืนรออยู่ที่ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา และโบกมือให้กับซูฉิน
ถัดมาจากจักรพรรดิหลี่เชิงก็เห็นเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามสี่ขวบ ดวงตาสีดํากลมโต ช่างดูน่ารักยิ่ง
เด็กชายและเด็กหญิงทั้งคู่ต่างเป็นบุตรและธิดาของจักรพรรดิหลี่เชิงกับซูเยว่หยุน
สามปีผ่านพ้น ทั้งคู่โตขึ้นมาก เด็กผู้ชายชื่อว่าหลี่หยวน เด็กผู้หญิงชื่อว่าหลีหว่าน”
ซูฉันเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ
“ลุงสาม……”
หลี่หยวนและหลีหว่านส่งเสียงร้องอย่างพร้อมเพรียง มองไปที่ซูฉินด้วยตาดวงโตๆ ดูอยากรู้อยากเห็น
“พี่สาม วันนี้หยวนเอ่อทําให้อาจารย์โกรธหนักอีกแล้ว…” จักรพรรดิถังหลี่เชิงเหลือบมองไปที่หลี่หยวนอย่างไม่รู้จะทําอย่างไรดี
“เสด็จพ่อ…” หลี่หยวนรู้ตัวดีว่าตนผิดจึงลดศีรษะลงไม่ กล้าพูดอะไร
“มันก็เป็นเรื่องปกติของเด็กๆ ที่จะซุกซน” ซูฉินไม่ได้ สนใจอะไรแล้วพูดขึ้นเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ
“อา…”
“เป็นเรื่องปกติที่เด็กทั่วไปจะซุกซน”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงถอนหายใจและลูบศีรษะของหลี่หยวน “แต่หยวนเอ่อทําไม่ได้นะสิ เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของข้า ถูกกําหนดมาให้สืบทอดราชบัลลังก์แทนข้าในอนาคต ความประมาทเพียงน้อยนิดที่มีจะทําให้ประชาชนเดือดร้อนได้”
จักรพรรดิหลี่เชิงส่ายหัวเล็กน้อย
เขาให้ความสําคัญกับหลี่หยวนมาก และไม่ต้องการให้หลี่หยวนทําผิดพลาดครั้งใหญ่ในอนาคต
“สิ่งต่างๆ ในอนาคตนั้นย่อมเป็นผู้คนในอนาคตที่กําหนดมัน ฉะนั้นเราก็แค่ต้องใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดี”
ซูฉินมองไปที่หลี่หยวนและพูดขึ้นเบาๆ
“ก็จริง”
จักรพรรดิหลี่เชิงคิดสักพักและพบว่ามันสมเหตุสมผลดี
ตัวเขาไม่ใช่เทพเจ้า จะหยั่งรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างไร?
“พี่สาม ทําไมท่านถึงไม่มาเป็นอาจารย์ของหยวนเอ๋อเล่า ด้วยการสั่งสอนของท่าน หยวนเอ๋อจะต้องเก่งขึ้นมากแน่ๆ”
จักรพรรดิถังหลี่เชิงดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ และพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
เขาค้นพบมานานแล้วว่าเด็กอย่างหลี่หยวนผู้ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน กลับกลัวซูฉินมาก
ตราบใดที่ซูฉินอยู่ หลี่หยวนก็ไม่กล้าจะเล่นซนมากจนเกินงาม รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวเช่นไร
จักรพรรดิถังรู้สึกดีมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลก
“ลืมมันไปเถอะ”
“ข้าชินกับการอยู่อย่างอิสรเสรีน่ะ”
ซุฉินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย
เขามาที่วังหลวงก็เพื่อลงชื่อเข้าใช้และฝึกฝนบ่มเพาะ ไม่ได้มาเพื่อสอนสั่งเด็กว่าควรจะประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร
นอกจากนี้ซูฉินมักจะชอบความเงียบสงบ ถ้าต้องมีเด็กอยู่ใกล้ๆ เขาก็รู้สึกว่าไม่ชินเท่าไรนัก
“ก็ได้”
สีหน้าของจักรพรรดิหลี่เชิงผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่ออีก
แม้ว่าเขาจะต้องการให้ซูฉินสอนสั่งหลี่หยวนมากๆ แต่ เขาก็อยากจะให้ซูฉินเต็มใจทํามันเอง ไม่เช่นนั้นตัวจักรพรรดิหลี่เชิงเองก็ไม่สามารถบังคับอะไรได้
หลังจากคุยกันต่ออีกหน่อย จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็เตรียมพร้อมกลับไปจัดการเรื่องราวภายในราชสํานัก
ยิ่งเขาครองบัลลังก์มายาวนานเท่าไหร่ จักรพรรดิหลี่เชิงก็รู้สึกว่าตนเองยิ่งมีภาระหนักขึ้น