เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 154 ความเคลื่อนไหวในสํานักสังหารโลหิต
Sign in Buddha’s palm 154 ความเคลื่อนไหวในสํานักสังหารโลหิต
ภายในโถงชีวิตนิรันดร์
จักรพรรดิถังรู้สึกงงงวย
ในความเห็นของพระองค์ เพื่อที่จะหลุดออกจากการล้อมกรอบของรองแม่ทัพกว่าโหล นักฆ่าจากสํานักสังหารโลหิตจําต้องใช้ทักษะลับต้องห้ามจนทําให้รากฐานของมันตกฮวบลง ในเวลานั้นฝ่ายตรงข้ามมีเพียงสองทางเลือก
หนึ่งคือการหลบหนีออกจากวังอย่างหมดท่า
อย่างที่สองคือการซ่อนตัวชั่วคราวที่ไหนสักแห่งในวังเพื่อพักฟื้นร่างกาย แล้วรอโอกาสที่จะหลบหนีอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนอีกฝ่ายก็ต้องอยู่ภายในวัง เป็นไปไม่ได้ที่จะหายวับไปในอากาศเช่นนี้
จักรพรรดิถังทรงมั่นใจในกองทัพของราชสํานักอย่างมาก กองพลเหล่านี้ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่รัชสมัยจักรพรรดิพระองค์ก่อน และต่อมาก็มีการจัดโครงสร้างใหม่โดยหลี่เชิง กล่าวได้ว่าจงรักภักดีอย่างยิ่ง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนไหนก็ตามที่ลอบเข้ามาภายในวังก็เหมือนปลาที่อยู่ในอวน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหายจากไปได้อย่างเงียบเชียบ
“ออกตามหาต่อไป ถ้ามีชีวิตอยู่ก็ต้องเห็นคน ตายไปก็ต้องเห็นศพ”
จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆก็เอ่ยขึ้นว่า “ส่วนการเฝ้ายามประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ก็ผ่อนปรนลงเสียหน่อย”
“ผ่อนปรน?”
แม่ทัพแห่งราชสํานักได้ยินคําดังกล่าวก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายโดยนัยได้แม้จะผ่านไประยะหนึ่ง
ขณะนี้นักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตยังอยู่ภายในวัง พวกเขาควรจะลาดตระเวนอย่างเคร่งครัด จะผ่อนปรนการตรวจตราได้อย่างไร?
“มันติดอยู่ภายในวังและคงอยากจะออกไปอยู่เต็มแก่แล้วล่ะ เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสมันสักหน่อย”
จักรพรรดิถังหัวเราะเยาะเย้ยแล้วกล่าวคําอย่างช้าๆ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องยิ่ง”
แม่ทัพแห่งราชสํานักพลันตระหนักรู้ได้ในทันที
จักรพรรดิถังสั่งให้เขาผ่อนปรน” มิใช่หย่อนยาน แต่เป็นการจงใจเปิดเผยข้อบกพร่องของตน และสร้างเหยื่อล่อให้อีกฝ่ายมาติดกับ
“ถูกต้อง”
“ส่งทหารไปตรวจตราแถวพระราชวังตะวันออกด้วย ไม่ว่านักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตจะอยู่ที่ไหน แต่จะต้องไม่มีปัญหาอะไรเกิดกับพี่สาม”
จักรพรรดิถังดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม
“รับพระบัญชา”
แม่ทัพแห่งราชสํานักโค้งคํานับ กล่าวคํา แล้วถอยกลับออกไปอย่างช้าๆ
ในเวลาเดียวกัน
ณ ฐานที่มั่นของสํานักสังหารโลหิต
ชายที่หน้าตาถมึงทึงแสดงให้เห็นถึงเจตนาฆ่าฟันกําลังนั่งอยู่บนบัลลังก์
เขาเป็นประมุขของสํานักสังหารโลหิตในยุคนี้ นอกจากนี้ยังเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนสุดท้ายของสํานักสังหารโลหิตอีกด้วย
ในกรณีที่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอีกสามคนตกตายไป เขาจําต้องอยู่ประจําสํานักเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นที่นี่
ตลอดสองร้อยปีที่ผ่านมา สํานักสังหารโลหิตอาศัยตัวตน ของตํานานยุทธภายในสํานัก จนสามารถเข้าไปก้าวก่ายอาณาจักรต่างๆได้ ไม่ว่าอาณาจักรใดก็ไม่กล้าตอบโต้เหตุเพราะเกรงกลัว แต่ในตอนนี้สํานักสังหารโลหิตกลับถูกโจมตีอย่างหนัก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรับประกันว่าอาณาจักรอื่นๆจะไม่เคลื่อนไหว
“นี่ก็นานแล้วนะ ไม่มีข่าวคราวจากเชี่ยเอ๋อเลย ดูเหมือนว่าเขาจะพลาดท่าเสียแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน ยอดปรมาจารย์จากสํานักสังหารโลหิตก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วกล่าวคําช้าๆ
ชายที่มีสัญลักษณ์สีแดงบนหน้าผากได้ไปยังวังหลวงเพื่อลอบสังหารองค์จักรพรรดิถัง เขาทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว ทั้งยังมอบ “อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย” ให้กับชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดไว้ด้วย
ในฐานะสมบัติของสํานักสังหารโลหิต สิ่งของที่ถูกทิ้งเอา ไว้โดยตํานานยุทธจะไม่มีใครนําออกมาใช้ได้ยกเว้นประมุขของสํานัก
เดิมที่ยอดปรมาจารย์สํานักสังหารโลหิตคิดว่าด้วย”อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย” ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดควรจะสามารถหลบหนีจากการตรวจจับของตํานานยุทธภายในพระราชวังและลอบสังหารจักรพรรดิถังได้สําเร็จ
ตราบใดที่จักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์และอาณาจักรถังตกอ
“ถูกต้อง”
“ส่งทหารไปตรวจตราแถวพระราชวังตะวันออกด้วย ไม่ว่านักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตจะอยู่ที่ไหน แต่จะต้องไม่มีปัญหาอะไรเกิดกับพี่สาม”
จักรพรรดิถังดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม
ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้นิกายสังหารโลหิตจะไม่ได้ลอบสังหารจักรพรรดิถัง แต่ตํานานยุทธผู้นั้นก็คงจะไม่ญาติดีกับสํานักสังหารโลหิตอีก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องลงมือ
“ท่านประมุข เราควรทําเช่นไรต่อไปดี?” ด้านข้างมีผู้คุมกฏของสํานักสังหารโลหิตสองคนกําลังเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบา
ฐานะของผู้คุมกฎแม้จะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นกัน น้ําเสียงของผู้คุมกฏทั้งคู่ดูระแวดระวัง
ผู้คุมกฏทั้งคู่เห็นชัดว่าประมุขกําลังโกรธจัด หากพวกตนพูดอะไรผิดหูเข้าไปอีก เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“ทําเช่นไรดี?”
ประมุขของสํานักสังหารโลหิตก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ําเสียงที่แหบพร่า “ไล่ศิษย์ในสํานักออกไปให้หมด ให้ทุกคนกระจายตัวไปทุกดินแดน…”
นี่เป็นเพราะประมุขแห่งสํานักสังหารโลหิตกล้าที่จะลอบสังหารจักรพรรดิถัง จึงต้องถอยกลับเช่นนี้เป็นทางออกสุดท้าย
ตัวเขารู้ดีว่าการกระทําเช่นนั้นเป็นการล่วงเกินตํานานยุทธ แต่ก็ยังตัดสินใจกระทําลงไป
ตราบใดที่ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตกระจายตัวออกไปทั่วทวีป ตํานานยุทธภายในวังหลวงก็ไม่สามารถทําอะไรสํานักสังหารโลหิตได้อีก
แม้ว่าตํานานยุทธจะคงกระพันไร้พ่าย แต่ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกําหนดเป้าหมายไปที่ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตได้อย่างแม่นยําท่ามกลางประชาชนนับไม่ถ้วน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ จะสามารถคุมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รอบตัวได้ไม่เกินสิบ
รัศมีกว่าสิบล้ําอาจจะยอดเยี่ยม แต่เมื่อเทียบกับทั้งทวีปก็คงจะไม่สามารถกระทําการใดได้
เว้นแต่ว่าตํานานยุทธผู้นั้นเต็มใจจะใช้เวลาหลายร้อยปี เดินทางไปทั่วทุกมุมโลก และใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตน เพื่อค้นหาศิษย์ของสํานักสังหารโลหิต
แต่นั่นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
ตํานานยุทธมีอายุขัยเพียงห้าร้อยปี เป็นไปได้เช่นไรที่จะยอมเสียเวลาอย่างมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาเรื่องสํานักสังหารโลหิต?
“ขอรับ”
ผู้คุมกฎสํานักสังหารโลหิตทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างก็แสดง สีหน้าเศร้าสร้อยออกมา
สํานักสังหารโลหิตถูกบีบบังคับให้ละทิ้งศิษย์สาวกของตนเอง มันคงเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของพวกเขาแล้วเป็นแน่
“ท่านประมุข พวกเราจะรวบรวมศิษย์ทั้งหมดได้อีกเมื่อใดกัน?” หนึ่งในผู้คุมกฎอดที่จะถามออกมาไม่ได้
“อีกไม่ช้านานหรอก”
ประมุขของสํานักสังหารโลหิตส่ายศีรษะแล้วกระซิบบอก
ตํานานยุทธแต่ละคนที่ผ่านๆมาในอดีต แทบจะไม่มีใครอยู่ในทวีปนี้เป็นเวลานาน อย่างน้อยที่สุดสิบหรือยี่สิบปี พวกเขาก็ควรจะข้ามน้ําข้ามทะเลไปไล่ตามหาหนทางที่จะมีอายุขัยยืนยาวกันแล้ว
และการกระจายตัวสักสิบหรือยี่สิบปีนั้น สํานักสังหารโลหิตก็พอจะจ่ายราคาความเสียหายได้อยู่
พระราชวังถัง
ตําหนักขุนฝั่งขวา
เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่รู้เรื่องความเคลื่อนไหวเหล่านั้น ว่าสํานักสังหารโลหิตหวาดกลัวจนต้องเริ่มไล่ศิษย์สาวกให้กระจายตัวออกไปตามอาณาจักรต่างๆ
ฉันอาจจะมองเป็นเรื่องขบขันถ้าเขารู้ขึ้นมาก็ได้
การยอมถอยของประมุขสํานักสังหารโลหิตอาจจะเป็นประโยชน์เมื่อใช้กับตํานานยุทธคนอื่นๆ และคงจะช่วยสํานักสังหารโลหิตป้องกันการแก้แค้นของตัวตนระดับตํานานยุทธ
แต่ในสายตาของซูฉิน มันไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง
จอมยุทธคนอื่นๆที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธคงจะใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รอบตัวได้ไกลหลายสิบลี้ แต่ซูฉินไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตนี้ แต่เขาเป็นอรหันต์ที่ใกล้จะถึงขั้นสมบูรณ์ของนภาชั้นที่ห้าแล้ว
นอกจากนี้ซูฉินยังมีดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด
ด้วยความสามารถของศาสตร์ลี้ลับทั้งสองสิ่งนี้ ซูฉินสามารถมองเห็นทั่วทั้งดินแดนเล็กๆ ผืนหนึ่งภายในอาณาจักรถังได้อย่างรวดเร็ว
พูดง่ายๆ ว่าซูฉินสามารถค้นหาศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตทุกคนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทวีปได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน หาใช่หลายร้อยปีไม่
“ พลังมังกรคชสารปัญญาบารมี”
“พลังของมังกรสิบสามตัว ช้างสิบสามเชือก”
ขณะที่กําลังนั่งขัดสมาธิ ซูฉินคํารามออกมาเบาๆ เป็นเสียงคํารามของมังกร ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามีไอพลังไหลออกมา บางครั้งก็รวมตัวกันกลายเป็นภาพช้างขนาดยักษ์กําลังเหยียบผืนฟ้า บางคราเป็นเปลี่ยนเป็นมังกรทองที่กําลังขู่คําราม
จนถึงท้ายที่สุด
ไอพลังทั้งหมดก็หลอมรวมกัน ผสานเข้ามาภายในร่างของซูฉิน
“ในที่สุดข้าก็สําเร็จวิชามังกรคชสารปัญญาบารมี”
ซูฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความสุขฉายชัดบนใบหน้าของเขา