เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 162 รีบเชิญพี่สามมา
Sign in Buddha’s palm 162 รีบเชิญพี่สามมา
ฮองเฮาล้มป่วย
ข่าวนี้ไปถึงพระกรรณของจักรพรรดิถังหลี่เชิงอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิถังรีบวางภารกิจทุกอย่างที่ตนรับผิดชอบและตรงดิ่งไปยังพระราชวังคุนหนิงอย่างกระวนกระวายใจ
“หยุนเหนียง หยุนเหนียง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” จักรพรรดิถังถามไถ่ด้วยความกังวลขณะเดินไปยังพระแท่นบรรทม
อาการของซูเยว่หยุนฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในตอนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นปกติ นางแทบจะไม่สามารถพูดคุยได้มากนัก “ฝ่าบาท ตัวข้านั้นไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไร?”
“สภาพแบบนี้เนี่ยนะ บอกว่าไม่เป็นอะไร?”
จักรพรรดิถังพยายามระงับความโกรธที่ก่อตัวขึ้นในใจ แล้วหันไปหาหมอหลวงที่อยู่ข้างๆ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“เกิดอะไรขึ้นกับหยุนเหนียง?”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของจักรพรรดิถัง หมอหลวงที่อยู่ด้านข้างก็สั่นเทาแล้วรีบพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท พระวรกายของฮองเฮา พระวรกายของฮองเฮา…”
หมอหลวงพูดซ้ำคําเดิมอยู่นาน พูดแล้วหยุดอยู่อย่างนั้น แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินเช่นนั้นภายในใจของเขาก็หนาวเหน็บ ถ้าซูเยว่หยุนแค่ไม่สบายเฉยๆ หมอหลวงคงไม่มีท่าทีเช่นนี้แน่นอน เฉพาะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น หมอหลวงถึงมีอาการลังเลเช่นนี้
“พูดไป”
“ข้าฟังอยู่”
จักรพรรดิถังสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบใจลง
“ฝ่าบาท มีสิ่งแปลกปลอมภายในร่างของฮองเฮา เป็นสิ่งแปลกปลอมอันนี้ที่กลืนกินพลังชีวิตและลมปราณของฮองเฮาไปอย่างต่อเนื่อง ทําให้ฮองเฮามีอาการอย่างที่เห็น…”
หมอหลวงกัดฟันพูดออกมา
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากได้ยิน”
จักรพรรดิมองดูหมอหลวงด้วยสายตาที่เย็นชา
“ทูลฝ่าบาท” หมอหลวงกล่าวออกอย่างระมัดระวัง “ถ้าพระองค์ต้องการให้ฮองเฮาหายดีก็ต้องกําจัดสิ่งแปลกปลอมนี้ออกจากร่างกายให้สมบูรณ์ เพียงแต่สิ่งแปลกปลอมนี้เกิดขึ้นภายในร่างกายไม่ต่างไปจากเลือดเนื้อของฮองเฮาเองเลย”
เมื่อหมอหลวงกล่าวคําทั้งหมดออกมาเขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง แต่ทั้งตัวยังคงสั่นอยู่ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ข้าน้อยนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะกําจัดสิ่งแปลกปลอมอันนี้ออกไปได้อย่างไร”
หลังจากที่พูดจบหมอหลวงก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตับ “ข้าน้อยสมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง ข้าน้อยสมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง”
“เจ้าสมควรตาย”
จักรพรรดิถังทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วหันกลับมาดูซูเยว่หยุน “หยุนเหนียง เจ้าจะไม่เป็นไร มีหมอหลวงในราชสํานักอีกมากมาย ถ้าใครล้มเหลวก็แค่ต้องเปลี่ยนคน ถ้ายังไม่ได้ผลข้าจะไล่พวกเขาออกไปแล้วประกาศไปทั่วทั้งดินแดน ตราบที่มีใครสามารถรักษาเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินนับพันตําลึงทอง หรืออยากจะได้หญิงงามไปครอบครองข้าก็จะให้พวกเขาได้เลือกสรร”
จักรพรรดิถังยังคงปลอบโยนซูเยว่หยุน
“ฝ่าบาท”
“ท่านไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว”
ซูเยว่หยุนส่ายหัวแล้วกระซิบแผ่วเบา “เป็นเพราะร่างกายของข้าเอง หมอหลวงคนนั้นไม่ได้ผิดอันใดหรอก”
ซูเยว่หยุนพยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
เพราะนางรู้ว่าเมื่อนางร้องไห้ออกมา เกรงว่าจักรพรรดิถัง คงจะทําให้เรื่องมันใหญ่โตขึ้นไปอีกเป็นแน่
“ไม่ได้ผิดอะไร?”
จักรพรรดิถังจับไปที่ข้อมือของซูเยวหยุน “ข้าใช้เงินจํานวนมากในการดูแลพวกเขาอยู่ทุกปี ถ้ามันยังมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเจ้าหยุนเหนียง ทําไมข้ายังต้องเลี้ยงพวกเขาไว้ให้เสียข้าวสุก”
เสียงของจักรพรรดิแหบแห้ง แต่ทุกถ้อยคําดังชัดเข้าไปในหูของผู้คนโดยรอบ
เมื่อหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่ได้ยินคําพูดเหล่านั้น ร่างกายก็สั่นเทิ้ม เขารู้สึกว่าหากจักรพรรดิถังต้องการจริงๆ หมอหลวงทั้งหมดคงถูกไล่ออก
“ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาท พระนางไม่ใช่ว่าไม่มีทางรักษาเสียที่เดียว พระนางยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่” หมอหลวงรีบตะโกนออกมาในทันที
“โอ้?”
เมื่อได้ยินดังนั้น จักรพรรดิถังก็เหลือบไปมองหมอหลวง “คิดให้ดีๆ นะ ถ้าเจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าข้า ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้นที่จะตาย…”
คําพูดขององค์จักรพรรดิถังทําให้หนังศีรษะของหมอหลวงชาวาบ
หมอหลวงทราบดีว่าจักรพรรดิถังหมายถึงสิ่งใด
ความผิดฐานหลอกลวงจักรพรรดิ มีโทษไปเก้าชั่วโคตร
หากคําตอบของเขาไม่เป็นที่พอพระทัยของจักรพรรดิถัง ก็จินตนาการได้เลยว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
“ฝ่าบาท”
“ข้าน้อยไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ ข้าน้อยจะกล้าพูดเรื่องไร้สาระได้อย่างไร” ฟันของหมอหลวงสันกระทบกัน
“ร่างกายของพระนาง หมอหลวงภายในวังหลวงรักษาไม่ได้…” หมอหลวงกลืนน้ำลายแล้วพูดออกมาเสียงดัง “แต่ถึงหมอหลวงรักษาไม่ได้ แต่พระมาตุลาแห่งอาณาจักรรักษา”
“ครั้งล่าสุดที่พระมาตุลาได้ไปถวายการรักษาแก่ฝ่าบาท ทักษะทางการแพทย์ของเขาเหนือกว่าหมอหลวงอย่างข้าน้อยมาก ข้าคิดว่าพระมาตุลาแห่งอาณาจักรจะต้องมีหนทาง ”
เท่านั้น เสียงของหมอหลวงก็เงียบลง
จักรพรรดิถังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความสุขก็ฉายชัดบนใบหน้าของเขา
“ใช่แล้ว”
“ข้าลืมไปจริงๆ ว่ายังมีพี่สามอยู่!”
จักรพรรดิถังบ่นกับตนเองด้วยดวงตาที่สดใส
ทั้งตอนธาตุหยินเข้าสู่ร่างกายซูเยว่หยุน และตอนที่ตัวพระองค์เองล้มป่วยเพราะความโกรธเกรี้ยว ทั้งหมดก็ได้รับการรักษาจากซูฉิน
ภายในวังหลวง หากจะมีใครที่มีโอกาสรักษาซูเยว่หยุนได้มากที่สุด ก็คงจะมีเพียงแต่ซูฉิน
ยิ่งจักรพรรดิถังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ความหวังก็ผุดขึ้นในหัวใจมากเท่านั้น
“พวกเจ้ายังจะรออะไรกันอยู่ ทําไมไม่รีบไปตําหนักชุนฝังขวาแล้วเชิญพี่สามมา?” จักรพรรดิถังกวาดตามองขันที่สองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ตัวเขาต้องการจะไปหาซูฉินด้วยตนเอง แต่ซูเยว่หยุนร่างกายอ่อนแอมากในตอนนี้ และจักรพรรดิทนไม่ไหวถ้าต้องจากนางไป
“ขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ขันที่หนุ่มก็รีบมุ่งไปที่ตําหนักขุนฝั่งขวาทันที
ในเวลาเดียวกัน
ที่พระราชวังใต้ผืนดินอันสูงตระหง่าน
ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ในที่สุดก็ฟื้นฟูเสร็จสิ้น”
ซูฉินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เพื่อที่จะแบ่งแยกร่างจําแลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เขาแบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเกือบครึ่งหนึ่ง และหากเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ เกรงว่านี่คงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ยิ่ง แม้จะฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาได้ แต่คงต้องใช้เวลาเป็นร้อยหรืออาจมากถึงสองร้อยปี
รู้หรือไม่ว่าการสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกับการที่ร่างกายบาดเจ็บ
หากสูญเสียจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปหนึ่งในสิบส่วนจะต้อง ใช้เวลาหนึ่งเดือนในการฟื้นฟู แต่ถ้าสูญเสียไปสองส่วน อาจจะต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการฟื้นฟู
หากสูญเสียสามส่วนหรือสี่ส่วน อาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูหลายสิบปี
และเมื่อสูญเสียจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าครึ่ง ไม่ว่าจะเป็นใคร จะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธก็คงจะหมดสติไปและไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นได้เมื่อใด
ครานี้ซูฉินจํากัดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ที่ห้าส่วน ควบคู่ไปกับการใช้โอสถจํานวนมาก เขาสามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อซูฉินกําลังจะพิจารณาว่าจะบ่มเพาะต่อดีหรือไม่
“เอ๋?”
“มีใครบางคนกําลังบุกเข้าไปภายในตําหนักขุนฝั่งขวา?”
ซูฉินเลิกคิ้วแล้วมองขึ้นไปยังทิศทางของพระราชวังตะวันออก
ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา
ขันที่ชั้นผู้น้อยที่มาจากพระราชวังคุนหนิงดูกังวลมาก และหลังจากตะโกนเรียกอยู่สองสามครั้ง แต่พระมาตุลาแห่งอาณาจักรไม่ตอบ เขาจึงกลั้นใจบุกเข้าไปภายใน
แม้ว่าอาจจะถูกซูฉินดุในภายหลัง แต่ในเวลานี้ฮองเฮาซูเยว่หยุนกําลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เขาไม่สามารถทนต่อไป
“เจ้ากําลังมองหาข้า?”
ในขณะนั้นเอง เสียงของซูฉินก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของวันที่
“พระมาตุลา?”
ขันทีคนนั้นดีใจมาก หันกลับมาแล้วโค้งคํานับอย่างสุดหัวใจ “พระนางป่วยหนักอยู่ในขณะนี้ ฝ่าบาทได้ให้ข้ามาเชิญพระมาตุลาไป”
“พระนาง?”
สีหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตั้งแต่จักรพรรดิถังเสด็จขึ้นครองราชย์มากว่าสิบปีก็ไม่เคยรับนางสนมคนใดเข้ามาเลย
ในวังหลวงทั้งหมดก็มีเพียงซูเยวหยุนเท่านั้นที่สามารถจะเรียกว่าพระนางได้
“ป่วยหนัก”
ใบหน้าของซูฉินเคร่งขรึม จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาครอบคลุมทั่วทั้งพระราชวังในชั่วพริบตา
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูฉินก็ถอนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออก ปรากฏสีหน้าแปลกๆ ขึ้นบนใบหน้าเขา