เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 184 ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง
Sign in Buddha’s palm 184 ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง
พระราชวังหนานหมิง
สูงตระหง่านและหนักแน่น
เหล่าทหารยามที่มีสายตาเฉียบแหลมจํานวนมาก เดินลาดตระเวนไปมาอยู่ภายใน
“คนที่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทใช่ทูตจากอาณาจักรถังหรือไม่?” ทหารยามราชองครักษ์คนหนึ่งลดเสียงของตน เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“นอกจากทูตของอาณาจักรถังแล้ว จะมีใครบ้างล่ะที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทในยามนี้ได้?” ทหารยามอีกคนที่อยู่ด้านข้าง สอดส่ายสายตาไปรอบๆ ก่อนจะตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ทหารยามที่เป็นคนเปิดประเด็นก็พยักหน้าเล็กน้อย และทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ กล่าวด้วยเสียงกังวล “ข้าเห็นว่าทูตจากอาณาจักรถังมีลมปราณภายในที่ แข็งแกร่ง ชัดเจนว่าเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ปล่อยให้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเช่นนั้น หากมีจิตมุ่งร้ายต้องการลอบสังหารฝ่าบาทขึ้นมาจะทําเยี่ยงไร?”
“ลอบสังหาร?”
ทหารยามอีกคนเผยอปากยิ้ม “เจ้าช่างไม่รู้ความแยบคายของฝ่าบาท เหล่าผู้แข็งแกร่งอยู่รอบกายของพระองค์ และมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอยู่หลายคนก็แค่ระดับชั้นที่หนึ่งคนเดียว หากต้องการลอบสังหารฝ่าบาทจริง ก็เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ!”
ทหารยามคนนี้ดูมั่นใจแน่วแน่อย่างยิ่ง
“จริงอยู่ที่อาณาจักรถังมีตํานานยุทธ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทําอะไรที่ส่งผลต่อฝ่าบาทจากระยะทางที่ห่างไกลกว่าหมื่นลี้เช่นนี้”
“หนานหมิงของเราตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีทหารนับล้าน อาณาจักรถังจะสามารถรังแกเราอย่างไรก็ได้ ตามที่ใจปรารถนางั้นหรือ?”
ทหารยามกล่าวคําด้วยความภาคภูมิใจ
ทหารยามคนแรกที่เอ่ยถามก็ตกใจ คิดได้ว่าหนานหมิงเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อย่างไรก็ตาม
ในตอนนั้นเอง
แรงกดดันอันน่าสยดสยองก็แผ่ออกมาจากท้องพระโรง และปกคลุมทั่วพระราชวังหนานหมิงทั้งหมดในทันที
ภายใต้แรงกดดันนี้ ทหารราชองครักษ์ นางกํานัล และขันทีทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกําลังเผชิญหน้ากับตัวตนจากสวรรค์กระแทกเข่าลงกับพื้น
“นี่คือ?”
ทหารยามราชองครักษ์ทั้งสองคนที่กําลังพูดคุยกัน กลับกลายเป็นหวาดกลัวมองไปยังโถงท้องพระโรงของจักรพรรดิหมิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
….
ภายในท้องพระโรง
จักรพรรดิหมิงซึ่งแต่เดิมจ้องมองหลิวกงกงราวกับมองคนตาย แต่ท่าทีตอนนี้ของพระองค์เหมือนได้เห็นผี
ขุนนางข้าราชบริพารและทหารต่างก็ได้เห็นฉากที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม
เห็นว่าเหรียญตราที่หลิวกงกงถือเอาไว้จู่ๆ ก็พลันสาดแสงสว่างไสวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เห็นร่างหนึ่งกําลังนั่งขัดสมาธิจากระยะทางที่ไกลเกินกว่าจะคาดคะเน กําลังจ้องมองมา
ตึง!!!
แรงกดดันมหาศาลกดทับทั่วทุกที่
ตั้งแต่จักรพรรดิหมิงไล่ไปจนถึงขุนนางและทหารรวมหลายร้อยคน พวกเขาทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้น ไม่สามารถจ้องมองร่างนั้นได้
“เจ้าคือ?”
จักรพรรดิหมิงตะลึงงัน พูดอะไรไม่ถูก
เขาไม่เคยคิดฝันว่าเหรียญตราในมือของหลิวกงกงจะส่องสว่างออกมาได้เช่นนี้
“นั่นคือตํานานยุทธของอาณาจักรถังหรือ?”
จะชั่วพริบตาเดียว จักรพรรดิหมิงก็คาดเดาบางอย่างได้ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
“นี่คือตํานานยุทธสินะ?”
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่อยู่ข้างกาย จักรพรรดิหมิงคุกเข่า ก้มหัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
เดิมที่ด้วยการช่วยเหลือจากกระแสปราณฉี เขาได้ก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง เขาคิดว่าตนเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว แม้ว่าจะยังด้อยกว่าตํานานยุทธอยู่มาก อย่างน้อยก็น่าจะพอเงยหน้ามองขึ้นไปได้
แต่ตอนนี้?
ไม่ต้องพูดถึงการมองไปยังตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังเลย แม้แต่ภาพมายาที่ฉายตัวตนที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายหมื่นลี้ก็ยังทนไม่ได้เลย
ความห่างชั้นช่างมากเกินไป
ช่องว่างมันใหญ่จนเหมือนมดที่กําลังแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
เมื่อเทียบกับความตกใจและหวาดกลัวของคนอื่นๆ ในท้องพระโรง หลิวกงกงรู้สึกงุนงงอย่างถึงที่สุด
“นั่นคือพระมาตุลาแห่งอาณาจักร”
หลิวกงกงดูดีใจมาก และโค้งคํานับร่างมายาเบื้องหลัง แสงสว่างไร้ที่สิ้นสุดนั้น
ในขณะนี้หลิวกงกงไม่จําเป็นต้องถือเหรียญตรา แต่มันลอยอยู่บนอากาศเองโดยไม่ได้มีลมพัดแต่อย่างใด
“พวกเจ้ากล้าปฏิเสธอย่างนั้นหรือ?”
ซูฉินค่อยๆ เดินออกจากแสงส่องสว่างนั้น
นี่เป็นเพียงรัศมีแสงจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เขาใส่ไว้ในเหรียญตรา แม้พลังจะน้อยกว่าตัวจริงไปไกล แต่ก็ไม่มีปัญหาใดในการปราบปรามพระราชวังหนานหมิง
“เมื่อไม่ยินยอม ก็จงตายเสีย”
ซูฉินมองไปยังจักรพรรดิหมิง ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น
ในเวลานั้นจักรพรรดิหมิงรู้สึกเพียงร่างของเขากําลังสั่นสะท้านอย่างสุดขีด แสงอันไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้ากดดันเขามากขึ้นกว่าเดิม
นี่ไม่ใช่กดดันด้วยระดับพลัง แต่เป็นการกดดันไปถึงแก่นแท้ของพลังชีวิต
จักรพรรดิหมิงรู้ได้ทันทีว่าหากเขายังคงนิ่งเฉยต่อไป เขาก็จะไม่ได้พูดอะไรอีก
“ท่านผู้อาวุโส”
“ข้ามีเรื่องอยากจะพูด”
จักรพรรดิหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสลงมือ ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะได้เห็นราชวงศ์ถังได้ครองโลก”
“แต่โลกนั้นกว้างใหญ่นัก แม้ว่าจะมีตํานานยุทธเช่นท่านผู้อาวุโส ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีกว่าที่อาณาจักรถังจะครองโลกได้”
ซูฉินหยุดมือขวาของตน และมองไปยังจักรพรรดิหมิงด้วยความสนใจ
เมื่อเห็นแบบนี้ จักรพรรดิหมิงก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดต่อทันที “แต่หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าสามารถช่วยอาณาจักรถังได้ อย่างน้อยถ้าอาณาจักรถังต้องการจะควบรวมอาณาจักรหมิงของข้าก็คงใช้เวลาไม่นาน”
จักรพรรดิหมิงพูดไวมาก กลัวว่าซูฉินจะจัดการเขาด้วยฝ่ามือเดียว
อาณาจักรหนานหมิงมีอํานาจในทางตะวันออกเฉียงใต้ และสถานการณ์ในดินแดนที่ซับซ้อน มีทั้งฝ่ายปกครองและกลุ่มต่อต้าน หากไม่ใช่เพราะการปราบปรามของจักรพรรดิหมิง มันคงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
ดังนั้นหากจักรพรรดิหมิงเต็มใจจะจัดกองกําลังจํานวนมากให้กับอาณาจักรถัง แน่นอนว่าย่อมเป็นบทบาทสําคัญในการที่อาณาจักรถึงจะสามารถพิชิตหนานหมิงได้
นี่เป็นความมั่นใจของตัวจักรพรรดิหมิงเองที่ทําให้กล้าเสนอเงื่อนไขแม้ว่าจะรู้ว่ามีตํานานยุทธเช่นซูฉินอยู่ในอาณาจักรถัง
เพราะจักรพรรดิหมิงมี “คุณค่า” เพียงพอ
“จริงหรือ?” ซูฉินพูดอย่างใจเย็น “น่าเสียดาย เจ้ามองตนเองสูงจนเกินไป”
เสียงพูดเพิ่งจะจบ
ร่างของจักรพรรดิหมิงก็สะท้านไปทั้งตัว จากนั้นก็กลายเป็นผุยผง สลายกลายเป็นละอองปลิวว่อนไป
“จะยอมจํานนหรือจะตาย พวกเจ้าก็เลือกเอา”
หลังจากที่ซูฉินสังหารจักรพรรดิหมิง เขาก็มองไปยังคนอื่นๆ ในท้องพระโรง และหลังจากเขากล่าวคําออกไป ร่างของเขาก็หายวับ แสงอันไร้ที่สิ้นสุดก็กลับมาบรรจบกันที่เหรียญตรา
“ข้ายอมจํานน”
“ข้ายอมจํานนเหมือนกัน”
“นายท่าน อย่าฆ่าข้า”
ขุนนางทุกคนตกใจคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงไปทางหลิวกงกง หรือจะให้ถูกก็คือพุ่งเป้าไปที่เหรียญตราที่หลิวกงกงถือเอาไว้
แม้แต่จักรพรรดิหมิงก็ถูกพรากชีวิตไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึง ขุนนางระดับสูงอย่างพวกเขา
หลังจากเห็นจักรพรรดิหมิงสลายไปกับความว่างเปล่าอย่างกะทันหัน ขุนนางเหล่านี้จะกล้าต่อต้านได้อย่างไร?
อาจจะมีขุนนางที่ภักดีอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กระแสลมเปลี่ยนทิศแล้ว ถ้ากล้าขัดขืนต่อไป ไม่ใช่แค่จักรพรรดิหมิงที่หายไป แต่เป็นทั้งราชวงศ์หมิงที่จะหายไป
หนึ่งวันต่อมา
จักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งหนานหมิงก็ขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากนั้นจึงส่งจดหมายยอมจํานนต่ออาณาจักรถังทันที เต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปใต้การปกครองของอาณาจักรถัง
ในเวลาเดียวกัน
อีกหกอาณาจักรที่เหลือ รวมถึงราชวงศ์ซ่งเหนือและถูโปได้ส่งหนังสือยอมจํานนมาในเวลาพร้อมเพรียงกัน ไม่กล้าเอ่ยถึงเงื่อนไขใดอีกต่อไป
ด้วยการปราบปรามด้วยอํานาจที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหรืออาณาจักรอื่นๆ พวกเขาก็ไม่กล้าต่อต้านอีก สําหรับความมั่นใจที่คิดว่าตน “มีคุณค่า” นั้น ก็ไม่ได้มีค่าพอให้กล่าวถึงแต่ประการใด
ถ้าไม่ต้องการจะยอมจํานน ก็แค่เลือกใครสักคนที่พร้อมจะยอมจํานนขึ้นเป็นจักรพรรดิ ราชวงศ์ของทั้งหก อาณาจักรสืบเชื้อสายไปมากมาย จะเสียคนไปเท่าไหร่ก็ไม่มีผลต่อแกนหลักของชาติมากนักหรอก