เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 202 เรียกลมเรียกฝนและโล หิตเทพเจ้าปีศาจ
Sign in Buddha’s palm 202 เรียกลมเรียกฝนและโล หิตเทพเจ้าปีศาจ
วังหลวง
ด้านหน้าจัตุรัสหยกขาว
ซูฉินเต็มไปด้วยความสุข
เขาลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปี และได้รับทิพยอํานาจมาเพียงสองประเภทเท่านั้น อย่างแรกคือดวงตาแห่งสัจจะ และอย่างที่สองคือกายเนื้อกําเนิดใหม่
ทิพยอํานาจทั้งสองชนิดช่วยซูฉินเอาไว้อย่างมาก อย่างแรกช่วยให้ซูฉินเข้าใจกลไกของพลังในทุกๆสิ่งได้อย่างง่ายดาย อย่างหลังช่วยให้ซูฉินสร้างร่างจําแลงเพื่อเข้าไปภายในโลกถ้ําปีศาจได้
โดยเฉพาะอย่างหลัง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยร่างจําแลงที่สร้างขึ้นไม่รู้ว่าซูฉินเก็บเกี่ยวสินทรัพย์ได้มากเท่าไหร่ในโลกถ้ําปีศาจ จนกระทั่งซูฉินเก็บเกี่ยวจากกิ่งก้านต้นไม้โบราณที่ว่ากันว่ามาจากส่วนลึกของโลกแห่งนี้จนหมดสิ้น แน่นอนว่าสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้นั้นน่าพึงใจมิน้อย
และในตอนนี้ ในที่สุดซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้และได้รับทิพยอํานาจอย่างที่สาม
เมื่อคิดเรื่องราวทั้งหมดนี้จบ ซูฉินก็กลับไปยังโถงพระราชวังใต้ดินอันสูงตระหง่าน
“อย่างไรก็ตาม คราวนี้ชื่อของทิพยอํานาจมันฟังดูจืดชืดไปสักหน่อย…”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ครุ่นคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ
ทิพยอํานาจที่เขาลงชื่อได้รับมาจากจัตุรัสหยกขาวคือ “เรียกลมเรียกฝน” สําหรับคนธรรมดาหรือแม้แต่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ความสามารถในการเรียกลม เรียกฝนนั้นราวกับเทพเซียน ถ้าไม่ใช่เทพเซียนแล้วจะเป็นอะไรได้?
แต่เมื่อมาถึงขอบเขตตํานานยุทธแล้ว การเรียกลมเรียกฝนก็ราวกับเป็นเรื่องตลก
ตัวอย่างเช่น ซูฉินที่ฝึกหมัดสายฟ้าเทพเจ้าเข้าอาบทะเลแห่งสายฟ้า แม้ตํานานยุทธคนอื่นอาจจะไม่สามารถทําเช่นซูฉินได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลัวของอย่างพวก “การเรียกลมเรียกฝน”
ใบหน้าอันสุขสันต์ของซูฉินค่อยๆจากหายไป และกําหนดจิตเข้าไตร่ตรอง “เรียกลมเรียกฝน” ทิพยอํานาจชนิดใหม่ภายในใจของตนเอง
หลังจากผ่านไปสักพัก
ซูฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้นทันที
“ทิพยอํานาจนี้ หาใช่ธรรมดาไม่…”
ดวงตาของซุฉินเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจเล็กน้อย
ซุฉินเริ่มศึกษาทิพยอํานาจ เรียกลมเรียกฝน” เขาก็ค้นพบว่า การเรียกสายลม” ในทิพยอํานาจชนิดนี้มิใช่ลมธรรมดาสามัญ แต่เป็นลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคืออะไร?
เป็นลมพายุอันน่าสะพรึงกลัวที่กั้นระหว่างโลกและมิติอวกาศเหนือท้องฟ้าอันเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด
เพื่อที่จะรับรู้สึกกระแสปราณฉีที่ฟื้นคืนและการเปลี่ยนแปลงของพลังในโลกหล้า ซูฉินเคยลอยตัวขึ้นไปสูงจนเกือบจะถึงเขตลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เพื่อจ้องมองพื้นแผ่นดินอันกว้างใหญ่
ในเวลานั้น ซูฉินทราบดีถึงความน่ากลัวของลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
ด้วยความแข็งแกร่งของซุฉินในตอนนั้น แม้ว่าเขาจะสามารถผ่าข้ามลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้านี้ไปได้ แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าลมที่ซูฉินเห็นนั้นเป็นเพียงเขต แดนลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในระดับที่ตื้นเขิน ยิ่งระดับสูงขึ้นไป ลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเป็นเท่าทวี และลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่จุดสูงสุดสามารถพัดทําลายฝูงชนได้เลยทีเดียว
และผลอันน่าสยดสยองของมันคือดับดวงไฟแห่งชีวิตจนมอด
ตํานานยุทธทั้งหลายท่องยุทธภพไปทั่ว เย่อหยิ่งไม่เกรงกลัวสิ่งใด แม้จะเป็นพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อย่างหิมะถล่ม ก็ไม่สามารถคุกคามตํานานยุทธได้
แต่ลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้านั้นต่างออกไป
สําหรับตํานานยุทธระดับสูงคงจะไม่เป็นอะไรมากเพราะสามารถสกัดกั้นเอาไว้ด้วยแก่นแท้แห่งพลังและร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หนึ่งหรือชั้นที่สองถูกลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพัดเข้าใส่ แม้จะไม่ตายในทันที แต่ก็คงมีสภาพอเนจอนาถอย่างยิ่ง
อาจกล่าวได้ว่าความสามารถในการเรียกสายลม” เป็นดาวข่มตํานานยุทธได้อย่างสิ้นเชิง
หากซูฉินสามารถเรียกลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าออกมาได้ถึงระดับสูงสุดก็เพียงพอที่จะกวาดล้างตํานานยุทธ และทําได้แม้แต่คุกคามเซียนเทพปฐพี
แน่นอนว่าเพื่อเรียกลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าระดับสูงสุดออกมาได้ ซูฉินจะต้องก้าวไปถึงขอบเขตยอดอรหันต์เป็นอย่างน้อยจึงจะกระทําได้
ไม่ว่าจะเป็นทิพยอํานาจชนิดใด จะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือกายเนื้อกําเนิดใหม่ ทุกชนิดจะเพิ่มพูนพลังอํานาจยิ่งขึ้นไปตามความแข็งแกร่งของผู้ใช้ที่เพิ่มมากขึ้น
“ไม่เลว”
ซูฉินดูพึงพอใจ
ในตอนแรก เขาคิดว่าความสามารถในการเรียกลม จะเป็นเพียงการเรียกลมธรรมดาๆ ไม่ได้คาดหวังว่ามัน จะเป็นลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเช่นนี้
“เรียกฝน……”
ซูฉินหันเหความคิดอีกครั้ง เข้าไปอยู่ในภวังค์
ถ้ากล่าวว่าซูฉินเข้าใจความสามารถในการ “เรียกลม” บ้างแล้ว ส่วนที่เกี่ยวกับความสามารถในการ “เรียกฝน” นั้น ซูฉินยังสับสนอยู่เล็กน้อย
“ทิพยอํานาจชนิดนี้ ในส่วนความสามารถของการ “เรียกฝน” เป็นการชักนําจิตสังหารความอาฆาตพยาบาทใต้ผืน ฟ้าเหนือผืนดิน ควบแน่นเป็นเม็ดฝน ส่งลงไปทําลายล้างทุกสิ่ง
ใบหน้าของซูฉินมีแววครุ่นคิด
ในช่วงเวลาต่อมา
ซูฉินก็กล่าวคําออกมาเบาๆ
“เรียกฝน!”
หวิ่ง!!!
ที่อากาศด้านหน้าของซูฉินค่อยๆ ควบแน่นกลายเป็นเม็ดฝนเม็ดหนึ่งที่ดูเหมือนกับอัญมณีปรากฏขึ้น
เม็ดฝนหยดนี้สีแดงดั่งเลือด ปลดปล่อยเจตนาฆ่าออกมาอย่างรุนแรง
“ฝนหยดนี้เพียงพอที่จะสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง รวมถึงคุกคามตํานานยุทธได้” ซูฉินจ้องมองไปที่เม็ดฝนที่ลอยอยู่ตรงหน้า และประเมินมันอยู่ภายในใจ
ทําลายยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง คุกคามตํานานยุทธ
ดูเหมือนจะไม่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับตัวตนเช่นซูฉิน แต่ต้องรู้ว่าความสามารถในการเรียกฝนที่แท้จริงสามารถเรียกได้มากกว่าฝนแค่หยดเดียว
แต่กลับไร้ที่สิ้นสุด เม็ดฝนบนท้องฟ้าก็เหมือนกับพายุฝนที่ตกกระหน่ํา
ด้วยความสามารถในการเรียกฝน” แม้จะเป็นตํานานยุทธระดับสูง ก็เกรงว่าจะเหมือนติดอยู่ในหลุม เป็นการยากที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้
“ไม่เลว”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย และใช้จิตสั่งการให้เม็ดฝนที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารเม็ดนี้ค่อยๆกระจายหายไป
“ในที่สุดข้าก็มีทิพยอํานาจที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้จริงๆเสียที…”
ซูฉินถอนหายใจออกมา
ไม่ว่าจะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือกายเนื้อกําเนิดใหม่ พวกมันล้วนเป็นทิพยอํานาจสายสนับสนุน เป็นสิ่งที่อยู่ของมันแบบนั้น” ไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการต่อสู้ตรงๆ
แต่ทิพยอํานาจเรียกลมเรียกฝน” เป็นทิพยอํานาจสําหรับจู่โจมโดยแท้
อย่างน้อยซูฉินก็มีความสามารถในการต่อสู้ซึ่งๆหน้าได้หลากหลายมากขึ้น
“ตอนนี้ร่างกายนี้ได้เสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่ห้าแล้ว รวมถึงอาณาเขตขนาดเล็กก็ควบแน่นจนแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย”
“ขั้นต่อไปคือต้องพัฒนาระดับพลัง พยายามเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่แปดและชั้นที่เก้าให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นจึงผ่านคอขวดไปถึงขอบเขตยอดอรหันต์ให้ได้”
ซูฉินคิดตัดสินใจ
ในช่วงเวลาต่อมา
แสงพลันสว่างจ้าต่อหน้าซุฉิน โอสถวิเศษและผลไม้จิตวิญญาณจํานวนมากถูกวางกองเอาไว้ด้วยกัน
สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสมบัติที่ซูฉินลงชื่อได้รับมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ซูฉินจําแนกสมบัติทั้งหมดเอาไว้ และนําสมบัติที่เป็นทรัพยากรสําหรับบ่มเพาะในระดับปัจจุบันออกมาวางไว้ด้านหน้า
สําหรับของที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ในช่วงแรกๆของซูฉิน อย่างโอสถระดับต่ําเล็กๆ น้อยๆ ซูฉินเอาบางส่วนออกมาเก็บไว้ที่พระราชวังตะวันออกเพื่อใช้ในการบ่มเพาะของตระกูลซู
อย่างไรเสียโอสถระดับต่ําเหล่านี้ก็ยังมีประโยชน์ สําหรับขอบเขตสามระดับล่างและสามระดับกลาง ส่วนในสามระดับนั้นบนมันก็เริ่มจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว นับประสาอะไร กับขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดอย่างซูฉิน
ซูฉินดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างไม่ตั้งใจไปเฮือกหนึ่งก็ได้ผลลัพธ์สูงกว่าโอสถระดับต่ําแล้ว
แทนที่จะวางเอาไว้ให้เปลืองพื้นที่ในคลังระบบ ทําไมไม่ใช้เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตระกูลซูเล่า
“ผลแก่นปีศาจมีทั้งสิ้นเก้าพันแปดร้อยเก้าสิบสองผล และผลไม้สีแดงอีกแปดพันสามร้อยห้าสิบผล…”
ซูฉินคํานวณอยู่ในใจ
แม้ว่าปราณฉีจะฟื้นคืนและสภาพ แวดล้อมของโลกกําลังเปลี่ยนแปลงไป เส้นทางการฝึกยุทธก็ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผลไม้จิตวิญญาณและโอสถวิเศษจะสูญเสียผลประโยชน์ของมันไป
ตรงกันข้าม เมื่อปราณฉีฟื้นคืนมากเท่าไหร่ ผลของโอสถวิเศษเหล่านี้ก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“ผลไม้จิตวิญญาณและโอสถวิเศษเหล่านี้เพียงพอจะผลักดันข้าให้ไปถึงระดับนภาชั้นที่เก้า แต่การก้าวข้ามโซ่ตรวนเพื่อไปสู้ขอบเขตยอดอรหันต์นั้นไม่สามารถพึ่งพาเพียง “สิ่งของจากภายนอก”
“ปัจจุบันข้ารู้เพียงว่าการจะเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์จําเป็นต้องควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก แต่ส่วนอื่นๆ ข้าไม่มีความรู้เลยสักนิด”
ดวงตาของซูฉินดูเหม่อลอย
ขอบเขตยอดอรหันต์นั้นยากเย็นจนเกินไป
หากบอกว่าตํานานยุทธจะกําเนิดขึ้นสักหนึ่ง คนในหลายชั่วอายุคน เช่นนั้นยอดอรหันต์หรือเซียนเทพปฐพีก็เรียกได้ว่าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดไปถึงมาก่อน
แม้แต่ในต่างแดนที่วิทยายุทธเฟื่องฟูมานาน เซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นเรื่องในตํานาน และไม่ได้แสดงตัวให้โลกภายนอก ได้รับรู้มานานหลายพันปีแล้ว
“ไม่เป็นไร”
“ไม่ควรคิดให้มันมากมายอะไร”
“ค่อยคิดจริงจังอีกทีตอนที่ข้าเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าได้แล้ว ข้าจะไปต่างดินแดนด้วยตัวของข้าเองและลองถามผู้นํานิกายใหญ่เหล่านั้นดู”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไป
ตามที่เขารู้มาในตอนนี้ ผู้ที่มีพลังต่อสู้สูงที่สุดในต่างแดนคือเหล่าบรรพชนที่หลับใหลอยู่ในนิกายใหญ่เหล่านั้น
ปราณชีวิตและเลือดเนื้อของบรรพชนเหล่านี้กําลังลดลงไปเรื่อยๆ พวกเขาสามารถอาศัยเพียงการหลับใหลเพื่อยื้อเวลาต่อเท่านั้น
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับซูฉินก็เป็นเพียงหมูในอวยที่ป ราบปรามได้อย่างสบายๆ
นอกจากนี้ ถ้าซูฉินไปถึงระดับนภาชั้นที่เก้าได้จริงๆ การที่เขามีไพ่ลับมากมายในมือ ไม่ต้องพูดถึงบรรพชนเหล่านั้นเลย แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพีจริงๆ ถึงจะไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ก็ยังหลบหนีได้
“อย่างไรก็ตาม ในบรรดาสมบัติมากมายที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ภายในโลกถ้ําปีศาจ สิ่งที่มีค่าที่สุดไม่ใช่ผลแก่นปีศาจหรือมีดเทพเจ้าปีศาจ แต่เป็นสิ่งนี้ ”
ซูฉินหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็มีเลือดหยดหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
แม้ว่าเลือดหยดนี้จะลอยอยู่นิ่งๆ แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รวมถึงพลังจากอาณาเขตกลับสูญเสียความสามารถไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อทดลองใช้กับหยดเลือดเบื้องหน้านี้
ราวกับเลือดหยดนี้ไม่มีอยู่จริง
“สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และอาณาเขตไม่สามารถจับสัมผัสมันได้เลย นี่คือโลหิตเทพเจ้าปีศาจของจริงเช่นนั้นหรือ?”
ซูฉินรู้สึกทิ้งไม่น้อย
ค่ายกลฟ้าดินนั้นสามารถขัดขวางการตรวจจับของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่หากค่ายกลฟ้าดินอยู่ภายในอาณาเขตล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลประเภทใดก็สามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งราวกับอยู่บนฝ่ามือตนเอง
ตั้งแต่ที่ซูฉินควบแน่นอาณาเขตได้ เขาไม่เคยเห็นสมบัติใดที่หลีกเลี่ยงการตรวจจับของเขาได้มาก่อน
แต่โลหิตเทพเจ้าปีศาจนั้นเป็นข้อยกเว้น
ไม่ว่าซูฉินจะใช้อาณาเขตครอบคลุมเพียงใด เขาก็ไม่สามารถรู้สึกได้ถึงโลหิตเทพเจ้าปีศาจเลย
“เทพเจ้าปีศาจ เป็นตัวตนในระดับใดกันนะ?”
ซูฉินมองดูโลหิตเทพเจ้าปีศาจที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระ
โลหิตเทพเจ้าปีศาจไม่ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายอะไรออกมา แต่ดูเหมือนจะเป็นอิสระจากพื้นที่แห่งนี้ และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้น
“เดิมที่ข้าคิดว่าเทพเจ้าปีศาจในโลกถ้ําปีศาจอย่างมากที่สุดก็ไม่ต่างไปจากเซียนเทพปฐพี่มากนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเทพเจ้าปีศาจจะอยู่เหนือเซียนเทพปฐพีไปอีก”
ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ
ซูฉินอยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดและควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว จึงพอจะกะประมาณความสูงส่งของเซียนเทพปฐพีได้อย่างคร่าวๆ
แต่เทพเจ้าปีศาจนั้น
ซูฉินไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่เมื่อได้พบโลหิตเทพเจ้าปีศาจหยดนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเทพเจ้าปีศาจเป็นตัวตนที่น่าเหลือเชื่ออย่างแน่นอน
“ในช่วงปีที่ผ่านมานั้นได้รับโลหิตเทพเจ้าปีศาจจากการลงชื่อเข้าใช้มาเจ็ดถึงแปดหยด”
ซูฉินดึงโลหิตเทพเจ้าปีศาจออกมาจากคลังระบบเพียงหนึ่งหยด เพื่อที่จะพิจารณามันให้เข้าใจ
“โลหิตเทพเจ้าปีศาจยังไม่มีประโยชน์กับข้าในตอนนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าจะเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ถึงจะพอ นําออกมาใช้ได้”
“เอาล่ะ ฝึกฝนต่อไปดีกว่า”
ซูฉินค่อยๆหลับตาลง และในครั้งหนึ่งที่เขาคว้ามือออกไป ก็จะหยิบผลแก่นปีศาจหรือไม่ก็ผลไม้สีแดงติดมาด้วยหลายสิบผล เพื่อช่วยพัฒนาระดับขั้นของเขาอย่างต่อเนื่อง
และในครั้งนี้
ขณะที่ซูฉินกําลังปิดด่านฝึกตน
ณ ยุทธภพในต่างดินแดน บนเกาะแห่งหนึ่ง
เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าสํานักเอกะวิถี และผู้นํานิกายใหญ่หลายคนต่างก็มารวมตัวกัน